ลิวตัสทราบดีว่าเขามาก่อนเวลานัด กระนั้นแล้วก็ตามที ผู้พันมาถึงจุดหมายปลายทางหลังเวลานัดราวสี่สิบนาทีเห็นจะได้
"โทษที, พอดีเมื่อคืนมีเรื่องไม่คาดคิดนิดหน่อย"
และนั่นคือคำแก้ตัวของเขา
.
เรามาถึงพิพิธภัณฑ์ตอนบ่ายสี่โมงครึ่ง ผู้คนสวมชุดไปรเวทตามสไตล์ที่สรรหามาเพื่อตน ที่บาทวิถีอันก่อร่างสร้างขึ้นจากอิฐเรียบไกลลิบพบกลุ่มเด็กน้อยยูนิฟอร์มโรงเรียนยืนเรียงแถวคู่ ถ้าให้เดาเอาคงไม่พ้นทัศนศึกกษาประจำเทอมหรืออะไรเทือกนั้น และปฎิเสธไม่ได้เลยว่าแวบหนึ่ง ลิวตัสรู้สึกถึงความน่าผ่อนคลายท่ามกลางสิ่งสามัญเรียบโก้นั่นอย่างประหลาด
ผู้พันเรียกให้ตามตัวเขาเข้าไปในตอนที่ตรวจเช็คบัตรสำเร็จลุล่วง ลิวตัสทำอย่างนั้นทันที พลันดวงตากวาดต้อนเอาความสุนทรีย์เข้าประมวลในหัว เขาเองก็เป็นนายทหารที่เคยผ่านการแต้มสีบนผ้าใบอย่างโลดโผนมาบ้าง นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงอธิบายสไตล์งานของเออแฌน เดอลาครัวแก่ผู้พันได้อย่างคล่องปรื๋อ
โลงศพของเคิร์ท--โอนิกซ์ป็อปปูลาร์กว่าที่คิด ถึงแม้พนักงานตรวจบัตรจะบอกกล่าวมาว่านี่เป็นเสมือนกับเป็นฤดูกาลของเขาผู้นั้นก็ตาม แต่ฝูงชนราวยี่สิบเอ็ดคนบนทางเดินข้างหน้านี้ดูชุลมุนวุ่นวายมากกว่าที่หล่อนสปอยล์มา บัตรในมือของลิวตัสสั่น เมื่อเขาก้มมองดูหมายเลขคิวที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปดของวัน และได้ทราบว่าต้องต่อแถวยาวเหยียดรออีกราวๆ ยี่สิบคิวอย่างที่เห็น
"ก็นะ, ปกติคนไม่เยอะอย่างนี้หรอก สงสัยว่าเราจะโดนแจ็กพอต" ผู้พันว่า ดวงตาจ้องมองลึกลงไปยังกลุุ่มคน "ครูบางคนก็เหมารวมเอาว่าเด็กน้อยทุกคนอยากพูดกับศพวิเศษ"
ที่ส่วนภายหลังนั้นเป็นห้องกว้าง การจัดแต่งทำให้ดูผ่อนคลายราวกับเป็นสวนหลังบ้านคุณ รั้วแขวนโซ่เหล็กอันหนึ่งขวางกั้นทางเข้าไว้พอเป็นพิธี และถ้าหากมีสายตาที่เฉียบคมมากพอ จะสามารถมองเห็นส่วนเล็กจิ๋วของพระเอกในงานได้ที่ทางขอบๆ นอกจากนี้ ข้างหน้ายังมีคนคอยตรวจดูและเฝ้าระวังการแซงคิวยืนคุมอยู่คนหนึ่ง
อย่างไม่ทันได้ตั้งตัวหรือประมวลผล ผู้พันสบตาเข้ากับชายภายใต้ยูนิฟอร์มของทางพิพิธภัณฑ์ผู้นั้น ทั้งสองโบกมือให้กันหน้าตื่น โดยไม่ลืมลากเจ้าลูกกระจ๊อกตัวแสบไปด้วย เราเป็นฝ่ายสาวเท้าเข้าไปหาเขา
"โอ ดันเต! นานแค่ไหนแล้ววะ"
คนแปลกหน้า(สำหรับลิวตัส)กล่าว ก่อนโผรับกอดจากผู้พัน แน่นอนว่าภาพนั้นช่างเป็นภาพที่ไม่คุุ้นเคยและน่าประหลาดใจสำหรับลิวตัสอย่างยิ่ง ผู้พันที่เขารู้จักเป็นเพียงตาลุงเสพติดสารคดี ไม่เคยมีความรัก หรือไม่เเน่ไม่เคยรู้จักความรัก เพื่อนในกรมเคยบอกว่าผู้พันดันเตเป็นพวกไร้เพื่อน และความสัมพันธ์ของเขากับคนอื่นๆ ก็ดูจะไม่เป็นอะไรที่น่าพิศมัยสักเท่าไร กระนั้นแล้วก็ตามที ตั้งแต่ที่ลิวตัสได้มีโอกาสคลุกคลีตีมงกับผู้พัน เขาก็ไม่ใช่คนแย่อะไรปานนั้น บางทีเหตุการณ์นี้เองก็อาจเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้เขาลืมภาพผู้พันจอมขี้เกียจ รวมถึงเป็นพวกไร้เพื่อนออกไป
จอร์จเป็นชื่อของนายคนตรวจตราแถวทางเข้าไปพบกับโลงศพ เขากับผู้พันเสวนากันออกรสออกชาติเกี่ยวกับเรื่องราวเก่าๆ ในอดีต ไม่แน่ว่าผู้พันอาจลืมไปแล้วว่าเป็นฝ่ายลากให้เขามาร่วมวงเสวนาด้วย แต่สิ่งที่เป็นในตอนนี้คือลิวตัสยืนโง่ๆ ทำหน้าที่เป็นตัวประกอบก็เพียงเท่านั้น โชคยังดีอยู่ที่ผู้พันพอจะแนะนำชื่อเขาให้จอร์จผู้นั้นทราบ
เวลาผ่านมาเนิ่นนานราวสองสามชั่วโมงเห็นจะได้ ลิวตัสกลับมาพร้อมท้องที่อิ่มเอม ก่อนหน้านี้เขาขอตัวออกไปหาอะไรทาน และยินดีอย่างยิ่งที่จะปล่อยให้เสียงสนทนาปราศรัยตามประสาทหารผ่านศึกดังก้องไปทั่วในบริเวณระหว่างที่เขาไม่อยู่ จนว่าเขากลับมา ผู้พันนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ถูกจัดมาไว้ให้กับจอร์จ ผู้คนหายไปจนหมด เหลือเพียงเราสามคน "นั่นถึงตาพวกนายแล้วเพื่อน เชิญอยู่ได้นานเท่าที่จะตามใจเลย" คงเป็นเพราะไม่มีใครมาต่อคิวหลังเราแล้ว จอร์จจึงว่าแบบนั้น
"ถึงเวลาเปลี่ยนกะพอดี , อ่า.. ลิวตัส? แล้วเจอกันใหม่ไอ้น้อง" หลังจากลุกขึ้นปลดโซ่ทางเข้าออกให้แล้ว เขาก็ล้วงกุญแจรถขึ้นมาแกว่งขณะก้าวออกไปจนลับสายตา
ลิวตัสหันมาสนใจกับสถานที่ตรงหน้า อย่างที่ได้มีโอกาสเห็นมาบ้างแล้วนิดๆ หน่อยๆ ที่นี่ถูกจัดแต่งในธีมสวนสวย พื้นถูกปูด้วยหญ้าใบเขียวซึ่งเขาไม่ได้สนใจนักว่ามันเป็นหญ้าปลอมหรือไม่ พอได้เข้ามาดูใกล้ๆ อย่างนี้แล้วถึงได้ทราบว่ามันวิเศษ ที่ส่วนกลางของห้องมีโลงศพขนาดทั่วไปตั้งอยู่ ผื้นผิวของมันดูหรูหราโก้หร่านกว่าที่สามัญชนคนหนึ่งจะสามารถได้รับ --เป็นที่ทราบกันดีว่าเคิร์ทเป็นบุคคลที่ร้างไร้ซึ่งประวัติอันแจ่มชัด รวมถึงลิวตัสเองก็ไม่ทราบเรื่องราวตื้นลึกหนาบางว่า ด้วยเหตุผลประเภทใดเคิร์ทจึงอิ่มหนำไปกับเรื่องราวที่เขาได้ยิน ไม่แน่ว่ามันอาจเป็นเรื่องลวงโลก เขาไม่ทราบ-- ข้างกันมีเก้าอี้จัดวางไว้สำหรับผู้คนที่เดินทางมาพบเคิร์ท พื้นหญ้าส่วนข้างโลงของเขาพบดอกไม้แย้มกลีบหลากสี บ้างเป็นของพิพิธภัณฑ์เอง บ้างเป็นของคนที่ผ่านมาเยี่ยมเยือนและหนีจาก ถัดออกมาหน่อยที่ส่วนผนังของห้องสี่เหลี่ยมขนาดเกือบกว้างนี้ พบรูปวาดศิลป์และรูปถ่ายวางประดับ ส่วนใหญ่เป็นภาพความสวยงามของแหล่งธรรมชาติกับแมกไม้นานาพรรณ
ลิวตัสมัวแต่อึ้งกับการจัดวางของประดับจนลืมเลือนเรื่องของเคิร์ท ผู้พันปล่อยให้เขาทำอย่างนั้นขณะที่ตนเองนั่งพักอยู่บนม้านั่ง พลางกัดกร้วมแซนด์วิชเบคอนที่เขาลอบนำเข้ามากิน กระทั่งลิวตัสมาหยุดอยู่ที่ป้ายแนะนำของเคิร์ท เขาอ่านข้อความบนนั้น หลบซ่อนความประหลาดใจอันสามารถปรากฎบนใบหน้าได้ทุกเมื่ออย่างเนืองๆ
' - เล่าเรื่องราวของคุณสิ นั่นทำให้ผมมีชีวิต -
โซลด์เธน; เคิร์ท; โลงศพสีโอนิกซ์
เคิร์ท เกิดที่รัฐสวิสต์เซลราวศตวรรษที่สิบแปด ไม่ค้นพบสาเหตุการเสียชีวิตของเขา เรื่องราววิเศษคือ ถึงแม้ว่าจะผ่านพ้นมาราวสองร้อยปีแล้ว ศพของเขาก็ยังคงไม่เน่าเสียหรือแห้งเหี่ยวไปตามกาลเวลาโดยแท้จริง โจแฮนนา หญิงสาวชาวไร่ขุดพบศพที่มีผิวเปล่งปลั่งของเขา หล่อนนำร่างไร้วิญญาณของเคิร์ทซุกซ่อนไว้ข้างกองฟางนานกว่าแปดปี หลังจากเป็นผู้ค้นพบว่า เคิร์ทหลงรักในเรื่องราวที่เขาพึงได้ยินจากหล่อน นั่นคือเขาเปล่งปลั่งกว่าเก่า พิศดูแล้วราวกับตกอยู่ในครรลองความฝันอันไม่อาจมีผู้ใดสามารถทำลายมันได้ และถ้าหากไม่มีใครคอยแบ่งปันเรื่องราวให้แก่เขา เคิร์ทย่อมร้างไร้ซึ่งความงดงามเหล่านั้น ราวกับว่าเขาเป็นคุณปู่ทวดที่ชอบฟังเรื่องราวของหลานแน่ะ'
"นี่พยายามจะบอกว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไง"
"ไม่แน่ ฉันเองก็ไม่ชอบข้อความบนแผ่นป้ายเหมือนกัน แต่ยอมรับเถอะว่านั่นเรื่องจริง" ผู้พันปัดเศษแซนด์วิช เขาลุกขึ้นแล้วยักไหล่ไปทางโลงศพ "ทำความรู้จักกับคุณปู่เสียสิ อย่าให้ฉันได้พาแกมาเสียเที่ยวเชียว"
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in