การสอบแบบ paper-based :
การสอบกับข้อสอบกระดาษขอทาง British Council จะจัดสอบที่โรงแรม Landmark สุขุมวิท ชั้น 7 (สำหรับพาร์ท Listening, Reading และ Writing) และ ชั้น 3 สำหรับพาร์ท Speaking ซึ่งการเดินทางก็ง่ายสะดวกสบาย สามารถขึ้น BTS มาลงที่สถานีนานา หรือถ้าสะดวกมาด้วยรถยนต์ทางโรงแรมก็มีที่จอดรถให้ค่ะ
สำหรับพาร์ท Listening, Reading และ Writing จะสอบต่อกันในวันเสาร์ช่วงเช้า ส่วนพาร์ท Speaking จะมีให้เลือกตอนสมัครสอบว่าเราประสงค์จะสอบวันศุกร์ วันเสาร์ (ต่อจาก 3 พาร์ทข้างบน) หรือวันอาทิตย์ โดยส่วนตัวเคยแล้ว สอบทั้งแบบวันเสาร์ติดกัน 4 พาร์ท กับ สอบแยกวัน ซึ่งเราคิดว่าสอบแยกวันได้ผลดีกว่า เพราะเราสามารถโฟกัสไปที่พาร์ท Speaking ได้มากขึ้น แต่ข้อเสียก็คือเราต้องเสียเวลาไปสอบหลายวันนี่แหละค่ะ
มาที่การสอบ ก่อนวันสอบจะมีอีเมลจากทาง British Council ส่งมาให้ ระบุวันเวลา เลขประจำตัวการสอบและรายละเอียดต่างๆ สิ่งที่ห้ามลืมเลยคือบัตรปชช.ตัวจริง/พาสปอร์ตตัวจริง "และ" สำเนา (จริงๆ ถ้าลืมถ่ายสำเนามาในโรงแรมมีที่ถ่ายเอกสารค่ะ) ส่วนเครื่องเขียนทางผู้จัดมีให้ไม่ต้องเตรียมอะไรไป น้ำดื่มเอาเข้าได้แต่ต้องดึงฉลากออก ก่อนเข้าห้องสอบจะมีจุดให้ฝากกระเป๋า ลงทะเบียนถ่ายรูป สแกนลายนิ้วมือ (สำหรับใครถ้าสอบแยกวันจะลงทะเบียนถ่ายรูป สแกนนิ้ว เฉพาะวันแรกค่ะ วันที่สองแค่ตรวจเอกสารแล้วเซ็นชื่อ) แต่เหนือสิ่งอื่นใดสิ่งที่ควรระวังมากๆ เลยก็คือเรื่องเวลา วันสอบเผื่อเวลาเยอะๆ เลยค่ะ ถ้ามาสายแม้แต่นาทีเดียวเขาไม่ให้สอบนะ เคยเห็นคนโดนมาแล้ว กลับบ้านอย่างเดียวเลยนะคะ
ข้อสอบ
การสอบจะเรียงตามนี้นะคะ เริ่มด้วย Listening > Reading > Writing
Listening : มีทั้งหมด 4 พาร์ท 40 คำถาม มีหูฟังให้ ปรับระดับเสียงได้ตามสะดวก โดยก่อนสอบเขาจะมีเวลาให้เช็คหูฟังค่ะ ไม่ต้องกังวล ส่วนการสอบมีเวลาให้ 40 นาที (ฟัง 30 นาที และอีก 10 นาทีจะเป็นเวลาให้เขียนคำตอบลงกระดาษ) รูปแบบของข้อคำถามก็จะมีตั้งแต่ ให้เติมคำในช่องว่าง จับคู่ และปรนัย ส่วนใหญ่พาร์ทแรกจะเป็นเติมคำทั่วไป เช่น ชื่อ เบอร์โทรศัพท์ สถานที่ รหัสไปรษณีย์ กิจกรรม ฯลฯ ส่วนพาร์ท 2-3 จะเป็นจับคู่กับปรนัย พาร์ทสุดท้ายจะให้ฟังเป็น Lecture แล้วเติมคำ เท่าที่ทำ Listening มาทั้งหมด คำตอบจะไม่ใช่คำที่ยากอะไรเลย เป็นคำที่เรารู้ แต่เราแค่ฟังไม่ออกแค่นั้นเองค่ะ /ร้องไห้
Reading : มีทั้งหมด 3 passages 40 คำถาม ให้เวลาทำ 1 ชม. ความยาวจะอยู่ที่ราวๆ 2000-2750 คำ เพราะฉะนั้นแบ่งเวลาทำดีๆ นะคะ อันนี้ไม่สามารถแนะนำอะไรได้มากเท่าไหร่เพราะ topic ที่เขาเลือกมาออกสอบแสนหลากหลายมากจริงๆ แต่เท่าที่เจอก็จะเป็นพวกบทความ งานวิจัย แนววิทย์ๆ หน่อย
Writing : มี 2 Tasks ด้วยกัน ให้เวลาทำ 1 ชม. Task แรกให้เขียนอธิบายกราฟ อย่างต่ำ 150 คำ (เกินได้ไม่เป็นไรค่ะ) ซึ่งกราฟก็มีหลากหลายมากเตรียมไปดีๆ ค่ะ มีทั้ง Chart, Bar Chart, Pie Chart, Map, Process แล้วแต่สุ่มเจออันไหน มันจะวนๆ ไป ส่วน Task 2 จะให้เขียน Essay ความยาว 250 คำ อันนี้ Topic ก็หลากหลายอีกแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถตอบได้ค่ะ ทั่วๆ ไป และส่วนมากจะถามความเห็นว่าเห็นด้วยไหม ให้เทียบข้อดีข้อเสีย แนะนำทางแก้ ประมาณนี้ค่ะ สำหรับเรื่องเวลาเขาแนะนำให้แบ่งทำ Task 1 / 20 นาที Task 2 / 40 นาที เพราะ Task 2 คะแนนเยอะกว่า แต่ปกติเวลาเราทำก็ทำอย่างละ 30 นาทีตลอดค่ะ
Speaking : มี 3 พาร์ท ใช้เวลาประมาณ 15 นาที พาร์ทแรกเขาจะถามคำถามทั่วๆ ไปเกี่ยวกับเราค่ะ ทำอะไร เรียนอะไรมา มีความสนใจเรื่องอะไรเป็นพิเศษ พาร์ทสองจะให้เป็นการ์ดคำถามมาค่ะ ในการ์ดจะมีหลายคำถามสำหรับตอบ 1 หัวข้อ ซึ่งหัวข้อก็จะ Based on ประสบการณ์ของเรา คำถามก็จะเป็นพวก With Who, What, Where, When, และ Why โดยในส่วนนี้เขาจะให้เวลาเราอ่านคำถามและจดโน้ตสั้นๆ ลงกระดาษได้ 1 นาที ก่อนเริ่มตอบ ซึ่งเขาจะให้เวลาพูดตรงส่วนนี้ประมาณ 1-2 นาทีค่ะ ส่วนพาร์ทสุดท้ายก็จะถามเป็น abstract question ถ้าเราตอบสั้น เขาจะโยนคำถามใส่เรามากขึ้นค่ะ
การสอบแบบ computer-delivered :
การสอบกับคอมพิวเตอร์ของ British Council จะจัดสอบที่วิทยาลัยการจัดการ ม.พะเยา ตึก Wave Place ชั้น 8 (ตรงข้ามกับ Central Embassy) การเดินทางก็สะดวกค่ะ ขึ้น BTS ไปลงสถานีเพลินจิต แล้วจะมีทางเชื่อมเข้าตึก ส่วนใครที่นำรถยนต์ไปเอง แนะนำว่าให้ไปจอดที่เซ็นทรัลหรือตึกอื่นนะคะ เพราะค่าจอดรถแพงม๊าก
ข้อดีของการสอบ computer-delivered คือได้ผลสอบเร็วค่ะ 1 อาทิตย์หลังสอบผลก็ออกแล้ว ในขณะที่ถ้าสอบแบบ paper-based จะใช้เวลาถึง 2 อาทิตย์กว่าผลจะออก (แต่ค่าสอบราคาเท่ากันนะคะ55555)
สำหรับการสอบ จะมียางลบและดินสอจัดเตรียมไว้ให้ใช้สำหรับทด โดยก่อนสอบเขาแจกกระดาษระบุเลขประจำตัวการสอบกับพาสเวิร์ดเพื่อให้ล็อกอินเข้าไปทำข้อสอบ ซึ่งกระดาษอันนี้แหละค่ะที่เราใช้ทดได้ แต่ว่าเมื่อทำข้อสอบเสร็จ ก่อนเริ่มทำพาร์ทใหม่ เขาจะแจกกระดาษที่ระบุพาสเวิร์ดที่ใช้ล็อกอินเซ็ตใหม่ให้ค่ะ ด้านสถานที่สอบ จะเป็นห้องคอมฯ แต่ละโต๊ะจะถูกกั้นเป็นคอกๆ ด้วยฟิวเจอร์บอร์ด
ทั้งนี้ การสอบแต่พาร์ทมีข้อเหมือนและข้อแตกต่างจาก paper-based อยู่เหมือนกันดังนี้
Listening : มีหูฟังให้ รูปแบบข้อสอบเหมือน paper-based ทุกอย่าง แต่จะไม่มีเวลา 10 นาทีให้เขียนคำตอบหลังจากฟังจบ เพราะจะให้พิมพ์คำตอบลงกับคอมฯ เลย แต่หลังจากจบแต่ละพาร์ทจะมีเวลาให้เช็คคำตอบ 1-2 นาที ถ้าใครฝึกทำพาร์ทฟังกับคอมฯ อยู่แล้วน่าจะชินกับการทำข้อสอบแบบนี้ค่ะ
Reading : คือความเป็นงงอย่างที่สุด เพราะเราไม่สามารถวงกลม ขีดเส้นข้อความใดๆ เหมือนตอนทำข้อสอบกระดาษได้เลย ซึ่งมันทำให้เราหาคำตอบได้ยากขึ้นมากๆ ค่ะ
Writing : เราคิดว่าดีกว่าแบบ paper-based เพราะมีโปรแกรมนับคำให้ค่ะ สะดวกมาก อีกทั้งเวลาเขียนผิดไม่ต้องมานั่งใช้ยางลบลบให้เลอะเทอะ อยากเขียนเพิ่มตรงไหนก็ย้อนกลับไปเพิ่มได้สะดวก อันไหนเคยพิมพ์ไปแล้ว ขี้เกียจพิมพ์ใหม่ก็ก็อปวาง เราว่าอันนี้คือข้อได้เปรียบเลย
Speaking : อันนี้เหมือน paper-based ทุกประการค่ะเพราะสอบกับคน ไม่ได้สอบกับคอมฯ 5555 แต่รู้สึกว่าจะไม่สามารถเลือกสอบคนละวันกับ 3 พาร์ทที่เหลือได้ ต้องสอบวันเดียวกันและสอบก่อนเท่านั้น (อันนี้ไม่แน่ใจนะคะ)
นอกเหนือจากเรื่องที่กล่าวมาข้อดีอีกอย่างของการสอบกับคอมฯ คือคนสอบน้อยมาก รอบที่เราไปสอบมีอยู่ราวๆ สิบกว่าคน ส่วน paper-based นั้นคนสอบเป็นร้อย แถมกว่า 80% คือคนจีนค่ะ ถามว่าทำไมคนจีนถึงมาสอบที่ไทยเยอะ? อันนี้เคยถามเพื่อนคนจีนเขาบอกว่ามันเป็นอุปทานหมู่ว่าสอบที่ประเทศอื่นจะได้คะแนนเยอะกว่าสอบที่จีนค่ะ (ฮา)
ส่วนตัวสองครั้งแรกเราสอบแบบ paper-based คะแนนรวมได้น้อยกว่าแบบ computer-delivered ในการสอบครั้งที่ 3 ทั้งนี้อาจขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง ถ้าถามว่าสอบแบบไหนดีกว่า ตอบตามจริงเราว่าคงแล้วแต่ความถนัดและความสะดวกของแต่ละคน แต่สำหรับเราคิดว่า computer-delivered เวิร์คสุดค่ะ
อย่างไรก็ตาม ก็คงไม่มีอะไรสำคัญไปมากกว่าความพยายาม ความตั้งใจในการฝึกฝนแน่นอน หวังว่ารีวิวนี้จะช่วยให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ไม่มากก็น้อย และหากผิดพลาดอย่างไรก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ หากมีอะไรสงสัย สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ ยินดีตอบค่ะ เราจะมาพิชิต IELTS ไปด้วยกัน :)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in