เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ทุนส่วนลดค่าเรียนของ Chilton Saint James School, New Zealand - Mie DyashaMie_Dyasha
สมัครทุนลดค่าเรียน WPEN Chilton Saint James, New Zealand - Mie Dyasha
  • นี่เป็นบล็อกอันที่ 2 ของมี่แล้วค่ะ ครั้งนี้จะพูดถึงการสมัครทุนส่วนลดของโรงเรียนเครือ WPEN ในเมืองเวลลิงตัน ประเทศนิวซีแลนด์นะคะ คือเราเห็นทุนนี้จาก Learning Curve บนเฟสบุ๊กค่ะ จะมีให้สมัคร 3 โรงเรียน แต่ตัวมี่เลือก Chilton Saint James นะคะ เพราะว่าเราอยากลอง(กลับไปเรียนบัลเลต์อีกครั้ง) คือเรามีพวกความอ่อนตัวด้วย ละเห็นโรงเรียนนี้มีชื่อเสียงเรื่องบัลเลต์ด้วย Chilton Dance Centre อะจ้า เราเลยสนใจ และเรามาจากโรงเรียนหญิงล้วนเลยคิดว่าน่าจะเหมาะกับโรงเรียนนี้ 
    ( วาร์ป : http://www.learningcurve-th.com/news-and-events/wpen-scholarship-2017/ ) 
    ส่วนอันนี้คุณสมบัติของผู้สมัครนะคะ :  
    แพ็คเกจทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนไทย
    เกณฑ์การให้ทุนการศึกษา
    1. โรงเรียนในเครือ WPEN (Scots College, Samuel Marsden Collegiate และ Chilton Saint James School) มอบทุนการศึกษา 2 ทุนต่อโรงเรียนแก่นักเรียนสัญชาติไทย (รวมทั้งสิ้น 6 ทุน)
    2. โรงเรียนพิจารณาการให้ทุนแก่นักเรียนที่มีผลการเรียนและผลภาษาอังกฤษดีเลิศเท่านั้น
    3. ทุนการศึกษานี้สำหรับผู้สมัคร Year 10 หรือ Year 11 ที่จะเริ่มเรียนในเทอมหนึ่งหรือเทอมสองของปี 2018 เท่านั้น 
    4. ผู้สมัครจะต้องสมัครเรียนอย่างน้อย 4 เทอม (เทอม 1-4, 2018 หรือ เทอม 2-4, 2018+เทอม 1, 2019)
    5. การพิจารณาทุนการศึกษาในปีถัดไป ขึ้นอยู่กับผลการเรียนในปีนั้นๆ ของนักเรียนทุน
    6. ทุนการศึกษาของ Scots College มอบแก่นักเรียนประจำเท่านั้น (นักเรียนอยู่โฮมสเตยช่วงปิดเทอม)
    7. วันปิดรับสมัครขอทุนคือวันอังคารที่ 31 ตุลาคม 2017
    ประมาณนี้

    ส่วนเอกสารที่ทางโรงเรียนขอเราก็จะมี (แนะนำให้ส่งไฟล์ทั้งหมดเป็นแบบ PDF เพื่อที่พี่เขาจะได้สามารถเปิดดูได้ง่าย โดยการสแกนไฟล์ต่างๆจากเครื่องปริ้นต์จ้า แล้วเลือก send to email อันนี้บอกเฉยๆเผื่อใครทำไม่เป็น สแกนแล้วค่อยเอาไฟล์ส่งในเมลล์ ของเราส่งรวดเดียว 16 ไฟล์ PDF อะ)
    1. มีสำเนาหน้าพาสปอร์ต 1 หน้า 
    อันนี้ตัวอย่างหน้าพาสปอร์ตนะฮะ
    2. ใบสมัครพวก application form ต่างๆ, ใบเกี่ยวกับ homestay (จริงๆข้อมูลตัวเราเอง) เพื่อที่เผื่อเวลาเขาหาโฮสต์จะได้หาให้เข้ากับเราได้มากที่สุด เช่น ชอบหมาชอบแมว ชอบเล่นกีฬานี้ เวลาว่างชอบทำอะไรก็แบบ บลาๆๆๆไป อะไรแบบนี้ เขาจะมีคำถามมาละเราก็ตอบไป และใบที่ผู้ปกครองต้องเซ็นรับรอง ของ Chilton นะคะ (ได้มาจาก learning curve TH)
    พวกแบบข้อตกลงให้พ่อแม่เซ็นอะจ้า ประมาณว่าอ่านแล้ว แต่จริงๆพ่อกับแม่เราไม่ได้อ่าน
    ซึ่งจริงๆควรจะอ่าน เพื่อให้ได้ทราบเงื่อนไขอะไรงี้
    ใบสมัครเข้าเรียนต่อ ก็จะถามข้อมูลส่วนตัวของเรา แพลนอนาคต
    3. เรื่องของใบสำเนาผลการเรียนที่เป็นภาษาอังกฤษ แบบ 3 ปีตอนม.ต้น และทำเป็นไฟล์ PDF ละส่งไปให้เมลล์ของพี่ที่เขาจัดการเรื่อง (ของเราได้พี่ตาช่า) ของเราจะต้องรอ 7 วันทำการของโรงเรียน ซึ่งรูปก็ต้องออกไปหาถ่ายเองข้างนอก เพราะโรงเรียนไม่แจกรูปขนาด 2 นิ้วให้เราเลย ทำให้เราต้องใช้เวลานาน เพราะเราสามารถไปถ่ายรูปได้แค่วันเสาร์อาทิตย์เท่านั้น
    4. ลิ้งค์วิดีโอการแนะนำตัวเอง บน Youtube ความยาวไม่เกิน 1.30 นาทีจ้า ละก็แบบควรพยายามพูดให้เขาสนใจเรามากที่สุด โดยอิงความเป็นจริงนะคะ 55555 จริงๆสามารถทำวิดีโอที่เกี่ยวกับการช่วยเหลือสังคมพวกงานบำเพ็ญฯหรือจิตอาสา ละก็กีฬาที่ตัวเองเล่นละแบบดูเก๋ๆดีๆก็ได้นะ ของเรา เราเล่น figure skating ค่า ละอัพคลิปลงบน youtube เอา มันไม่ยากๆ หาคลิปที่เขาสอนอัพได้จ้า อันนี้เราไม่ขอแนบลิ้งค์ของเรานะ แต่เราส่งลิ้งค์คลิปวิดีโอไป 3 อัน คืออันแรกเกี่ยวกับการแนะนำตัว (ตามที่เขาขอ),อันที่ 2 ตอนซ้อมสเก็ตทั้ง on ice และ off-ice บน spinner ส่วนอันสุดท้ายก็คือจิปาถะ เพื่อนๆของเรา กิจกรรมที่ทำเวลาว่างๆ (ทำขนม)
    5. เขาจะมีให้เขียน essay ด้วย เรื่องอะไรก็ได้ เขาไม่ได้บังคับไว้ จะเขียนแนะนำตัวเองก็ได้ แต่ต้องเขียนด้วยลายมือเท่านั้น แต่ของเราเขียนเรื่อง Canterbury ค่ะ (สืบเนื่องจากบล็อกอันก่อนหน้านี้ของเรา ที่ตอนนี้มีคนอ่านครบพันคนแล้ว เราดีใจมากค่ะ ขอบคุณมากค่ะ ส่วนนี่คือลิ้งค์บล็อกแรกของเรา https://minimore.com/b/3hxH5/1 ) แต่ที่เราเขียน essay อันนี้เป็นฉบับ(ย่อ)ภาษาอังกฤษนะ เผื่ออยากอ่านตัวอย่างกัน แต่แบบ....เราอยากให้ Teacher อีกคนเข้ามาบล็อกนี้มาก เพราะเขาเป็น Teacher คนออสซี่ที่สอนอังกฤษอ่านเขียนให้เราที่โรงเรียน อันนี้เกี่ยวโยงกับตอนสอบ Speaking Test ของเขาที่เราเอาบล็อกและประสบการณ์ของเราใน Canterbury เล่าให้เขาฟังละก็ให้ลิ้งค์บล็อกไป เขาก็เลยไปเสพรูป เขาบอกว่า "เนื้อหาบนบล็อกยาวมาก ใช้เวลาอัพนานแค่ไหนเนี่ย ??? แต่รูปสวยดีนะ ฉันชอบเสพรูป ถึงแม้จะไม่เข้าใจภาษาไทยก็ตาม" (เพราะเขาอ่านภาษาไทยไม่ออกเนี่ยแหละ เลยอยากให้เขามาอ่านเนื้อหาย่อตรงนี้) แต่...ได้โปรดนะคะ ทุกคนเลย อย่าก๊อปเนื้อหาของเราไปนะคะ ? เราไม่อนุญาตให้ก๊อปไปโดยเด็ดขาดจ้า เน้นว่าเด็ดขาด 
    อ้อลืม การเขียน essay ต้องเขียนให้ถูกหลักวิธีการเขียนด้วยนะคะ สามารถศึกษาได้จากอินเตอร์เน็ตค่ะ
    อันนี้แคปมาจาก document อาจจะมีส่วนที่ซ้ำกันบ้าง ขอโทษด้วยนะคะ

    ปล. เผื่อบางคนไม่เก็ทพ้อยท์เราตรงย่อหน้าสุดท้ายที่สรุป สิ่งที่เราหมายถึงคือการอยู่ต่างประเทศคนเดียวโดยไม่มีคนในครอบครัวของเรามาอยู่ด้วยค่ะ ทำให้ต้องทำอะไรด้วยตัวเอง ประมาณว่าเราต้องฝึกหัดการแก้ปัญหาด้วยตัวเอง หรือประมาณ how to adjust myself to foreign friends (การปรับตัวเข้ากับเพื่อนต่างชาติ), different cultures (วัฒนธรรมที่แตกต่างจากประเทศไทย), staying away from my home and my family and how to live in a country where people speak in English when English is not my native language. (การที่อยู่ไกลจากบ้านเกิดเมืองนอนและต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตในประเทศที่มีแต่คนใช้ภาษาอังกฤษเมื่อภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาหลักของเรา)

    (อันนี้ความเห็น อาจจะไม่ถูกใจบางคน) คือส่วนตัวเรารู้สึกว่าเด็กที่เรียนต่อต่างประเทศเขาจะสามารถจัดการกับปัญหาได้ดีกว่าเด็กที่เรียนอยู่ในไทย เพราะถ้าอยู่ในไทย พ่อแม่ของเด็กไทยส่วนมากจะชอบช่วยเหลือลูกอะค่ะ จนบางครั้งเราคิดว่ามันอาจจะมากเกินไปจนเกือบเข้าข่ายพ่อแม่รังแกฉันค่ะ ส่งผลเสียต่อเด็กมากกว่าผลดี แต่การส่งเด็กๆไปเรียนต่างประเทศแต่เด็กสิ่งที่ต้องแลกมาก็อาจจะเป็นความผูกพันค่ะ พ่อแม่ลูกอาจจะไม่สนิทกัน รวมไปถึงถ้าเด็กคนนั้นไม่อยากไปแต่พ่อแม่ส่งไปทั้งที่เด็กยังไม่พร้อม เขาก็จะโกรธพ่อแม่บางครั้งหากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เขาก็จะโทษพ่อแม่ค่ะ แนะนำให้ดูความพร้อมของเด็กๆดีกว่านะคะ แต่ถ้าแบบเรานี่ไม่โอเคปะ 555555555555 อยากไป แต่ไม่มีผู้ใดจะส่งไปเรยยยย น้องเศร้าใจมากเลยค่ะซิส // ร้องฮั้ยพร้อมนั่งกินคัสตาร์ดสตรอว์เบอร์รี่ของเซเว่รรรร

    คือก็มีบางประโยคที่เราใช้คำสิ้นเปลืองอะ Teacher เลยย่อให้มันกระชับขึ้นให้หน่อยงี้

    จริงๆเราพิมพ์เรื่องราวเป็นภาษาอังกฤษเองทั้งหมด ในกูเกิ้ลด๊อกคิวเม้นท์ท์ท์แล้วแชร์ให้ทีชเชอร์ แล้วส่งให้ Teacher ที่โรงเรียนทำการ proofread ให้ก็มีผิดหลักแกรมม่าบ้างจ้า แต่ไม่เยอะนะ คือส่วนมากจะเรื่องใช้คำเปลืองไปนิดนึง แล้วเราก็แบบส่งพวกหลักฐานที่เราสอบอังกฤษไปเยอะมากจริงๆ 5555 รวมไปถึงแบบ พวกผลสอบอื่นๆเพิ่มเติมค่ะ มีผลสอบ O-NET ม.3 (แบบที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ เราแปลเองน่ะ) ผลสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ TOEFL JUNIOR สมัยม.2 โน้น / ผลสอบ Oxford Online Placement Test / ใบประกาศนียบัตรเลเวลภาษาอังกฤษเราจาก Stafford House อะ รวมไปถึงการเรียน Online บนเว็บ เราเรียนภาษาฝรั่งเศส มี Learner Verification แบบพวกผลการทดสอบออกมาได้เท่าไหร่บ้าง เราเรียนจบไป 3 บทแล้ว/ ตัวอย่างการเขียน essay ที่ทำงานส่ง (วิชาอังกฤษอ่านเขียน)+การคิดวิเคราะห์สื่อความภาษาอังกฤษ และเอกสารการรับรองที่ไปทำงานบำเพ็ญประโยชน์อะไรแบบนี้ ซึ่งถ้ามีก็ดีมาก เพราะมันทำให้สังคมเกิดประโยชน์งี้ย์ 

    นี่ตัวอย่างที่สอบ Oxford Online Placement test จ้า

    และแล้ววันนั้นก็มาถึง อิอิ วันที่ 7 สิงหาคม 2560 จ้า

     พี่บ๊อบบี้ส่งไลน์มาบอกว่าแบบเขาให้ทุนส่วนลดแล้ว
    เอกสารจดหมายมาแบบทางการมากจ้า
    ใต้วันที่ก็จะเป็นชื่อพ่อกับชื่อแม่ละก็ที่อยู่เรา ตรงหลังคำว่า Dear ก็จะเป็นชื่อละก็นามสกุลนักเรียนละหลังจากนั้นก็ตามในภาพเลยจ้า แต่ที่เราเอาสีดำมาขีดนั่นมันชื่อเราเองแหละ 
    ส่วนอันนี้ก็เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายต่อปี ที่เขาส่งมาให้
    ที่รวมค่าเทอม,ค่าโฮมสเตย์(โฮสต์),ค่าชุดนักเรียน,ค่าประกัน,ค่า study care รวมถึงค่าสมัครเรียน
    แต่...ยังไม่รวมพวกค่าใชจ่ายส่วนตัว,ค่าตั๋วเครื่องบิน,ค่าสมัครกับต่อวีซ่า,ค่าอื่นๆจิปาถะ
    เบ็ดเสร็จโดยรวมที่ต้องจ่ายก็ยังถือว่าแพง คือ 36,306.25 NZD ประมาณ 873,662 บาท แต่เอาจริงถ้าแบบศึกษาพวกค่าเทอมในนิวซีแลนด์มาบ้าง อันนี้คือเกือบเท่ากับราคาค่าเทอมโรงเรียนหญิงล้วน (โรงเรียนรัฐบาล) ใน Auckland (เราเคยศึกษาราคาค่าเรียนของ Epsom Girls Grammar School สอน Year 9 ถึง Year 13 ราคาค่าเรียนแบบรวมทุกอย่าง 34,760 NZD ประมาณ 836,459.63 บาทต่อปี กับ Westlake Girls High School ราคา 32,535 NZD ประมาณ 782,917.55 บาท สกุลเงินอ้างอิงวันที่ 9 กันยายน 2560 เวลา 22.56 น. นะจ๊ะ) คือมันก็ไม่ต่างกันมากชะ แต่เห็นเขาบอกกันว่าสังคมเอกชนโรงเรียนนิวซีแลนด์จะดีกว่าโรงเรียนรัฐหน่อยและค่าใช้จ่ายก็สูงตาม แต่โรงเรียนรัฐก็น่าจะไม่แย่เบอร์นั้นนะ เราคิด เพราะคนกีวี่ก็เป็นมิตรพอควรอะ แต่อันนี้ขึ้นกับคนนะว่าปรับตัวเข้ากับคนได้มากแค่ไหน ประมาณซื้อสังคมอ่ะ

    แต่บทสรุปคือเราสละสิทธิ์ไปแล้วนะ จริงๆเขาให้เวลาตัดสินใจ 2 อาทิตย์ แต่หลังจากนั้น 3 วันที่เราคิดๆดู เราสละสิทธิ์ดีกว่า เพราะว่าแบบยังไงครอบครัวเราก็ไม่ได้อยากจะให้เราไปอยู่แล้ว แต่ถ้าถามเราคือ เราอยากไป 55555555 เราชอบนะ การเรียนต่างประเทศดูมันเปิดโลกกว้างดี (แต่อันนี้อยููููููููู่่่่่่่่ที่ความเชื่อใจของพ่อแม่ที่มีต่อเด็กด้วยนะว่าจะไม่ทำตัวออกนอกลู่นอกทาง) ละก็ได้ภาษาอังกฤษที่กลับมาแล้วดีด้วย งั้นขอให้ NZ เป็นอีกตัวเลือกนึงสำหรับพ่อแม่ที่อยากส่งลูกเรียนต่างประเทศที่ค่าใช้จ่ายไม่แพงเท่าอเมริกา,แคนาดา,ออสเตรเลียและอังกฤษเนอะ แถมสงบและได้พบธรรมชาติด้วย เด็กๆจะได้ไม่ฟุ้งซ่านกัน เด็กที่เป็นภูมิแพ้ก็อยู่ได้ สัตว์มีพิษก็ไม่เยอะแบบออสเตรเลียด้วยนะ อิอิ 

    ถ้าใครมีคำถามอะไรเกี่ยวกับการเรียนต่อหรือต้องการคำแนะนำ สามารถติดต่อเราได้ที่เมลล์ askmiemimimi@gmail.com ได้นะ แต่!!! ห้ามถามข้อมูลส่วนตัวเรา เพราะเราจะไม่ตอบ ~
    ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
    เจ้ามี่
    9 กันยายน 2560
    ปล. ข้าไม่ใช่หน้าม้าของ Learning Curve และ Chilton เขียนเพื่อรีวิวประสบการณ์ล้วนๆ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in