แม้เราจะเกิดมาแตกต่างและหลากหลาย
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีเศษเสี้ยวเล็กๆ ที่เชื่อมถึงกันได้อย่างน่าประหลาด
Pieces of you - เศษเสี้ยวของเธอ วรรณกรรมรวม 10 เรื่องสั้น สร้างสรรค์โดย ‘แดเนียล อาร์มันด์ ลี’ หรือ ‘ทาโบล’ ที่หลายคนรู้จักในฐานะนักร้องนำวงฮิปฮอปชื่อดังอย่าง Epik High
เรื่องราวใน Pieces of you เขียนขึ้นระหว่างที่ทาโบลเรียนวรรณกรรม ในโครงการการเขียนสร้างสรรค์และวรรณคดีที่มหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด ไม่แปลกใจนักที่เนื้อเพลงของ Epik High ล้วนถูกเรียบเรียงอย่างคมคายคล้ายหลุดมาจากบทกวี และงานเขียนของเขาก็ร้อยเรียงอย่างดีไม่ต่างกัน
เรื่องสั้นทั้ง 10 เรื่อง ที่แม้จะมีเรื่องราวที่แตกต่างกัน ทั้งฤดูที่เปลี่ยนผันและคืนวันที่ผลัดผ่าน แต่ทุกเรื่องกลับเต็มไปด้วยบาดแผล และช่วงเวลาอันยากลำบากของแต่ละตัวละครกับปัญหาที่ไร้ซึ่งคำตอบตายตัว เชื่อว่าทุกคนคงเคยสัมผัสมันไม่ว่ารูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง วรรณกรรมเล่มนี้ ได้รวมชิ้นส่วนวัยเยาว์ของเขา หรืออาจจะเป็นของเราทุกคนด้วยเช่นกัน
ทาโบลได้ให้กำเนิดตัวละครแสนธรรมดาสามัญ อันเป็นจุดร่วมที่ทุกเรื่องมีเสมือนกัน คือการบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของตัวละครที่ไม่ได้มีความพิเศษอะไร แต่ก็เปี่ยมล้นไปด้วยความสับสนและความขัดแย้งในตัวเองอย่างเห็นได้ชัด แต่ละเรื่องไม่ได้มีจุดพลิกผันที่น่าตื่นตะลึง และไม่ได้มีตอนจบที่หักมุมมากนัก เป็นเพียงเรื่องราวที่พาผู้อ่านเข้าไปสำรวจเหตุการณ์และความรู้สึกของมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องเผชิญความสับสนกับปัญหาในชีวิตที่ต้องแบกรับและตัดสินใจก็เท่านั้น ทำให้มุมมองในการเล่าเรื่องส่วนใหญ่มาจากตัวละคร ซึ่งจะเล่าเหตุการณ์ที่ตนต้องพบเจอ และนำเสนอความขัดแย้งในใจของตนเองออกมาผ่านกระแสสำนึก
วรรณกรรมเล่มนี้จึงไม่มีแม้แต่บทสรุปของทางเลือก เรารู้เพียงว่า เรื่องราวในนั้นจะยังคงดำเนินต่อไป แต่ไม่มีใครรู้ว่าจะไปสิ้นสุดตรงไหน ทาโบลไม่ได้เขียนเพื่อหาทางออกจากปมปัญหาและความสับสนที่มนุษย์คนหนึ่งต้องเจอแต่อย่างใด เขาตั้งใจพาผู้อ่านเข้าไปสังเกตการกระทำของตัวละครเหล่านั้น พร้อมทั้งสำรวจความรู้สึกลึกๆ ในใจของตัวเอง ไปพร้อมกัน เพื่อเน้นย้ำว่าเราไม่ได้เผชิญความสับสนเดียวดายอยู่คนเดียว
แก่นหลักของทั้งสิบเรื่องสั้น คือ การแสดงให้เห็นถึงความธรรมดาของชีวิตมนุษย์ที่ไม่ได้มีบทบาทใดสลักสำคัญนัก แต่กลับซ่อนแง่มุมอันเปราะบางเอาไว้ ไม่ว่าใครก็เจ็บปวด และเศษเสี้ยวเหล่านั้นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราเติบโต ทาโบลไม่ได้มองหาปลายทางของเรื่องราว แต่เขาให้ความสนใจกับระหว่างทางและความรู้สึก หนังสือ Pieces of you จึงถูกเขียนขึ้นเพื่อปลอบประโลมคนที่รู้สึกหลงทางและว่างเปล่า ดังที่ทาโบลได้เขียนไว้ในคำนำนักเขียน
“ผมจึงมาอยู่ตรงนี้ เลือกเตะบันไดให้พ้นทาง เพื่อจะได้ยืนอยู่เคียงข้างคุณ
ผมเข้าใจความเดียวดายของคุณ ผมเห็นเงาของคุณ”
แม้การเล่าเรื่องส่วนใหญ่จะเป็นไปตามลำดับเหตุการณ์ แต่ก็มีหลายเรื่องที่พาย้อนอดีตกลับไปกลับมาอยู่บ่อยครั้งอย่าง ‘อันดันเต’ เรื่องสั้นเรื่องแรกซึ่งเล่าในมุมมองที่ตัวละครเป็นคนดำเนินเรื่องเอง โจนาธานนักเรียนดนตรี ผู้มีพ่อเป็นอดีตนักเปียโนที่กลายเป็นผู้ป่วยอัลไซเมอร์ รายละเอียดของเรื่องราวค่อยๆ เผยออกทีละน้อย ผ่านการนึกย้อนความทรงจำในอดีตของลูกชายนักเปียโนอย่างเรียบง่าย คลับคล้ายกับความหมายของชื่อเรื่องที่เล่นล้อกันอย่างดี
คำว่า ‘อันดันเต’ ที่หมายถึง จังหวะช้าปานกลาง เทียบเท่าจังหวะฝีเท้าคนเดิน
ทุกอย่างในเรื่องดำเนินอย่างค่อยเป็นค่อยไปราวกับก้าวเดินช้าๆ แม้ไม่มีส่วนไหนที่บอกตรงๆ ว่าพ่อของเขาเป็นอัลไซเมอร์ แต่เรากลับเข้าใจได้เองผ่านอดีต คำพูด และองค์ประกอบรายรอบของสถานที่ต่างๆ ที่ทาโบลบรรยาย สายตาที่เขามองแม่ ทรงจำที่ทำให้ระลึกถึงพ่อในวันเก่าๆ โถงทางเดินที่เขาเคยอายเมื่อต้องเดินผ่าน และเปียโนหลังเก่าที่ไม่มีใครใช้งานมานานหลายปี
ทาโบลพรรณนาเปรียบเทียบด้วยถ้อยคำเรียบง่าย แต่กลับถ่ายทอดกระบวนการความคิดภายในของมนุษย์คนหนึ่งให้เราเข้าใจได้อย่างสวยงาม ซึ่งสามารถอธิบายได้จากความตอนหนึ่งจากเรื่อง ‘กำแพงในโลกของเราสอง’ บทสนทนาระหว่างซานดร้าและจิตแพทย์คนหนึ่งที่ให้เธอเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันเสาร์ ซานดร้าเล่าให้เขาฟังว่า เธอได้เต้นกลางสายฝน
“มั่นใจหรอซานดร้า ฝนไม่ได้ตกวันเสาร์สักหน่อย”
“บางทีฝนไม่ได้ตกสำหรับคุณ แต่ฝนตกตลอดเวลาสำหรับฉัน ท้องฟ้าแตกร้าวและโปรยเศษแก้วลงมา”
“ฟังดูเจ็บปวดนะ”
“ไม่เลย มันงดงามต่างหาก”
บทสนทนาสั้นๆ เรียบง่ายที่สามารถอธิบายความรู้สึกของคนไข้จิตแพทย์คนหนึ่งได้อย่างเห็นภาพ และลึกซึ้ง ซึ่งกำลังบอกเรากลายๆ ว่าวันเสาร์ของทุกคนไม่เหมือนกัน เราต่างก็มีบาดแผลและความรู้สึกของใครของมัน นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสำนวนที่ทาโบลใช้ใน Pieces of you เท่านั้น
อีกประเด็นที่เห็นได้ชัดจากวรรณกรรมเล่มนี้ คือ ความเป็นอิสระของตัวละครที่รอดพ้นจากการถูกตัดสิน ไม่ว่าสิ่งที่ตัวละครตัดสินใจลงไปจะถูกหรือผิด ทาโบลก็ไม่ได้สนใจนัก
อย่างที่กล่าวไป เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ของทางเลือกหรือคำตอบใดทั้งนั้น แต่เน้นความสัมพันธ์และความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างทางมากกว่า ทำให้อาจจะมีการกระทำที่ถูกมองว่าผิดกฎหมายหรือไร้จรรยาบรรณปรากฏให้เห็นอยู่บ้างในบางเรื่อง อันสืบเนื่องมาจากปมความขัดแย้งภายในระหว่างตัวละครกับความคิดของตัวเองเป็นส่วนใหญ่
อย่างไรก็ตาม ทาโบลไม่ได้เข้าไปกำกับตัดสินการกระทำของตัวละครแม้แต่น้อย เขาปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไป ไม่ตัดสินตัวละครของตัวเอง และผู้อ่านก็เป็นเพียงคนหนึ่งที่ประหนึ่งเข้าไปสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ เท่านั้น
เรื่องราวระหว่างซานดร้าและจิตแพทย์ผู้เป็นตัวดำเนินเรื่องด้วยตัวเอง ตัวละครแทนตัวเองด้วย “ผม” ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีใครรู้ชื่อเขา และมันก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรนัก การใส่คำบรรยายถึงหนังสือคู่มือจิตแพทย์และคนไข้อยู่ในบรรทัดเล็กๆ ตรงกลางเรื่องเป็นจุดเดียวที่ทำให้ผู้อ่านรู้ทีหลังว่านี่คือบทสนทนาระหว่างจิตแพทย์และคนไข้ ด้วยองค์ประกอบต่างๆ ที่ไม่ได้ใส่มาอย่างโจ่งแจ้ง เพื่อให้เข้าใจได้ในทันที แต่ปล่อยให้ผู้อ่านได้เชื่อมโยงเหตุการณ์ด้วยตัวเอง
เหตุที่คู่มือจิตแพทย์ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึง เพราะเขาหลงใหลในคำพูดของซานดร้าที่พรั่งพรูออกมาเรื่อยๆ จนนึกถึงกฎหลักบนคู่มือที่ว่า การบำบัดต้องไม่มีเซ็กซ์มาเกี่ยวข้อง เขารู้ว่ามันผิดมหันต์ แต่คำพูดของเธอก็ทำให้ลืมบทบาทตัวเองเสียจนเผลอไผลพูดอะไรผิดปกติออกไป ทาโบลบรรยายความคิดที่ยับยั้งไว้ไม่อยู่ในหัวของจิตแพทย์คนนั้นอย่างธรรมชาติ และดูเหมือนว่า ซานดร้าเองก็คล้อยตามไปกับมัน ก่อนจะปิดจบอย่างคลุมเครือด้วยบทบรรยายที่ทิ้งท้ายให้คนดูเชื่อมโยงจินตนาต่อ
นอกจากสำนวนและชั้นเชิงในการเล่าเรื่องแล้ว Pieces of you ยังเป็นวรรณกรรมที่สะท้อนสังคมไว้ในหลายประเด็น ที่เห็นชัดสุดคงจะไม่พ้นเรื่อง ‘เหยียด’ ทาโบลเป็นคนเกาหลีใต้ที่เติบโตในหลายประเทศและเขาผ่านมรสุมชีวิตมาไม่น้อย ชื่อเรื่อง ‘Hate Crime’ จึงเป็นเรื่องสั้นอีกเรื่องที่สะท้อนประเด็นระดับโลกอันเชื่อมโยงชิ้นส่วนการเติบโตของทาโบลหรือใครหลายๆ คนเอาไว้
แม้จะเล่าผ่านความสัมพันธ์อันง่อนแง่นระหว่างหนุ่มเกาหลีใต้กับแฟนสาวที่นอกใจ แต่อีกนัยก็สะท้อนชุดความคิดเหมารวมของชาวตะวันตกได้แสบสัน คนเอเชียในอเมริกาที่ไม่ว่าจะชาติไหน เกิดที่ใด เป็นชาวอเมริกันหรือไม่ ก็ถูกเหมารวมว่าเป็นพวกเดียวกันได้อย่างง่ายดาย และมันก็นำมาซึ่งความรู้สึกแย่มหาศาล เมื่อคนพูดเป็นอดีตแฟนสาวที่แสดงความสงสารออกมา หลังอ่านข่าวนักเรียนในชุมชนเวียดนามถูกแทงตาย โดยที่เธอไม่ได้มีความเข้าใจอะไรเลย ทั้งตัวเขาและประเด็นดังกล่าว
ยังไม่รวมถึงประเด็นสังคมอื่นๆ ที่ถูกสอดแทรกไว้อย่างดาษดื่น เพียงแต่มันถูกกลบฝังไว้ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า ความสัมพันธ์และความคาดหวังของตัวละคร ไม่ว่าจะเป็น การเติบโตในครอบครัวที่ไม่ใส่ใจ พ่อแม่ที่ไม่เข้าใจลูก ดาราที่เอาตัวเข้าแลกบทหนังเพื่อความหวังจะใช้ชีวิตเป็นคนอื่น คืนอันเหน็บหนาวของวัยรุ่นที่ต้องแบกรับภาระดูแลแม่ที่ป่วย หรือถ้วยแห่งชัยชนะและความสำเร็จที่ไม่เคยได้รับ
ตัวละครเหล่านี้อาศัยในเมืองใหญ่ แต่ก็โดดเดี่ยวและเปราะบางอย่างที่สุด ทั้งเศร้าโศก ผิดหวัง ดีใจ หรือไม่ก็ว่างเปล่า ความรู้สึกที่ปรากฏไม่ใช่ความผิดของใคร และความลังเลที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ก็นำไปสู่หนทางใหม่ได้ แม้เราจะไม่รู้แน่ชัดว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน เพราะฉากที่ถูกกำหนดไว้มีเพียง ฤดูและปี ที่ปรากฏไว้ตอนต้นก่อนเริ่มเรื่อง แต่เท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับการทำความเข้าใจพื้นที่ทางกาลเวลาที่ล้อมรอบตัวละครเหล่านั้น
ถึงเราจะไม่ได้เผชิญเหตุการณ์เดียวกันกับพวกเขา หรืออาจจะไม่เข้าใจในศัพท์เฉพาะทางในบางเรื่องที่ปรากฏ กระนั้นก็ยังมีจุดหนึ่งที่เรามองเห็นตัวเองในนั้น ชิ้นส่วนทั้งใหญ่โตและเล็กจ้อยได้ร้อยเรียงให้เราเข้าใจกันและกัน ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง มนุษย์ทั่วไป ที่ไม่ว่าใครก็มีความรู้สึก
ประสบการณ์ ความสัมพันธ์ และทรงจำที่หลากหลาย จะกลับกลายเป็นเศษเสี้ยวของเธอ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in