Brokeback Mountain ?❤️????Director : Ang LeeGenres : Drama ,RomanceMy Score : 9.5 / 10[ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความยาว 2 ชั่วโมง 14 นาที สามารถรับชมได้ใน Netflix].ℹ บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาภายในภาพยนตร์บางส่วน.➡️ Prologue : บทเกริ่น- ท่ามกลางเงื่อนไขดั้งเดิมที่สุดประการหนึ่งในสังคม สำหรับการเป็นที่ยอมรับในฐานะผู้ชายนั้น สามารถวัดได้จากอำนาจของตนที่มีอิทธิพลต่อครอบครัว และดูจากความสามารถในการหาเลี้ยงดูแลครอบครัว จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าความก้าวหน้าในบทบาทของเพศชายช่วงยุคหลังนั้น ได้ถูกท้าทายและถูกลดความสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง คำนิยามที่ใช้จำกัดความเพศชายผู้ที่มีอุปนิสัยของความเป็นชายโดยแท้ หรือมีรูปร่างสมส่วนดูรูปหล่อ คือคำว่า 'ความเป็นชายที่มีอำนาจนำ/ความเป็นชายเจ้าโลก' (Hegemonic Masculinity) - นักวิชาการได้กล่าวถึงความหมายของ 'ความเป็นชายเจ้าโลก' นี้ไว้ว่า เป็นความเอนเอียงของบรรทัดฐานทางเพศ ซึ่งเป็นตัวอย่างของคำตอบที่ถูกยอมรับในขณะนี้ เกี่ยวกับความชอบธรรมอันเป็นปัญหาของอำนาจปิตาธิปไตย (ชายเป็นใหญ่) ที่สะท้อนความมีอำนาจเหนือบุรุษเพศด้วยกัน และการครอบงำกลุ่มสตรีเพศให้อยู่ภายใต้อำนาจความเป็นชาย ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะลืมว่า อำนาจที่ปกครองโดยระบบปิตาธิปไตยไม่เพียงแต่ควบคุมและกดขี่เพศหญิงเท่านั้น แต่ยังส่งผลกับเพศชายด้วยกันเองด้วย กล่าวคือผู้ชายทุกคนไม่ใช่จะชื่นชมและยอมรับความเหนือกว่าในบทบาททางเพศ พวกเขาจะแสดงพฤติกรรมต่อต้านเมื่อมีเพศชายอีกคนแสดงความเหนือกว่า แต่อีกนัยหนึ่ง สถานะความเป็นชายจะถูกบั้นทอนอย่างรวดเร็ว หากพวกเขาไม่สามารถปฏิบัติตนตามบทบาทที่พวกเขาโดนกำหนด- และเมื่อพูดถึงภาพลักษณ์ของคาวบอย (ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ที่สะท้อนความเป็นชายสูง) บนพื้นฐานภาพจำในโลกภาพยนตร์คาวบอยตะวันตก หลายคนคงนึกภาพของชายคนหนึ่ง ที่กำลังควบม้าผ่านทุ่งโล่ง ไม่ก็ทะเลทรายฝุ่นคลุ้ง สวมหมวกปีกกว้าง ที่เอวแนบปืนลูกโม่สองกระบอก อาจจะจินตนาการต่อว่าเป็นภาพชายควงบ่วงบาศเพื่อจับสัตว์ ภาพจำนี้อยู่ยืนยาวในความทรงจำของกลุ่มคนที่นิยมดูภาพยนตร์ตะวันตก จนกระทั่ง "Brokeback Mountain" ได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ และได้เปลี่ยนแนวคิดของชายผู้เชี่ยวชาญในการดวลปืน ให้มีมุมมองความเป็นไปที่ชายสองคนจะตกหลุมรักกัน ภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มด้วยหมู่ดาว ท่ามกลางความอ้างว้างภายในหุบเขา Brokeback- เรื่องราวย้อนไปในฤดูร้อนปี ค.ศ 1963 ณ รัฐ Wyoming ชายหนุ่มสองคน Ennis ผู้ช่วยดูแลฟาร์มปศุสัตว์ และ Jack นักสู้วัวกระทิงผู้มีความทะเยอทะยาน ถูกว่าจ้างให้ร่วมงานกันไปต้อนแกะบนภูเขาโบรกแบ็ก และแผนการที่พวกเขาคาดหวังไว้ในการเก็บเงินสร้างตัวในช่วงฤดูร้อนนี้ก็เปลี่ยนไป เมื่อเอ็นนิสถูกจู่โจมโดยสัตว์ป่า และเขาได้รับบาดเจ็บ แจ็คต้องดูแลคู่หูท่ามกลางความเงียบเหงาของบรรยากาศภายในหุบเขา ด้วยความใกล้ชิดและความเปลี่ยวเหงาที่ต้องห่างเหินสตรีเพศมาแสนนาน ความสัมพันธ์จากคู่หูพัฒนากลายเป็นความรัก ความใคร่ ความยุ่งยากและความเสี่ยงอย่างรวดเร็ว ความปรารถนาเพียงชั่ววูบจะดำเนินไปตลอดชีวิตของพวกเขานับต่อจากนี้ ผ่านการแต่งงาน ผ่านชีวิตครอบครัว และผ่านความคาดหวังในความเป็นชายโดยข้อจำกัดทางสังคม แล้วเขาทั้งสองจะดำรงอยู่ในความรักบนเงื่อนไขนี้ได้อย่างไร? - ในภาพยนตร์เรื่อง Brokeback Mountain ตัวละครและประเด็นที่นำเสนอ ได้รับแรงผลักดันอย่างมากจากแนวคิดเรื่องความเป็นชายที่มีอำนาจนำ ซึ่งส่งผลกระทบต่อบุคคลและสังคมโดยรวมภายในเรื่องราว เราจะถูกนำพาไปสู่โศกนาฏกรรม อันเป็นผลมาจากการถูกจำกัดในการสร้างอัตลักษณ์ให้เป็นไปตามอุดมคติของสังคม ดังนั้น ในบทความนี้ ผมมุ่งหมายที่จะพาผู้อ่านไปสำรวจส่วนลึกของความเป็นชายผ่านพัฒนาการในความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับความลื่นไหลทางเพศของแจ็คและเอ็นนิส รวมถึงการดึงตัวตนออกจากบทบาททางเพศที่เขาทั้งสองนั้นถูกตีตราให้อยู่ในกรอบ.➡️ การแสดงออกของความเป็นชาย- การแสดงออกของความเป็นชายนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่เกิดจากการปลูกฝังโดยสภาพแวดล้อมรอบตัวที่เราเติบโตขึ้นมา ความเป็นชายทำให้เพศชายในสังคมสามารถรักษาอำนาจ อภิสิทธิ์ และควบคุมโดยยึดมั่นในมาตรฐานของความหมายของการเป็น 'ชายชาตรี' ซึ่งมักจะครอบคลุมคุณลักษณะทางกายภาพตลอดจนลักษณะที่มักเกี่ยวข้องกับการเป็น 'ลูกผู้ชาย' เช่น การไม่แสดงออกทางอารมณ์ หรือมีพฤติกรรมก้าวร้าว เป็นต้น - ในภาพยนตร์เรื่อง Brokeback Mountain ตัวละคร Jack และ Ennis ถูกเลี้ยงดูมาในครอบครัวที่มีความคิดหัวโบราณอย่างไม่น่าเชื่อ โดยมีส่วนในการกำหนดบทบาททางเพศอย่างเคร่งครัดตั้งแต่พวกเขายังเป็นเด็ก ทั้งคู่เคยเป็นนักเรียนมัธยมปลาย ที่จำเป็นต้องออกจากระบบการศึกษาก่อนกำหนดเพราะความยากจน พวกเขาต้องอดทนอดกลั้นกับการทำงานหนักไปตลอดช่วงชีวิตนั้น ด้วยความที่ต้องใช้ชีวิตกับกิจวัตรเช้าเย็นไปกับภาคเกษตรกรรม ทำให้พวกเขามีพฤติกรรมก้าวร้าวและพูดจาหยาบคายเป็นบางครั้ง การถูกกำหนดบทบาททางเพศทำให้ชัดเจนขึ้น เมื่อเอ็นนิสยังเป็นเด็ก พ่อของเขาได้พาเขาไปดูร่างไร้วิญญานของชายรักร่วมเพศที่ถูกทารุณอย่างไร้ความปราณี ภาพที่โหดร้ายของศพชายคนนั้น ได้ถูกหว่านลงภายในจิตใจของเอ็นนิส ซึ่งตามหลอกหลอนเขาไปตลอดชีวิต แจ็คและเอ็นนิสจึงเป็นชายสองคนที่มาจากภูมิหลังที่ลำบากตรากตรำ และต้องเผชิญกับข้อจำกัดทางสังคมซึ่งผูกมัดชีวิตของพวกเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้- ระหว่างที่เขาทั้งสองได้รับหน้าที่ให้ดูแลฝูงแกะภายในหุบเขาที่มีทิวทัศน์ที่สวยงามนั้น แจ็คและเอ็นนิสค่อยๆเผยความอ่อนโยนซึ่งกันและกัน ในขณะเดียวกันนั้น พวกเขาก็พยายามปฏิเสธความรู้สึกของตัวเอง พวกเขาอยู่กับความพยายามยั้งใจต่อพฤติกรรมในความคิดที่ถูกอุปโลกน์โดยสังคม เพื่อไม่ให้พวกเขารักใครสักคนที่มีเพศสภาพที่พวกเขารู้สึกว่าไม่ควรจะดึงดูดใจ การต่อสู้ภายในจิตใจนี้แสดงให้เห็นครั้งแรกในขณะที่แจ็คและเอ็นนิสมีความลึกซึ้งทางกายภาพต่อกัน เราจะเห็นถึงแรงผลักดันที่คลุมเครือของความก้าวร้าวและความเสน่หาระหว่างพวกเขา ซึ่งสะท้อนความไม่แน่นอนของสถานการณ์ที่พวกเขากำลังเผชิญ และในขณะเดียวกัน พวกเขาต้องตอบคำถามตัวเองที่ก่อขึ้นภายในใจและก้าวข้ามความคิดเพื่อที่จะประคับประคองและพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งสองต่อไป▫️- อำนาจปิตาธิปไตยไม่เพียงวางเพศหญิงไว้ในตำแหน่งทางสังคมที่ด้อยกว่าเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นส่วนส่งเสริมอำนาจความเป็นชายให้แข็งแกร่งขึ้นไปอีก ซึ่งใกล้เคียงกับสังคมที่เปราะบางของแจ็คและเอ็นนิส ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอเราด้วยตัวละครเพศชายซึ่งเป็นต้นแบบของอำนาจปิตาธิปไตย อย่างเช่น Joe Aguirre (เจ้านายของแจ็คและเอ็นนิส) ,พ่อของเอ็นนิส และ John Twist (พ่อของแจ็ค) ที่เป็นตัวอย่างที่ดีในการเป็นตัวแทนของชายที่ใช้อำนาจกดขี่ครอบครัว นอกจากนี้ ยังมีตัวละครสมทบอีกหลายคนที่สะท้อนอำนาจปิตาธิปไตยในภาพยนตร์ - ตัวตนของตัวละคร Joe Aguirre แตกต่างจากแจ็คและเอ็นนิสทั้งในเรื่องเพศสภาพและชนชั้น อย่างที่เราเห็นในภาพยนตร์ เขาคือผู้กุมอำนาจซึ่งมีสิทธิ์ตัดสินใจให้แจ็คและเอ็นนิสได้ทำงานต่อไปหรือไม่? ซึ่งในสุดท้ายแล้ว เมื่อเขาค้นพบความลับบางอย่างของลูกจ้างของเขา เขาก็ไล่ทั้งสองคนออกเพราะเขาเป็นคนที่เกลียดชังคนรักร่วมเพศ นี่คือส่วนหนึ่งของตัวอย่างที่แจ็คและเอ็นนิสโดนปฏิบัติโดยกลุ่มชายในวงสังคมของพวกเขา ซึ่งเผยให้เห็นสภาพแวดล้อมที่ถูกปลูกฝังค่านิยมแบบปิตาธิปไตยอย่างหยั่งรากลึก เป็นค่านิยมที่พวกเขาโดนปลูกฝังมาตั้งแต่เกิด ซึ่งได้ก่อตัวภายในสังคมและส่งผลให้เกิดความเกลียดชังการรักร่วมเพศ เพื่อให้สังคมดำรงไปได้ด้วยอำนาจของความเป็นชายที่สมบูรณ์ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า สิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการรับรู้สถานะของตนในฐานะเพซชายอีกด้วย▫️- มีอุปมานิทัศน์ (Allegories) ที่ชี้ให้เห็นถึงความยากลำบากของ Jack และ Ennis ที่ท้าทายต่อแนวคิดเรื่องความเป็นชาย ซึ่งมีความเชื่อมโยงกันอย่างสละสลวยผ่านในหลายๆฉากตั้งแต่ช่วงแรกๆของภาพยนตร์ อย่างเช่นในฉากที่แจ็คพยายามจะยิงหมาป่าที่มารังควาญฝูงแกะที่เขาดูแลอยู่ แต่เขาดันยิงพลาด หรืออุปนิสัยที่ดูเอาแต่ใจของเขา ซึ่งเป็นการบ่งบอกอ้อมๆ ถึงความสัมพันธ์ที่ตัวละครของเขามีกับคำนิยามของความเป็นชายที่เขามีปัญหา (ความเป็นชายที่แสดงผ่านความสามารถความแม่นปืนและอุปนิสัยที่ขัดต่อแนวคิดความเป็นชาย) ส่วนตัวละครเอ็นนิส ในฉากที่เขาพบกับหมีซึ่งจู่โจมเขาระหว่างทาง ทำให้ม้าของเขาเกิดพยศ และทำให้เขาสูญเสียเสบียงที่ใช้ดำรงชีพกลางป่าเป็นสัปดาห์ ก็เป็นนัยยะที่สื่อถึงความอ่อนแอของตัวละครอย่างอ้อมๆเช่นกัน - และสัญลักษณ์แฝงคติที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด นั่นคือข้อเท็จจริงที่ว่าแจ็คและเอ็นนิส ซึ่งทำหน้าที่เป็นคนต้อนแกะ ซึ่งเป็นภาระงานที่คาวบอยส่วนใหญ่ในสังคมเลือกที่จะเพิกเฉย นัยยะที่ละเอียดอ่อนแต่สำคัญต่อการเล่าเรื่องเหล่านี้ ช่วยตอกย้ำการแพร่หลายของแนวคิดความเป็นชายที่มีอำนาจนำซึ่งฝังรากลึกในความคิดของคนในสังคม และได้มีอิทธิพลส่งผลต่อชีวิตของเขาทั้งสองอย่างไร
.
➡️ ความขัดแย้งของความเป็นชายกับความลื่นไหลทางเพศ
- ความกังวลเกี่ยวกับบทบาทเพศชายนี้ก่อให้เกิดความขัดแย้งกับแนวคิดเรื่องความลื่นไหลทางเพศ ซึ่งปฏิเสธแนวคิดเกี่ยวกับความโรแมนติกและความลึกซึ้งในความสัมพันธ์ระหว่างเพศชายด้วยกัน ผู้ชายที่ยึดมั่นในอำนาจแห่งเพศ จะมีแนวโน้มสูงว่าจะถูกกดดันในสถานการณ์ที่ความเป็นชายของพวกเขาถูกคุกคาม แรงกดดันอันไม่พึงประสงค์ (ในมโนทัศน์) ล้วนเกิดขึ้นจากความไร้สามารถที่จะรักษาบทบาทตามมาตรฐานซึ่งกำหนดโดยบรรทัดฐานแห่งความคาดหวังของแนวคิดความเป็นชายเจ้าโลก เมื่อผู้ชายเหล่านี้ประสบกับความเครียดจากความกดดัน พวกเขามีแนวโน้มที่จะตอบสนองกลับในลักษณะที่ตอกย้ำความเป็นชายของพวกเขา
- ในกรณีของภาพยนตร์เรื่อง Brokeback Mountain ความลื่นไหลทางเพศของตัวละคร Jack และ Ennis ถูกชะงักโดยทันที หลังจากที่พวกเขาถูกเจ้านายจับได้และถูกไล่ออกจากงาน เพราะความสัมพันธ์ที่เกินคำว่าเพื่อนรัก พวกเขาคิดว่าความรักที่เกิดขึ้นระหว่างเขาทั้งสองในช่วงเวลาสั้นๆนั้น ไม่คุ้มค่ากับความกลัวและการโดนปฏิบัติที่จะเกิดขึ้นไปตลอดชั่วชีวิตที่เหลือ ทั้งสองจึงได้ตัดสินใจแยกทางกัน และแต่ละคนก็ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วเริ่มมีครอบครัวเป็นของตัวเอง การตัดสินใจเลือกทางเดินนี้จึงเป็นการตอกย้ำบทบาทของพวกเขาในฐานะผู้ชายในสังคม เนื่องจากความคาดหวังทางสังคมที่ปลูกฝังให้แจ็คและเอ็นนิสมาตั้งแต่เด็กๆนั้นมีอิทธิพลกับชีวิตมากเกินไป พวกเขาจึงปฏิเสธความคิดที่จะรักษาความรักของพวกเขาที่มีต่อกันนอกหุบเขาแห่งนี้ ดังนั้นชีวิตในอุดมคติของพวกเขาจึงไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่ว่าพวกเขาจะเลือกเส้นทางไหน จะประคับประคองความสัมพันธ์ไปได้นานสักเท่าไร พวกเขาก็จะต้องปิดบังความรักของพวกเขาไปกับหลืบมุมของความมืดในสังคม เพราะสังคมไม่มีที่ว่างให้กับสิ่งใดที่อยู่นอกเหนือจากความเป็นชายอันสมบูรณ์
- แนวคิดรักต่างเพศมีส่วนความสำคัญต่อแนวคิดเกี่ยวกับอำนาจนำในความเป็นชาย ซึ่งได้แผ่อิทธิพลทำให้ความเป็นชายมีอำนาจเหนือกว่าเพศหญิง รวมถึงควบคุมอำนาจในเพศชายด้วยกันให้ดำรงอยู่สืบไปอีกด้วย ดังที่นักวิชาการกล่าวไว้ว่า “ชายรักชายในอุดมการณ์ปิตาธิปไตย คือสัญลักษณ์อันเป็นที่รองรับความชอบธรรมของกลุ่มชายเจ้าโลก เพื่อใช้ในการขับไล่และจำกัดขอบเขตอำนาจกลุ่มชายที่มีอำนาจด้อยกว่า” "การกำกับดูแลขอบเขตอำนาจระหว่างการรักต่างเพศและรักร่วมเพศ คือหัวใจสำคัญในการสร้างความเป็นชายที่มีอำนาจนำ"
- กฎเกณฑ์และข้อจำกัดเกี่ยวกับแนวความคิดรักต่างเพศและรักร่วมเพศเหล่านี้ ถูกปลูกฝังไว้ในความคิดของแจ็คและเอ็นนิส ทำให้พวกเขาเลือกที่จะก้าวออกจากน่านน้ำของความลื่นไหลทางเพศ ปฏิเสธความต้องการในเบื้องลึกของจิตใจ พวกเขาตัดสินใจเลือกรักษาสถานะทางสังคมในฐานะผู้ชายที่สมรสกับผู้หญิงและสร้างครอบครัวที่ผาสุก แทนที่จะปล่อยสภาวะอารมณ์ให้เป็นตัวกำหนดบทบาททางเพศของพวกเขา
.
➡️ โครงสร้างของอำนาจความเป็นชาย
- โครงสร้างของความเป็นชายนั้น เกิดจากอุดมการณ์ที่แตกต่างกันอย่างมากของ 'ความเป็นชาย' และ 'ความเป็นหญิง' ซึ่งวิวัฒนาการมาจากกระบวนการกำกับดูแลที่ยืดเยื้อของบทบาททางเพศที่ถูกกำหนดมาตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งเราใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างตัวตนของเรา ~ อัตลักษณ์ทางเพศถูกสร้างขึ้นอย่างต่อเนื่องผ่านภาษา ท่าทาง และสัญลักษณ์ทางสังคมทุกรูปแบบ ซึ่งสะท้อนว่าพฤติกรรมของเรานั้นได้มีบทบาทในการกำหนดเพศของเรา
- Jack และ Ennis มีลักษณะเฉพาะที่เงียบขรึม พูดน้อย รักษาอาการและมีความอ่อนไหวทางอารมณ์ ในขณะที่ตัวละครหญิงอย่าง Alma และ Lureen ถูกถ่ายทอดออกมาว่าเป็นคนช่างพูด กล้าแสดงออก ค่อนข้างอ่อนไหวและเข้าสังคมได้ดี ซึ่งภาพยนตร์ได้นำเสนอลักษณะ 'ผู้ชาย' และ 'ผู้หญิง' ตามธรรมเนียมของเพศสภาพ ความสัมพันธ์ระหว่างบรรทัดฐานทางเพศ ทางสังคม และปัจเจกบุคคลนั้นค่อนข้างซับซ้อน โดยแต่ละฝ่ายมีผลกระทบซึ่งกันและกันในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน
- และจำเป็นต้องย้ำว่านี่เป็นปัญหาไม่เพียงแต่สำหรับผู้หญิง แต่ยังส่งผลต่อผู้ชายด้วย ระบบจากแนวคิดนี้ช่วยให้เพศชายอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจเหนือกว่าเพศหญิงโดยส่วนใหญ่ และในความสัมพันธ์เชิงแข่งขันกับเพศชายคนอื่นๆนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นในแง่ของสุขภาพและคุณภาพชีวิต (แข็งแรงกว่า มีฐานะที่ดีกว่า มักจะมีความเป็นชายมากกว่า)
- แจ็คและเอ็นนิสกักขังตัวเองไว้กับกำแพงแห่งความเป็นชายเจ้าโลก เพื่อนำไปสู่ความหมายของการมีชีวิตรักต่างเพศที่ 'เป็นปกติ' เมื่อเอ็นนิสและอัลม่าแต่งงานกัน เขาเก็บความทรงจำเกี่ยวกับสิ่งที่เขากับแจ็คได้มีสัมพันธ์กันไว้เป็นความลับ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของเขาที่จะอยากมีชีวิตอยู่ในฐานะผู้ชายที่คงไว้ซึ่งบรรทัดฐานรักต่างเพศ จากลักษณะภายนอกของเขาเป็นตัวอย่างที่ดีในอุดมคติของแนวคิดผู้ชายที่มีอำนาจนำ โดยคงไว้ซึ่งวิถีชีวิตที่ลำบากและหาเลี้ยงชีพเพื่อภรรยาและลูกสาวสองคนของเขา อย่างไรก็ตาม ก้นบึ้งภายในของเขา ก็มีความคิดและอารมณ์ที่เอ็นนิสกดทับและข่มไว้ลึกๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคที่ขวางกั้นความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอัลม่า
- เอ็นนิสต้องต่อสู้ดิ้นรนอย่างมากกับความทรงจำของแจ็คที่ยังคงอยู่ในตัวเขา เช่นเดียวกับความขัดแย้งในอัตลักษณ์และความรู้สึกที่แท้จริงของเขา ซึ่งเขาต้องดิ้นรนพยายามรักษาความเป็นชายที่สังคมยอมรับให้ได้ ความคิดอันหนักอึ้งโดดเดี่ยวที่เขาต้องทนเก็บไว้อย่างอย่างเงียบๆ ก่อให้เกิดระยะห่างระหว่างเขากับอัลม่า และทำให้ชีวิตสมรสของเขาต้องถึงจุดจบในที่สุด
- สำหรับแจ็ค เขาไม่เคยปฏิเสธอารมณ์ของเขาที่มีต่อผู้ชาย เขายอมรับตัวเองมากกว่าที่เอ็นนิสทำ และเขายังคงแบ่งบันความกังวลที่เกิดขึ้นกับเอ็นนิสอยู่เสมอ ~ เพื่อรักษาตัวตนและสถานะทางสังคมของเขาในฐานะผู้ชายที่คงไว้ซึ่งบรรทัดฐานรักต่างเพศ ทำให้เขาพิสูจน์ตัวเองด้วยการแต่งงานกับลอรีนและมีลูกกับเธอ แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้ทำให้เขาหยุดที่จะคบชู้สู่ชายแต่อย่างใด เขายังคงสนองตัณหากับความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนกับชายคนอื่นอยู่เสมอมา
- การถือว่า 'ชีวิตสมรส' เป็นตัวบ่งชี้ถึงความเป็นชายที่มีอำนาจนำแทนที่จะเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักนั้น ทำให้เกิดข้อคำถามเกี่ยวกับเพศที่ตามมา ซึ่งพัฒนาบนสองขั้วของความเป็นชายและความเป็นหญิง ในแง่มุมของความเป็นหญิง ซึ่งถูกตีความในบริบทของรักต่างเพศว่าเป็นสิ่งที่ส่งเสริมความเป็นชาย ทำให้เกิดความเชื่อที่ว่าการแต่งงานกับเพศหญิง (แท้) เท่านั้น ที่จะทำให้ผู้ชายคงไว้ซึ่งอำนาจของความเป็นชายโดยสมบูรณ์ และทำให้เกิดความคิดที่ว่าหากพวกเขาอยู่กับใครสักคนที่มี 'ความเป็นชาย' มากกว่าตน พวกเขาจะถูกคุกคามด้วยความรู้สึกของความเป็นชายในมโมคติของตนเช่นกัน (อย่างเช่น เราเป็นผู้ชาย แล้วมีคนแซวว่า 'ชอบผู้ชายหรือเปล่า?' เราจะถูกความคิดของความเป็นชายคุกคามทันที ให้ปฏิเสธและยืนยันว่าเราเป็นชายทั้งแท่ง ซึ่งพิจารณาจากอารมณ์และพฤติกรรม ณ ขณะนั้น เราจะสังเกตว่าเราจะหัวเสียกว่าปกติ)
▫️
- ในภาพยนตร์เรื่อง Brokeback Mountain เราสามารถแยกโครงสร้างและอัตลักษณ์ทางเพศ โดยให้เราตั้งคำถามว่าเพศเป็นแนวคิดที่ตายตัวหรือไม่? และรสนิยมทางเพศที่แตกต่างนั้นเป็นทางเลือกหรือไม่?
- จากเรื่องราว การมีปฏิสัมพันธ์อันลึกซึ้งของ Jack และ Ennis กับเพศหญิงถูกทำให้เป็นเพียงแค่หน้าที่ในการสร้างครอบครัวเพื่อพิสูจน์ตนว่าเป็นผู้ชายในสังคมเท่านั้น แทนที่จะเป็นผลจากการเชื่อมโยงทางอารมณ์อันลึกซึ้งระหว่างเพศชายและเพศหญิง ต้องบอกตามตรงว่า การร่วมเพศตามธรรมชาตินั้นแทบจะไม่มีอยู่จริง แต่เป็นความเชื่อที่เราสร้างขึ้นผ่านโครงสร้างทางสังคม กล่าวคือ เรามีเพศสัมพันธ์ภายใต้กรอบที่เข้มงวดและมีการควบคุมที่รัดกุม เพราะการให้กำเนิดใครสักคนมีค่าใช้จ่ายและมีการวางแผนชีวิตที่สูง ซึ่งมีผลกระทบต่อตัวเอง ครอบครัวและสังคม ดังนั้นการมีเพศสัมพันธ์ในแต่ละครั้งต้องผ่านข้อจำกัดมากมายและไม่มีความเป็นธรรมชาติที่แท้จริง
- ความสัมพันธ์ระหว่างเอ็นนิสกับอัลม่าดูเหมือนจะเกี่ยวกับเรื่องเพศและการให้กำเนิดทายาทเป็นหลัก โดยมีการสะท้อนระดับอารมณ์ที่ลึกซึ้งให้เห็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จะเห็นได้จากการสนทนาส่วนใหญ่ระหว่างเอ็นนิสและอัลม่าที่สื่อออกมาภายในภาพยนตร์ มักจะเอนเอียงไปในเรื่องการเลี้ยงดูลูกและปัญหาทางด้านการเงินเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งยืนยันได้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นเพียงการเล่นตามกฎเกณฑ์ของสังคม โดยแต่ละคนก็ทำหน้าที่ทางเพศตามที่ได้รับมอบหมาย ตรงกันข้ามกับความสัมพันธ์ที่เอ็นนิสสร้างขึ้นกับแจ็ค ซึ่งมีบทบาทและมีความหมายมากกว่าแค่คู่นอน แจ็คถูกมองว่าเป็นคนรักซึ่งไม่มีใครทดแทนได้ เพราะพวกเขาผูกพันกันโดยมีความสนใจ รวมถึงมีสถานะสังคมในระดับเดียวกัน และแจ็คยังเป็นคนเดียวที่เอ็นนิสเต็มใจที่จะเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงและระบายความในใจที่อัดอั้นของเขาต่อสังคมได้อย่างหมดเปลือก
- มีช่วงเวลาหนึ่งในภาพยนตร์ ที่เอ็นนิสใช้คำพูดของแม่เพื่อแซวแจ็คว่ายืนซึมเป็นม้า ก่อนจะโอบกอด และร้องเพลงกล่อมให้แจ็คฟังด้วยเสียงที่ดูสงบและเปี่ยมสุข ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีที่จะอธิบายความแตกต่างระหว่าง'คนรัก'และ'คนที่จำเป็นต้องรัก' โดยเมื่อเทียบเคียงกับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอัลม่าแล้ว เราจะแทบไม่เคยเห็นเอ็นนิสปฏิบัติกับเธอเช่นนั้นเลย
.
➡️ ความเป็นชายหลากมิติ
- นักมานุษยวิทยาและนักประวัติศาสตร์ได้พิจารณาแล้วว่า ความเป็นชายที่เราศึกษานั้น ไม่ได้มีเพียงรูปแบบเดียวที่ตายตัว การสร้างรูปแบบเฉพาะของความเป็นชายได้รับอิทธิพลอย่างสูงจากวัฒนธรรมที่หลากหลายและช่วงเวลาที่แตกต่างกันในหน้าประวัติศาสตร์ การกำหนดความหมายของความเป็นชายนั้นแตกต่างกันไปตามบริบทที่แตกต่าง อย่างเช่น ในบางวัฒนธรรมให้ความสำคัญกับระบบทหารเป็นอย่างมาก เนื่องจากพวกเขามองว่าความรุนแรงเป็นลักษณะการปกครองของความเป็นชาย ในขณะที่บางวัฒนธรรมอาจมองว่าทหารเป็นสังคมแห่งการดูถูกและเต็มไปด้วยความรุนแรง ซึ่งเป็นการดูหมิ่นศาสนา บางวัฒนธรรมอาจถือว่าการรักร่วมเพศเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับความเป็นชายที่บริสุทธิ์ ในขณะที่วัฒนธรรมอื่นๆ อาจมีจุดยืนที่มีความอนุรักษ์นิยมน้อยกว่า ความเป็นชายในสังคมชนชั้นแรงงานนั้นแตกต่างกันอย่างมากจากความหมายของความเป็นชายในสังคมชนชั้นกลาง ซึ่งเกิดจากความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจน ดังนั้น ในสังคมพหุวัฒนธรรมที่กว้างใหญ่ คำจำกัดความของความเป็นชายจึงมีอยู่มากมายยากจะนิยาม
- ดังที่กล่าวไปแล้ว รูปแบบและคำจำกัดความของความเป็นชายสามารถดำรงอยู่ได้ในบริบทที่เฉพาะ อาจมีมุมมองและกิริยาที่แตกต่างกันเกี่ยวกับความเป็นชายที่เกิดขึ้นในสถานที่ทำงาน ชุมชน หรือวงสังคมเดียวกัน ตัวอย่างเช่น บริบทชนชั้นกลางในเมืองใหญ่ ความเป็นชายอาจหมายถึงการมีบทบาทของความเป็นผู้นำที่เป็นประโยชน์ในหน้าที่การงาน ตรงกันข้ามกับบริบทอื่นจากกลุ่มประชากรเดียวกัน ซึ่งอาจจะตีความความเป็นชายได้ในอีกลักษณะ คือไม่ได้มุ่งเน้นที่ความเป็นผู้นำ แต่มุ่งเน้นที่ทักษะความสามารถขั้นสูงในระดับปัจเจกบุคคล เป็นต้น
▫️
- ในสังคมเมืองใหญ่ ซึ่งทำหน้าที่เป็นพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่สำหรับประชากรที่มีความหลากหลายทางเพศ และมักเอื้อต่อประสบการณ์ทางเพศที่มากมายแก่กลุ่มพลเมืองในสังคม ในแง่ของการแสดงออกของการรักร่วมเพศกับความเป็นเมือง ภาพยนตร์ Brokeback Mountain พาเราออกจากภาพแทนอันเกินจริงนี้ โดยฉายภาพตัวละครที่มีประสบการณ์ที่ตรงข้ามกับความทันสมัยของสังคมเมืองที่สามารถมีทางเลือกมากมายให้ตัดสินใจ เราเห็น Jack และ Ennis ถูกจำกัดอยู่ในกรอบของพื้นที่ภายในรัฐ Wyoming และ Texas ในช่วงทศวรรษที่ 60s ซึ่งบทบาทของความเป็นชายมีอิทธิพลอย่างมากต่อสังคมภายในช่วงเวลาและสถานที่แห่งนั้น เนื่องจากการดำรงเผ่าพันธุ์ในพื้นที่ มีเพื่อรักษาโครงสร้างทางมรดกของบรรพบุรุษ และมีขึ้นเพียงเพื่ออุ้มชูสถาบันครอบครัวเท่านั้น
- ความเงียบสงบอันน่าทึ่งของภูเขาโบรกแบ็กเป็นสัญลักษณ์ของความโดดเดี่ยว ความสูงภายในหุบเขาคือนัยยะของพลังและการปลดปล่อย ที่ซึ่งแจ็คและเอ็นนิสปราศจากความกลัว ความอัปยศอดสู และความหวาดระแวง ความอิสระเสรีที่เกิดขึ้น ณ สถานที่แห่งนี้ ช่างกว้างขวางและห่างไกลจากความวุ่นวายของสังคม ซึ่งได้ปูสถานการณ์สำหรับการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองที่ไม่อาจเกิดขึ้นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชนบทของรัฐไวโอมิงยุค 60s
▫️
- ภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่มีการดำเนินเรื่องโดยตัวละครเอกชายสองคน มักจะมีโครงสร้างตัวละครในลักษณะที่แสดงถึงความเป็นชายที่ 'แบ่งแยก' กันอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นการจับคู่ระหว่างตัวละครชายที่มีท่าทีที่เป็นมิตรกับตัวละครชายที่มีท่าทีที่คุกคาม
- แม้ว่าในภาพยนตร์ ตัวละครแจ็คจะไม่ได้มีลักษณะที่ดูคุกคามหรือครอบงำความคิดของตัวละครเอ็นนิสสักเท่าไหร่ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา ก็มีอำนาจพอที่จะหล่อเลี้ยงและพัฒนาความรู้สึกให้มีมากเกินกว่าคำว่า 'คู่หู' ในครั้งแรกที่พวกเขามีสัมพันธ์อันลึกซึ้ง ได้เผยให้เห็นองค์ประกอบของโครงสร้างทางอำนาจในความสัมพันธ์นั้น โดยแบ่งออกเป็นอำนาจ 'เชิงรุก' และ 'เชิงรับ'
- ในฉากภายในเต็นท์นอน แม้ว่าเราจะเห็นว่าแจ็คเป็นฝ่ายเริ่มก่อน และเอ็นนิสก็ตอบสนองด้วยความรู้สึกถูกผิด ก่อนเขาจะเป็นฝ่ายรุกเข้าหาแจ็คในเวลาต่อมา เมื่อเรื่องราวดำเนินต่อไป ความสมดุลของอำนาจระหว่างทั้งสองก็ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เมื่อพวกเขาแยกย้ายไปสร้างชีวิตของตนเองในช่วงเวลาหนึ่ง แม้จะเจอกันอีกครั้ง และทั้งสองก็ตอบสนองอำนาจนั้นเหมือนอย่างที่เคยทำภายใต้หุบเขาโบรกแบ๊ก แต่ความปรารถนาก็ไม่สามารถเติมเต็มความต้องการของพวกเขาได้อีกต่อไป ซึ่งเผยให้เห็นรอยแยกลึกในโครงสร้างทางอุดมการณ์ของความเป็นชายที่อยู่ท่ามกลางช่วงเวลาและสถานการณ์ต่างๆ เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ละเอียดอ่อนในความหมายของความเป็นชายในช่วงเวลาและช่วงชีวิตของพวกเขา ตั้งแต่ตอนที่แจ็คและเอ็นนิสพบกันครั้งแรก จนเมื่อพวกเขาตกหลุมรักในหุบเขาเร้นรัก ไปจนถึงมุมมองทางเพศเมื่อพวกเขากลับไปใช้ชีวิตในสังคมอีกครั้ง จวบจนช่วงชีวิตสุดท้ายของตัวละครแจ็คผู้ล่วงลับ
.
➡️ ความซับซ้อนในอำนาจของความเป็นชาย- ความเป็นชายไม่สามารถกำหนดหรือแก้ไขได้อย่างเฉพาะเจาะจง เนื่องจากมันไม่ใช่รูปแบบที่เรียบง่ายหรือมีความเป็นหนึ่งเดียว การแสดงออกทางเพศของมนุษย์มีแนวโน้มที่จะออกมาในรูปแบบความโลดโผน ความปรารถนา หรือตรรกะที่ขัดแย้งกันต่อเรื่องราวและสถานการณ์ได้เสมอ เพราะพัฒนาการทางเพศเติบโตไปพร้อมกับประสบการณ์ชีวิตที่สั่งสมมา ซึ่งตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมที่กำลังเผชิญในหลายๆสถานการณ์ ▫️- แม้ Ennis จะรักษามาตรฐานของความเป็นชายอย่างเข้มงวด แต่เมื่อเขาพบกับ Jack อีกครั้งในรอบสี่ปี ความโหยหาภายในใจก็หลั่งไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ เขาเข้าไปจูบแจ็คอย่างดูดดื่ม ชั่วขณะหนึ่ง ก็เกิดความท้าทายกฎเกณฑ์ความเป็นชายที่เขาตั้งไว้ โดยไม่สนใจสายตาของสังคม และความจริงที่ว่าภรรยาและลูกๆอยู่ในบ้าน ซึ่งจะเห็นการกระทำของเขาได้ง่ายๆ - ในจังหวะนี้ การแต่งงานเพื่อบังหน้าก็ไม่อาจปกปิดความปรารถนาของชายทั้งสองได้อีกต่อไป แจ็คและเอ็นนิสเริ่ม 'ทริปตกปลา' เป็นระยะๆบนภูเขาโบรกแบ็กตลอดเวลากว่า 20 ปี ขณะเดียวกัน พวกเขาก็ยังเสแสร้งยึดมั่นในความเข้มแข็งของความเป็นชายต่อไป มีการรับรู้ร่วมถึงความลึกซึ้งในความสัมพันธ์ของพวกเขาว่ามีความหมายต่อกันและกันมากเพียงใด ถึงกระนั้น พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะไม่ใช้ชีวิตร่วมกัน แต่ก็ไม่อาจตัดใจที่จะปล่อยมือจากกันได้เช่นกัน▫️- ตลอดเรื่องราวในช่วงนี้ เราจะเห็นว่า Ennis ทุ่มเทขนาดไหนเพื่อจะได้พบกับ Jack เขาสามารถสร้างข้ออ้างอันชอบธรรม ซึ่งมีไว้เพื่อคงสถานภาพความเป็นชายและไว้ใช้อธิบายคนรอบข้างได้เสมอ โดยเฉพาะภรรยาของเขา ซึ่งเขาไม่รู้เลยว่าเธอรู้ความจริงตั้งแต่วันแรกที่เขาเจอกับแจ็ค และได้กระทำพฤติกรรมอันบาดตาบาดใจต่อเธอ คำโกหกที่เกิดขึ้นซ้ำๆตลอดหลายปี ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความล่มสลายในครอบครัวของเอ็นนิสในที่สุด - ซึ่งในมุมของแจ็ค แม้เอ็นนิสจะจริงใจกับเขามากเพียงใด แต่สิ่งที่ทำร้ายแจ็คกลับเป็นคำปฏิเสธที่จะหลีกเลี่ยงชีวิตในอุดมคติระหว่างเขาทั้งสอง เราจะเห็นผลทีละเล็กทีละน้อยของการปฏิเสธซ้ำๆ ซึ่งได้สะสมมาตลอดเกือบ 20 ปี เมื่อชีวิตสมรสของเอ็นนิสพังทลาย จนทำให้เอ็นนิสหย่าร้างกับภรรยา แจ็คมองเห็นโอกาสที่จะสร้างชีวิตใหม่กับเอ็นนิสในที่สุด ซึ่งเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่เขาจะหยิบยื่นโอกาสให้กับชายผู้เป็นที่รักของเขา แต่เขากลับถูกปฏิเสธในทันทีทันใด เอ็นนิสยังคงเลือกเส้นทางชีวิตที่อยู่ภายใต้กรอบของความเป็นชาย แต่สำหรับแจ็คแล้ว เขาไม่อาจกลับไปใช้ชีวิตในกรอบความคิดนั้นได้อีกต่อไปได้อีก▫️- การตัดสินใจที่ซับซ้อนของเอ็นนิสช่างดูสับสน ซึ่งบางครั้งสอดคล้องกับแนวคิดเรื่องความเป็นชายที่มีอำนาจนำ และบางครั้งก็ดูเป็นการท้าทายแนวความคิดนั้นโดยสิ้นเชิง ธรรมชาติที่ซับซ้อนอย่างเหลือเชื่อของการมีอยู่ในโลกใบนี้ การก่อตัวและการสูญเสียความสัมพันธ์ ความลึกอันไร้ขอบเขตของจิตใจมนุษย์ และโครงข่ายของเงื่อนไขในความคิดมนุษย์ มักจะอยู่เหนือกฎเกณฑ์เสมอ การตัดสินใจใดๆที่เกิดขึ้น มันเป็นเพียงความโน้มเอียงภายในจิตใจและความคิดของมนุษย์คนหนึ่งในชั่วเวลาขณะหนึ่งเท่านั้น .➡️ การกำหนดตัวตนในความเป็นชาย- แนวคิดของความเป็นชายเจ้าโลกนั้น สามารถเผยสาเหตุที่ทำให้ Brokeback Mountain มักถูกจัดว่าเป็นภาพยนตร์ 'คาวบอยเกย์' ได้โดยง่าย หากไม่มองเรื่องเพศเป็นประเด็นหลัก ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นแค่ 'เรื่องราวความรักอันน่าเศร้า' เรื่องหนึ่งเท่านั้น ในบรรดากลุ่มผู้ชมต่างเพศหรือระบุตัวเองว่าเป็นชายแท้ ย่อมเผลอจำแนกภาพยนตร์เรื่องนี้โดยไม่รู้ตัว เพื่อติดฉลากไว้ซึ่งกีดกันหรือเพิกเฉยที่จะรับชมในครั้งต่อไป- การจำแนกประเภทภาพยนตร์ในประเด็นทางเพศมี 2 รูปแบบที่ผู้คนมักจะมุ่งเน้น คือ 1. มุ้งเน้นไปที่ความฝันและจินตนาการที่เกี่ยวข้องกับแนวโน้มที่ขัดแย้งในโครงสร้างของแต่ละบุคคล 2. มุ้งเน้นไปที่การกำหนดตัวตนแบบหลงตัวเองเพื่อจำกัดตัวละครตัวนั้นว่าเป็นคนชายขอบในสังคมหรือไม่- ความรู้สึกทั้งสองนี้ถูกกระตุ้นด้วยอุตสาหกรรมสื่อบันเทิงในปัจจุบัน เป็นความรู้สึกของการได้เห็นส่วนต่างๆภายในจิตใจของคนดู ซึ่งทำให้เกิดการกำหนดตัวตนที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ตัวตนในภาพที่ฉายบนหน้าจอ และพยายามกำหนดตัวตนตามบทบาทต่างๆที่เป็นส่วนหนึ่งของการเล่าเรื่อง ตั้งแต่ตัวเอกไปจนถึงตัวร้าย การกำหนดตัวตนจึงมีหลากหลายแบบและหลากหลายความแตกต่าง แต่ในท้ายที่สุด ก็เป็นแค่เพียงการกำหนดคำนิยามตามค่านิยมที่ภาพยนตร์ได้นำเสนอเท่านั้น▫️- Annie Proulx นักเขียนเจ้าของเรื่องสั้นที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับภาพยนตร์เรื่อง Brokeback Mountain เธอได้เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อไว้ว่า เธอเคยได้รับจดหมายจำนวนนับไม่ถ้วนจากผู้ชมหรือผู้อ่านเพศชายที่เขียนถึงเธอ โดยมีเนื้อหาประมาณว่า "...พวกเขาเข้าใจว่าแจ็คและเอ็นนิสจะมีพฤติกรรมอย่างไรเพราะเพศที่พวกเขาเป็น" และจดหมายหลายฉบับก็บ่นเกี่ยวกับตอนจบของภาพยนตร์ โดยเริ่มต้นจดหมายด้วยข้อความ "ผมไม่ใช่เกย์นะ แต่..." และเธอยังได้รับ 'คำแนะนำ' ให้มีการเขียนตอนจบใหม่ ซึ่งเกี่ยวกับคนรักใหม่หรือแฟนหนุ่มของ Ennis หลังจากการสูญเสียของ Jack- แอนนี่ย์แสดงความขุ่นเคือง ที่ผู้ชายที่เขียนถึงเธอดูเหมือนจะไม่เข้าใจบริบทว่าเรื่องราวนี้ไม่ใด้มีเนื้อหาแค่เกี่ยวกับแจ็คและเอ็นนิสเท่านั้น แต่เนื้อหามันสะท้อนปัญหาทางสังคมที่ใหญ่กว่า การตอบสนองจากมุมมองของชายที่เขียนจดหมายถึงเธอนี้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงการขาดความเข้าใจในประเด็นของภาพยนตร์ ที่ได้นำเสนอประเด็นปัญหาเพื่อให้ผู้คนเข้าใจหัวอกคนที่ไม่ได้สิทธิพิเศษทางสังคม และคนที่ไม่ได้เกิดมาพร้อมกับการได้รับเกียรติจากความเป็นชายเจ้าโลก ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ กลับกลายเป็นคนชายขอบ ชีวิตของพวกเขาอยู่ในความโกลาหลอย่างทนทุกข์ในจุดอับของสังคม - แทนที่จะเลือกมีความสุขกับการเริ่มต้นใหม่กับใครสักคน เอ็นนิสเลือกที่จะรักครึ่งชีวิตที่เหลือของเขา โดยรักษาความสัมพันธ์อันบริสุทธิ์ระหว่างเขาและแจ็คไว้ในความทรงจำ นี่คือจุดจบที่ตอกย้ำได้ดี ว่าตัวละครเอ็นนิสได้ยอมรับตัวของเขาได้แล้ว แม้ว่ามันดูจะสายเกินไปก็ตาม นั่นเป็นประเด็นที่ชัดเจนที่ภาพยนตร์ได้นำเสนอ ซึ่งไม่อาจก้าวข้ามมุมมองของคนดูบางกลุ่มที่ตัดสินประเด็นทางเพศอย่างผิวเผิน.➡️ อายุขัยของความเป็นชาย- ช่วงเวลาสุดท้ายของ Jack และ Ennis ในภาพยนตร์เรื่อง Brokeback Mountain ช่างเป็นช่วงเวลาที่บีบคั้นหัวใจอย่างที่สุด เอ็นนิสไม่เพียงแต่จะปฏิเสธความคิดที่จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ณ สถานที่แห่งหนึ่งในอุดมคติของแจ็คเท่านั้น แต่เขายังคงยืนยันว่าพวกเขาทั้งสองจะใช้ชีวิตแบบหลบๆซ่อนๆอย่างนี้ไปอีกนาน ซึ่งเป็นเรื่องที่รับไม่ได้สำหรับแจ็ค เพราะนั่นมันหมายความว่าตลอดไป ความเจ็บปวดของทั้งสองถูกวางไว้บนความงามอันแท้จริงของภูเขาโบรกแบ๊ก โดยความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติได้เน้นย้ำถึงความจริงอันแสนสาหัสที่เกิดขึ้นในฉากนี้ให้ทรงพลังยิ่งขึ้น- ภูเขาโบรกแบ๊กยังคงเป็นความทรงจำที่แสนเจ็บปวดและเป็นความทรงจำที่ทำให้เกิดความโหยหาของเอ็นนิส หลังจากการจากไปของแจ็ค ภูมิทัศน์ที่เคยพิสูจน์ได้ว่าเป็นสถานที่ซึ่งมีความหมาย ตอนนี้ได้กลายเป็นโปสการ์ดที่เก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าของเขา ซึ่งแฝงนัยยะถึงการปกปิดความลับของคนรักร่วมเพศต่อสังคม อย่างในความเป็นจริง ที่สถานที่แห่งนี้คือที่แห่งเดียวที่แจ็คและเอ็นนิสจะได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน- ความตายของแจ็คและความคะนึงถึงภายในจิตใจ ได้ส่งผลทำให้จิตใจของเอ็นนิสพิการอย่างไร้ความปราณี นี่อาจเป็นสภาวะสุดท้ายของความเสียหายที่เกิดจากผลกระทบของความเป็นชายเจ้าโลกซึ่งแสดงในภาพยนตร์ ที่ยังคงฝังรากลึกไว้ในชีวิตของเอ็นนิสและสังคมที่สร้างเขาขึ้นมา ช่วงเวลาที่น่าเศร้านี้ได้วนเวียนภายในชีวิตของเขาจนครบวงจร ตั้งแต่ภาพความรุนแรงที่พ่อบังคับเขาไปดูร่างของชายรักร่วมเพศในคูเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก จนกระทั่งการจากไปของแจ็ค อิทธิพลของความเป็นชายก็ยังฉายต่อ เมื่อเอ็นนิสไปยังบ้านเกิดของแจ็ค เพื่อทำตามความปรารถนาครั้งสุดท้ายของชายผู้เป็นที่รัก ที่อยากให้ขี้เถ้าของเขากระจัดกระจายไปทั่วทิวทัศน์ที่งดงามของสถานที่พักพิงหัวใจของเขาสองคน แต่กลับถูกปฏิเสธโดยบุคคลผู้ที่ดำรงไว้ซึ่งอำนาจปิตาธิปไตย นั่นคือพ่อของแจ็คนั่นเอง ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นบทสรุปได้อย่างดี ถึงขอบเขตของความเสียหายที่มาพร้อมกับความเป็นพิษของอำนาจความเป็นชายเจ้าโลกที่ยังดำรงอยู่ภายในสังคม.
➡️ Epilogue : บทส่งท้าย- Brokeback Mountain ได้กลายเป็นภาพยนตร์ที่ฉายภาพโศกนาฏกรรมสุดโรแมนติกได้อย่างงดงามเรื่องหนึ่ง ซึ่งสร้างขึ้นจากโครงสร้างพื้นฐานทางเพศที่กระตุ้นการคงอยู่ของความเป็นชายในระดับปัจเจกบุคคลและในระดับสังคม เช่นเดียวกับการเล่าเรื่องและความลึกซึ้งในเนื้อหาของ Brokeback Mountain ซึ่งเริ่มมีบทบาทและถูกพูดถึงอย่างมากในวงสังคมตามการยอมรับที่มากขึ้นของเพศทางเลือก - ขณะที่เราถูกนำพาไปพร้อมกับเรื่องราวการต่อสู้ที่ยากลำบากและยาวนานของ Jack และ Ennis ในการยอมรับตนเองและยอมรับความรักของกันและกัน การตระหนักได้ว่าพวกเขาถูกไล่ล่าโดยความทรงจำภายในหุบเขาโบรกแบ๊ก นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาแยกทางกัน ก็ดึงอารมณ์เราได้ในทันที ทั้งพวกเขาและเราเองก็ตระหนักได้ว่า ความปรารถนาที่แท้จริงของพวกเขา ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขากำลังตัดสินใจไป แต่ความปรารถนาที่แท้จริงกลับเป็นความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นซึ่งทั้งแจ็คและเอ็นนิสไม่ต้องการจะละทิ้ง การผสมผสานที่ซับซ้อนของการแสดงออกที่ขัดแย้งกันต่อแนวคิดของความเป็นชายเจ้าโลกที่มีต่อความลื่นไหลทางเพศ และต่อวิธีที่ตัวละครเผชิญกับสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำให้เกิดการปฏิเสธตนเองและการกดขี่ของสังคม ซึ่งทำให้เราเห็นอกเห็นใจและตระหนักว่าบทบาทของทุกๆเพศในสังคมควรจะมีค่าเท่าเทียมกันในสักวันหนึ่ง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in