เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
อ่านแล้วอยากเล่าjph
[Review] จวบจนสิ้นแสงแดงดาว เมื่อความหวังเป็นดั่งแสงนำทางของชีวิต
  • หากเอ่ยถึงความหวังก็มักจะถูกเปรียบเทียบกับแสงสว่างอยู่เสมอในงานเขียนหรืองานศิลปะแขนงใด ๆ ก็ตาม แต่หากว่าความหวังนั้นไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตา มันควรมีลักษณะเป็นอย่างไรดี?

    จบจนสิ้นแสงแดงดาว เป็นเรื่องราวของรุธิระ ชายตาบอดทายาทคนสุดท้ายของตระกูลเชื้อสายเจ้าของเขมรในช่วงที่สงครามและคอมมิวนิสต์กำลังจะบุกยึดพนมเปญ รุธิระตัดสินใจหนีสงครามไปยังประเทศไทยด้วยการนำทางของอุทิศ เด็กหนุ่มจากครอบครัวยากจนที่ทำงานเป็นผู้ดูแล



    ยอมรับว่าติดสำนวนภาษาของคุณเบส (กิตติศักดิ์ คงคา ผู้เขียน) มาตั้งแต่อ่านเรื่อง กาสักอังก์ฆาต และเหตุผลที่เลือกหยิบเล่มนี้มาอ่านเป็นเล่มถัดมาก็เพราะว่าชื่อของมันล้วน ๆ พออ่านจนจบก็พบว่าทั้งภาษาและวิธีเล่าเรื่องแบบนี้มันเหมาะเหลือเกินกับการเล่าเรื่องราวย้อนยุค และยิ่งเหมาะกว่าเดิมเมื่อเรื่องราวมันเกือบจะเป็นโศกนาฏกรรม


     เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของหนังสือ


    ในส่วนของเนื้อหาเมื่ออ่านไปได้สักพักหนึ่งก็พอจะเดาทิศทางของเรื่องได้ว่าจะดำเนินต่อไปทางไหน ถึงแม้จะบอกว่าเป็นเรื่องราวที่เกิดในยุคสงคราม แต่เนื้อหาในหนังสือไม่ได้กล่าวถึงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มากนัก เพราะประเด็นหลักของเรื่องไม่ใช่ความโหดร้ายของสงคราม แต่มันกล่าวถึงการเอาชีวิตรอดด้วยความไว้วางใจ การมีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่แม้จะมองไม่เห็นความหวังนั้นเลยก็ตาม ดังนั้นหากจะคาดหวังในส่วนของพล็อตเรื่องที่หวือหวาหรือความพีคของเนื้อเรื่องอาจจะต้องวางเล่มนี้ลงก่อน


    นอกเหนือจากการใช้ภาษาที่สวยงามแล้ว การสร้างเงื่อนไขทุพลภาพให้ตัวละครหลักก็เป็นวิธีที่ฉลาดมาก (จริง ๆ เป็นวิธีเดียวกับที่ตัวเอกบวชเป็นพระในกาสักอังก์ฆาต คือจำกัดการรับรู้ของตัวละครให้อยู่ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง) คือสร้างข้อจำกัดบางอย่างให้ต้องได้รับการช่วยเหลือจากใครอีกคนที่จำเป็นเหลือเกินต่อการเดินเรื่องและการใช้ชีวิต แถมการตั้งต้นคนตาบอดขึ้นมาก็เป็นเหตุผลที่ดีที่จะใช้วิธีบรรยายแบบที่คนเขียนถนัด อ่านแล้วเห็นภาพชัดแม้ไม่มีภาพให้เห็น ทั้งยังเป็นข้อดีที่ทำให้ตัวละครเกิดความไม่รู้ตลอดเวลา แค่ก้าวเท้าออกจากบ้านที่คุ้นเคยก็ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง กลางวันหรือกลางคืน เสียงปืนที่ถูกหลอกว่าเป็นเสียงเครื่องยนต์ระเบิด ซึ่งก็อาจจะจริงก็ได้ คิดว่านี่เป็นส่วนที่ทำให้อ่านติดมือด้วยเหมือนกัน ต้องคอยลุ้นอยู่ตลอดว่าจะเกิดอะไรอีก และจะโดนหลอกว่าเป็นอย่างอื่นอีกหรือไม่


    และเนื่องด้วยรุธิระตาบอด ตัวละครทุกตัวที่อยู่ในเรื่องจึงไม่เคยถูกบรรยายถึงลักษณะภายนอกเหมือนกับหนังสือเล่มอื่น ๆ มีเพียงลักษณะของเสียง จังหวะการพูด หรือจังหวะการหายใจเท่านั้น เป็นสเน่ห์อีกอย่างของการเล่าเรื่อง เพราะปกติจะจินตนาการภาพตัวละครตามที่ถูกบรรยายเอาไว้ว่าเป็นคนลักษณะอย่างไร ครั้งนี้เลยเหมือนปิดโสตประสาทส่วนจินตนาการลักษณะของคน ไปเปิดส่วนลักษณะเสียงและกลิ่นของบรรยากาศแทน เป็นประสบการณ์อันแปลกใหม่ที่ดีมากเลยทีเดียว


    ชอบทางลงที่ตอนท้ายเรื่องมีหนึ่งคนที่ไม่ได้รักษาสัญญา แต่ก็ด้วยเพราะชีวิตเราไม่ได้มีทางเลือกมากนัก อีกคนก็ผ่านโลกมามากพอจะยอมปล่อยไปได้ พออ่านจบมันค่อนข้างทำงานกับความรู้สึกเหมือนกัน ไม่แน่ใจว่าส่วนไหน เจ็บลึกอยู่ แต่ไม่ได้ฟูมฟาย คิดว่าเป็นเพราะสุดท้ายรุธิระก็เรียนรู้จากความจำเป็นที่จะใช้ชีวิตด้วยตัวคนเดียวต่อไปจนถึงวาระสุดท้าย และได้เลือกใช้ชีวิตแบบที่รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าที่สุดแล้ว


    ท้ายที่สุดอยากจะนิยามหนังสือเล่มนี้เป็น นิยายรักที่ไม่สมหวัง มันสวยงามประมาณนั้น เหมือนเรื่องราวความรักที่ก่อตัวเพราะความไว้ใจท่ามกลางความมืดบอดและสิ้นหวัง แม้สุดท้ายความรักจะไม่เป็นจริง แต่ความหวังยังคงอยู่และถูกส่งต่อไปยังคนอื่น ๆ อยู่เรื่อยไป


    โดยรวมเป็นประสบการณ์การอ่านหนังสือที่ดีมาก ๆ ครั้งหนึ่ง อยากให้ทุกคนได้ลองสัมผัส ต่อให้รู้ตอนจบแล้วคิดว่าความรู้สึกของความบาดลึกบางอย่างก็ยังสมควรสัมผัสด้วยตาและใจของตัวเองดูสักครั้ง.



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in