"ถ้าพี่เอาแต่นอนนิ่ง ไม่พูดไม่จากับใคร โอกาสที่พี่จะได้ออกไปจากที่นี่ในเวลาอันใกล้ คงยากเต็มที"
ผมนอนนิ่งไม่ไหวติงอย่างนี้มาหลายชั่วโมงแล้ว นอนเอาหน้าซุกหมอน ราวกับจะให้มันจมลงไปในนั้นชั่วกาล ไม่คิดจะเงยหน้ามาพบกับความจริงใดๆอีก บางครั้งผมก็อยากให้ความจริงเป็นแค่ความฝัน และให้ความฝันกลับกลายเป็นความจริง
ภาพเล็กๆผ่านจอทีวี ที่ถูกบันทึกโดยกล้องวงจรปิด ซึ่งติดอยู่บนเพดานในแต่ละห้อง ฟ้องว่าใครทำอะไรบ้าง พื้นที่ที่ควรจะเป็นส่วนตัว ถูกเปิดเผยให้เห็นกันทั่ว ที่นี่ไม่มีคำว่าส่วนตัว เพราะยิ่งถ้าเก็บตัวเงียบเร้นหลีกคนเดียว โอกาสจะปิดกั้น และหายลับไปในความมืดมิดของจินตนาการ จนดิ่งไปสู่การไม่อยากมีชีวิตอยู่ มีอยู่สูง และไม่รับอนุญาตให้ทำได้บ่อย ไม่เช่นนั้น จะไม่มีสิทธิ์ได้รับการปลดปล่อยจนกว่าจะยินดีเปิดประตูใจ ออกมาพบปะผู้คนบ้าง ในระดับที่เจ้าหน้าที่เห็นว่าปลอดภัย เพื่อให้แน่ใจว่าจะกลับไปสู่สังคม และใช้ชีวิตเยี่ยงคนธรรมดาสามัญได้อย่างปกติ
ความปรารถนาดีที่มองเห็น และเข้าใจกันได้ แต่ไม่ใคร่อยากทำ เนื่องไม่อยู่ในอารมณ์ ใครไม่เป็นเช่นผมยากยิ่งเข้าใจ แม้แต่ตัวผม บางทีก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
ไอ้ความไม่เข้าใจตัวเองนี่ มันเริ่มมาตั้งแต่เมื่อไหร่นะ...
น่าจะเป็น...ตอนที่ผมสูญเสียคนรักไป เสมือนหนึ่งสูญเสียหัวใจ ชีวิตและสติ ไปจนหมดสิ้น คล้ายๆเรือที่ขาดหางเสือ คล้ายๆคืนมืดที่ไม่มีแสงดาวนำทาง คล้ายๆถุงพลาสติกที่ลอยล่องไปในอากาศ ตามแต่สายลมจะพัดพาไปในทิศใด หรือจะเรียกว่ามีเพียงร่างกาย แต่ไร้วิญญาณก็ได้ ลืมตาตื่นก็จริง แต่ใจกลับมืดบอดมองไม่เห็นอะไร ไม่เห็นหนทางไป ไม่รู้จะเดินต่อไปได้อย่างไร ในขณะที่กลางคืนคอยแต่จะฝันถึงเขา พลันตื่นขึ้นมา พบว่าไม่มีแม้เงาเขาอยู่ข้างกาย มันทนอยู่และยอมรับไม่ได้ จนไม่อยากจะมีลมหาย ใจอีกเลย
อาการที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่แค่วันสองวัน แต่เลยเถิดไปเป็นเดือนสองเดือน ไปเป็นปีสองปี ถ้าเขาจากตายผมยังพอทำใจยอมรับได้ แต่นี่คือจากเป็น หมายความว่า เขายังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่ไม่อยู่กับผมเท่านั้นเอง
แรกๆพ่อแม่ก็คิดว่าเป็นอาการอกหักธรรมดา ไม่นานเวลาจะเยียวยาให้ดีขึ้น แต่พอนานวันเข้า
ก็สร้างความกระอักกระอ่วนใจให้ไม่น้อย เนื่องไม่รู้ว่าลูกตนเอง จะกลับคืนมาเมื่อไหร่ ที่เขาเรียกกันว่า
ใจหาย มันเป็นแบบนี้นี่เอง ใจมันลอยหายไป ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวดังเช่นที่ผ่านมา
เหตุการณ์ผ่านไปมีแต่จะเลวลง กินไม่เป็นอันกิน เอาแต่นอนทั้งวัน ซึมกระทือไม่อยากจะตื่น เรียกก็ไม่รู้ตัว ไม่ได้ยิน บางคืนถึงกับนอนผวาฝันร้าย บางคราก็แน่นหน้าอกหายใจไม่ออก เครียดจัดจนหลอดลมเกร็งและบีบตัว ต้องไปฉีดยาให้หลอดลมขยาย
พ่อแม่รู้สึกว่า อะไรมันจะเสียอกเสียใจกันนักกันหนา อะไรมันจะห่วงหาเขามากขนาดนั้น มันเกินปกติของมนุษย์มนา เอ๊ะ! รึว่าจะโดนของ โดนเขาทำรึเปล่า!?!
เมื่อเห็นด้วยตาเนื้อว่ามันไม่ดีขึ้น เลยคิดแบบชาวบ้าน จึงใช้ไสยศาสตร์เข้าช่วย เอาน้ำมนต์จากหลวงพ่อวัดไหนที่ว่าขลังมารด เอาสร้อยพระเกจิชื่อดังมาห้อย
ผลลัพธ์คือ...ไม่หาย ไม่ดีขึ้น ยังตรอมตรมและเซื่องซึมดุจซอมบี้เหมือนเดิม มันจะหายไปได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นความผิดปกติทางสมองและจิตใจ
ท่านต้องทำใจอยู่นาน กว่าจะยอมรับความจริงว่า ลูกเราเป็นบ้า ไม่ใช่สิ่ เป็นโรคซึมเศร้า จึงพามาที่นี่ ที่พึ่งสุดท้ายคือตึกขาวหม่นหลังนี้
หลายหลายเดือนผ่านไป บำบัดก็แล้ว ทานยาก็แล้ว เมฆทึมเทายังไม่มีทีท่าว่าจะจากไปไหน ผมยังพร้อมจะจบชีวิตตนเองได้ทุกเมื่อ ขอแค่มีโอกาส
ผู้บังเกิดเกล้าก็เฝ้าแต่ทน ทน ทน รอ รอ รอ
ตามหลักธรรม เมื่อเหตุปัจจัยเหมาะเจาะ เมฆหม่นที่มากพอ มักร่วงเผาะเป็นหยาดฝน หลั่งลงมา
ชะล้างความเศร้าที่เฝ้าปกคลุมหุ้มห่อหัวใจ ให้สลายหายหมองมัว
และถ้าเป็นตอนจบของหนัง จู่ๆดวงตะวันก็ทอแสงทองส่องลงมา พร้อมกับมีบางสิ่งปรากฏขึ้น ผ่านหน้าต่างบานใหญ่ที่ปิดสนิท ทว่ากลับแย้มหัวใจให้เปิดออก
ฉากหลังมีเพลง I Love You For Sentimental Reasons บรรเลงแผ่ว เบื้องหน้าคือภาพพ่อนกขยั้นขย้อนอาหารจากภายในลำคอที่ตนไปหามา ให้ลูกนกตัวน้อย ใช้ปากล้วงลึกเข้าไปคาบออกมากิน ช่างสวยงาม และมีความหมายมากพอ ที่จะจิกเนื้อผมให้สะดุ้งตื่นรู้ตัว จนมองเห็นคุณค่าของชีวิต ไม่คิดปลิดปลิวลมหายใจตนเอง ให้หลุดลอยไปในที่แสนไกล ที่ที่พ่อแม่และคนที่ห่วงใย ไม่อาจตามกลับมาได้อีกเลย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in