เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I ROAM ALONEBANLUEBOOKS
02 ดูปักกิ่งกับคนปักกิ่ง
  • วันนี้ฉันตั้งใจจะไปไหว้พระขอพรที่วัดลามะ (Lama Temple หรือ Yong He Gong) หวังให้การเดินทางทริปนี้ราบรื่น แต่ยังไม่ทันจะไปไหน ฉันก็หลงเสียแล้ว
       
    ฉันหาสถานีรถไฟใต้ดินเชียนเหมิน (Qianmen) ไม่เจอ ทั้งที่ดูจากแผนที่แล้วก็ไม่น่ายาก ฉันเริ่มต้นเดินไปตามทาง เลี้ยวซ้าย อืม...ทำไมกลับมาที่เดิม ฉันลองเลี้ยวขวา อืม…ก็ยังที่เดิมอีก อารมณ์ของฉันเริ่มแปรปรวน แต่ก็พยายามระงับไว้ด้วยการลองเลี้ยวซ้ายอีกครั้ง และคราวนี้ฉันก็หยุดถามทางพนักงานรักษาความปลอดภัยให้รู้แล้วรู้รอด
       
    ฉันชี้แผนที่ พร้อมใช้ภาษาจีนแบบงูๆ ปลาๆ ที่เคยเรียนสมัยมหา’ลัย

    “ฉิ่ง เวิ่น หว่อ เซี่ยง ชู่ว เจ้อหลี่ นิน จือเต้า เจิ่นเมอ ชู่ว” ฉันพูดเสียงอ้อมแอ้มมีความหมายประมาณว่า “ขอโทษนะคะ ที่นี่ไปยังไงคะ”
       
    หลังได้ฟังสำเนียงและไวยากรณ์ที่น่างงงวยของฉัน เขาก็อึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็ยังใจดีหยิบแผนที่ไปดูแล้วครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง และชี้บอกให้ฉันเดินกลับไปทางที่เดินมา
       
    “เซี่ย เซี่ย” ฉันกล่าวขอบคุณแล้วเดินจากมา แม้ใบหน้าจะเปื้อนรอยยิ้ม แต่ในใจตอนนั้นเริ่มกรีดร้องด้วยความเสียสติ และหลังจากตีโพยตีพายกับตัวเองได้สักพัก ฉันก็เจอถนนคนเดินเส้นใหญ่ที่มีป้ายว่าเชียนเหมินอยู่ตรงหน้า
       
    สรุปกว่าจะหาทางลงสถานีรถไฟใต้ดินได้ก็ปาไปเกือบครึ่งชั่วโมง
    มึนขนาดนี้ ก็ไม่รู้ว่าคุณพระคุณเจ้าจะช่วยไหวมั้ย

    ฉันนั่งรถไฟจากสถานีเชียนเหมินมาลงที่ยงเหอกง (Yong He Gong) หรือวัดลามะ เดินออกจากปากทางรถไฟใต้ดินได้ไม่นานก็มีคุณป้าคนหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาหา
       
    เปล่า—คุณป้าไม่ได้รู้จักฉันเป็นการส่วนตัว แต่คุณป้ากำลังจะมาขายตรง

    ผลิตภัณฑ์ของคุณป้าคือ ธูป ที่รูปลักษณ์ภายนอกก็เหมือนธูปบ้านเรานี่แหละ ต่างกันหน่อยตรงที่ป้าไม่ได้ขายแบบธรรมดา แต่ป้าเอาธูปมายัดใส่มือแล้วเดินถอยหนีไม่ยอมรับของกลับ (ป้าคะ…) ฉันพยายามจะเดินไปยัดคืนใส่มือป้า แต่ป้าก็ยังถอยหนี สุดท้าย ฉันเลยวางธูปไว้ที่พื้นแล้วเดินจากมาเลย
       
    และฉันก็ได้พบเจอกับความจริงว่าคุณป้าไม่ใช่นักขายธูปเพียงคนเดียว

    แม้จะเป็นแค่ฟุตบาทเล็กๆ แต่ตลอดทางเดินจากสถานีรถไฟใต้ดินไปถึงทางเข้าวัดมีแต่นักขายธูปมือทอง เสียงตะโกนขายของเป็นภาษาจีนดังสลับกับเทปสวดมนต์เสียงทุ้มต่ำ คนที่เดินผ่านล้วนแล้วแต่ถูกฉุดแขนให้แวะซื้อธูป พอมีคนอุดหนุนก็ทำให้การจราจรที่ต้องเดินแถวตอนเรียงหนึ่งหยุดชะงัก กว่าจะถึงวัดก็กินเวลาไปหลายสิบนาที
       
    แต่ทันทีที่เข้าตัววัดมาได้ ความสงบก็เข้ามาแทนที่ความวุ่นวาย
    ฉันนั่งลงพักดื่มน้ำใต้ต้นไม้ที่เรียงรายเป็นแนวยาวและเริ่มออกเดินสำรวจวัด

    “Hello”
    ขณะที่เดินอ่านป้ายอยู่เพลินๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาทัก
    “H...Hello” ฉันตอบรับอย่างไม่แน่ใจว่าเขาต้องการอะไร ไม่รู้ว่าชายหนุ่มคนนี้จะมาขายธูปอีกหรือเปล่า แต่ลึกๆ สัญชาตญาณของฉันกลับบอกว่าชายคนนี้ไม่มีพิษไม่มีภัย ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะว่าเราอยู่กันในวัด คงไม่เสียหายอะไรถ้าจะลองพูดคุยกับคนไม่รู้จักดู
       
    “ผมเห็นคุณตั้งแต่ในสถานีรถไฟแล้ว ดูท่าทางเหมือนกำลังหลงทาง พอจะเดินเข้าไปทัก คุณก็หายไปแล้ว” ชายคนดังกล่าวที่ต่อมาแนะนำตัวว่าชื่อ ฟรอยด์ เป็นคนปักกิ่งโดยกำเนิดอธิบายเหตุผลในการเข้ามาทัก

    ตายละมิ้นท์ หน้าแกแสดงออกว่าหลงชัดขนาดนั้นเลย! คราวหน้าต้องระวังกว่านี้แล้ว
       
    การคุยกับฟรอยด์ไม่ทำให้ฉันได้ความรู้เกี่ยวกับวัดเพิ่มขึ้นเลย กลับมีแต่ความรู้เรื่องหอควบคุมการบินของปักกิ่งที่แล่นผ่านหู

    ทำไมน่ะหรือ?
    ก็เพราะเขาทำงานอยู่หอควบคุมการบินน่ะสิ
       
    ฟรอยด์เล่าว่า เขาทำงานหนึ่งชั่วโมง พักหนึ่งชั่วโมง เพราะงานแบบเขาใช้สมาธิมาก ต่อให้มีลานบินแค่สี่ลาน แต่การมีเครื่องบินรอขึ้นลงเป็นพันเครื่อง ทำให้การควบคุมค่อนข้างวุ่นวาย (ฟรอยด์แนะให้ฉันเลี่ยงขึ้นสายการบินของรัสเซียกับมองโกเลีย เพราะเขาเมาท์ว่านักบินสองสายนี้ชอบเมาระหว่างขับเครื่องบิน!)
       
    เรายืนคุยต่อได้สักพัก ฟรอยด์ก็บอกว่าวันนี้เป็นวันหยุดของเขาพอดี ถ้าไม่รังเกียจ จะขออาสาพาไปเดินเล่นที่ย่านชี จิ่ว ปา (798) ย่านศิลปะของกรุงปักกิ่งแทนการนอนพักผ่อนสักหน่อย

    การมีคนปักกิ่งนำทางใช่ว่าจะไม่หลง เพราะฟรอยด์ก็ไม่คุ้นกับการใช้รถไฟใต้ดิน (…) พวกเราลงผิดป้ายกันสองรอบ แถมเจ้าถิ่นดันสับสนเรื่องเปลี่ยนสายรถไฟ ลงก่อนถึงสถานีที่ต้องลงทุกที!
       
    นี่ฉันต้องฝากชีวิตไว้กับคนที่ลงรถไฟใต้ดินผิดป้ายจริงๆ หรือเนี่ย

    “ฉันจะไม่บินลงปักกิ่งอีกแล้วนะ” ฉันพูดแหย่เขา
    ฟรอยด์หัวเราะร่วน ก่อนบอกว่าตั้งแต่ทำงานมา เขา ‘ยัง’ ไม่เคยพลาดเลยนะ
       
    หลังจากลงผิดป้ายหลายรอบ พวกเราก็มาถึงย่าน 798 ตอนบ่ายแก่ๆ ย่านนี้มีแกลลอรี่ศิลปะทั้งแบบร่วมสมัยและแบบโบราณ อีกทั้งมีร้านเสื้อผ้า ร้านเฟอร์นิเจอร์ ร้านขายของกระจุกกระจิก และยังมีคาเฟ่น่ารักๆ ให้นั่งจิบอีกหลายร้าน
       
    ขณะที่เดินเข้าร้านนู้นออกแกลลอรี่นี้ ฉันก็ได้ยินเสียงคนเล่นดนตรีเปิด-หมวกลอยมา แม้จะฟังไม่ออก แต่ฉันก็พอเดาได้ว่ามันเป็นเพลงรัก
       
    ฟรอยด์บอกว่าเพลงนี้ชื่อ ไจ้น่าเหยาเหวี่ยนเตอตี้ฟาง (Zai Na Yao Yuan De Di Fang)
    พวกเรานั่งลงข้างทาง ตั้งใจฟังเพลงอย่างเงียบๆ
    ชายคนนี้ไม่ได้มีเสียงทรงพลัง แต่น้ำเสียงเศร้าๆ ของเขากลับมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก

    เย็นวันนั้น ฉันบอกลาฟรอยด์ที่หน้าปากทางเข้ารถไฟใต้ดิน ฉันขอบคุณเขาหลายรอบ เพราะรู้สึกเกรงใจที่เขาต้องเสียเวลาวันหยุดมาพาคนแปลกหน้าเดินเล่น ก่อนจาก ฉันเลยกำชับว่าจะรอพาเขาทัวร์กรุงเทพฯ บ้าง
       
    “ไว้เจอกันนะฟรอยด์” ฉันตะโกนบอกเขาจากอีกฝั่งหนึ่งของที่กั้นตรวจตั๋ว
    “โชคดีนะ” เขาตะโกนกลับมา

    สิ่งที่ฉันไม่ชอบที่สุดของการเดินทาง คือการบอกลา

    แม้จะรู้ว่าชีวิตก็เป็นแบบนี้ มีพบเดี๋ยวก็มีจาก ทุกงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา แต่ลึกๆ แล้วฉันก็ยังไม่อยากยอมรับอยู่ดี

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in