เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ON THE WAY TO IELTSsungpam
ON THE WAY TO IELTS : รีวิวการสอบ IELTS ฉบับปี 2019



  • เชื่อว่าหลายคนที่มีความใฝ่ฝันอยากจะไปเรียนต่อต่างประเทศ โดยเฉพาะในเขตแดนของสหราชอาณาจักร เส้นทางที่จะก้าวไปสู่ความฝันที่ปลายทางนั้นคงไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่ เพราะพวกเราล้วนต้องก้าวผ่านสิ่งกีดขวางชิ้นโตอย่างการสอบ "IELTS" หรือ  International English Language Testing System 

    ตลอดเวลา 4 เดือนที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่เราร่วมหัวจมท้ายไปกับการสอบ IELTS ด้วยกันถึง 3 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งนอกเหนือจากการอ่านหนังสือเตรียมสอบแล้ว เราพยายามเลือกสภาพแวดล้อมในการสอบที่มีความหลากหลายเพื่อหวังจะสร้าง "ความแตกต่าง" ให้กับผลสอบด้วย ดังนั้นวันนี้เลยอยากจะมาแชร์การสอบ IELTS ในรูปแบบต่างๆ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจสำหรับผู้เตรียมสอบทุกคน 

    ก่อนอื่นต้องขอกล่าวถึงการสอบ IELTS ในภาพรวมเสียก่อน สำหรับการสอบ IELTS เพื่อศึกษาต่อนั้นมีให้เลือกสอบ 2 ประเภทด้วยกันคือ UKVI กับ Academic ซึ่งความแตกต่างของ 2 ประเภทนี้จะอยู่ที่

    UKVI : ใช้ในการสมัครวีซ่าและการตรวจคนเข้าเมืองแห่งสหราชอาณาจักร ถ้าจะขยายความให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือเมื่อเราได้ Conditional Offer จากทางมหาลัยมา คือ ทางมหาลัยตอบรับเราแล้วแต่มีข้อแม้ว่าคะแนน IELTS เราจะต้องถึงเกณฑ์เท่านั้นเท่านี้ ถ้าไม่ถึงเราจะต้องเรียนเตรียมความพร้อม หรือ Pre-sessional ก่อน ทำให้เราจะต้องอยู่ที่นั่นนานกว่าระยะเวลาของคอร์สเรียนของเรา ดังนั้น การสอบแบบ UKVI จะช่วยให้เราสามารถทำวีซ่าเพื่อเรียนพรีได้ในกรณีที่คะแนนเราไม่ถึงเกณฑ์นั่นเองค่ะ ซึ่งส่วนใหญ่คนจะนิยมสอบแบบนี้กันมากกว่า เพราะไม่ว่าจะสอบได้คะแนนเท่าไหร่ก็เอาไปยื่นขอเรียนพรีมหาลัยได้ แต่แน่นอนว่าค่าสอบก็มหาโหดเช่นกัน 

    Academic : การสอบแบบ Academic ใช้การยื่นเรียนมหาลัยได้ทั้งคอร์สที่ require การสอบแบบ UKVI และ Academic แต่ถ้าคอร์สไหนต้องการการสอบแบบ UKVI ถ้าเรายื่น Academic ผลสอบเราต้องถึงเกณฑ์เท่านั้น ไม่มีสิทธิเรียนพรีนะคะ อย่างไรก็ตาม มีบางคอร์สเหมือนกันที่ต้องการการสอบแบบ Academic เท่านั้น ไม่สามารถสอบ UKVI แล้วนำมายื่นได้  ทั้งนี้เราต้องเช็คดีๆ ว่าคอร์สที่เราสนใจเขามี requirement เรื่องการสอบ IELTS มาอย่างไรบ้าง จะได้ไม่สอบผิดแบบเนอะ 

    มาต่อกันที่ประเภทของข้อสอบ ในส่วนของข้อสอบจะมีให้เลือก 2 แบบคือแบบ paper-based (ข้อสอบกระดาษ) กับ computer-delivered (สอบกับคอมพิวเตอร์) โดยในไทยจะมีผู้จัดสอบสองเจ้าคือ British Council กับ IDP ซึ่งต่อจากนี้เราจะขออนุญาตแชร์แค่การสอบแบบ Academic กับทาง British Council นะคะ

    การสอบแบบ paper-based : 

    การสอบกับข้อสอบกระดาษขอทาง British Council จะจัดสอบที่โรงแรม Landmark สุขุมวิท ชั้น 7 (สำหรับพาร์ท Listening, Reading และ Writing) และ ชั้น 3 สำหรับพาร์ท Speaking ซึ่งการเดินทางก็ง่ายสะดวกสบาย สามารถขึ้น BTS มาลงที่สถานีนานา หรือถ้าสะดวกมาด้วยรถยนต์ทางโรงแรมก็มีที่จอดรถให้ค่ะ 

    สำหรับพาร์ท Listening, Reading และ Writing จะสอบต่อกันในวันเสาร์ช่วงเช้า ส่วนพาร์ท Speaking จะมีให้เลือกตอนสมัครสอบว่าเราประสงค์จะสอบวันศุกร์ วันเสาร์ (ต่อจาก 3 พาร์ทข้างบน) หรือวันอาทิตย์ โดยส่วนตัวเคยแล้ว สอบทั้งแบบวันเสาร์ติดกัน 4 พาร์ท กับ สอบแยกวัน ซึ่งเราคิดว่าสอบแยกวันได้ผลดีกว่า เพราะเราสามารถโฟกัสไปที่พาร์ท Speaking ได้มากขึ้น แต่ข้อเสียก็คือเราต้องเสียเวลาไปสอบหลายวันนี่แหละค่ะ 

    มาที่การสอบ ก่อนวันสอบจะมีอีเมลจากทาง British Council ส่งมาให้ ระบุวันเวลา เลขประจำตัวการสอบและรายละเอียดต่างๆ สิ่งที่ห้ามลืมเลยคือบัตรปชช.ตัวจริง/พาสปอร์ตตัวจริง "และ" สำเนา (จริงๆ ถ้าลืมถ่ายสำเนามาในโรงแรมมีที่ถ่ายเอกสารค่ะ) ส่วนเครื่องเขียนทางผู้จัดมีให้ไม่ต้องเตรียมอะไรไป น้ำดื่มเอาเข้าได้แต่ต้องดึงฉลากออก ก่อนเข้าห้องสอบจะมีจุดให้ฝากกระเป๋า ลงทะเบียนถ่ายรูป สแกนลายนิ้วมือ (สำหรับใครถ้าสอบแยกวันจะลงทะเบียนถ่ายรูป สแกนนิ้ว เฉพาะวันแรกค่ะ วันที่สองแค่ตรวจเอกสารแล้วเซ็นชื่อ) แต่เหนือสิ่งอื่นใดสิ่งที่ควรระวังมากๆ เลยก็คือเรื่องเวลา วันสอบเผื่อเวลาเยอะๆ เลยค่ะ ถ้ามาสายแม้แต่นาทีเดียวเขาไม่ให้สอบนะ เคยเห็นคนโดนมาแล้ว กลับบ้านอย่างเดียวเลยนะคะ 

    ข้อสอบ 

    การสอบจะเรียงตามนี้นะคะ เริ่มด้วย Listening > Reading > Writing 

    Listening : มีทั้งหมด 4 พาร์ท 40 คำถาม มีหูฟังให้ ปรับระดับเสียงได้ตามสะดวก โดยก่อนสอบเขาจะมีเวลาให้เช็คหูฟังค่ะ ไม่ต้องกังวล ส่วนการสอบมีเวลาให้ 40 นาที (ฟัง 30 นาที และอีก 10 นาทีจะเป็นเวลาให้เขียนคำตอบลงกระดาษ) รูปแบบของข้อคำถามก็จะมีตั้งแต่ ให้เติมคำในช่องว่าง จับคู่ และปรนัย ส่วนใหญ่พาร์ทแรกจะเป็นเติมคำทั่วไป เช่น ชื่อ เบอร์โทรศัพท์ สถานที่ รหัสไปรษณีย์ กิจกรรม ฯลฯ ส่วนพาร์ท 2-3 จะเป็นจับคู่กับปรนัย พาร์ทสุดท้ายจะให้ฟังเป็น Lecture แล้วเติมคำ เท่าที่ทำ Listening มาทั้งหมด คำตอบจะไม่ใช่คำที่ยากอะไรเลย เป็นคำที่เรารู้ แต่เราแค่ฟังไม่ออกแค่นั้นเองค่ะ /ร้องไห้

    Reading : มีทั้งหมด 3 passages 40 คำถาม ให้เวลาทำ 1 ชม. ความยาวจะอยู่ที่ราวๆ 2000-2750 คำ เพราะฉะนั้นแบ่งเวลาทำดีๆ นะคะ อันนี้ไม่สามารถแนะนำอะไรได้มากเท่าไหร่เพราะ topic ที่เขาเลือกมาออกสอบแสนหลากหลายมากจริงๆ แต่เท่าที่เจอก็จะเป็นพวกบทความ งานวิจัย แนววิทย์ๆ หน่อย

    Writing : มี 2 Tasks ด้วยกัน ให้เวลาทำ 1 ชม. Task แรกให้เขียนอธิบายกราฟ อย่างต่ำ 150 คำ (เกินได้ไม่เป็นไรค่ะ) ซึ่งกราฟก็มีหลากหลายมากเตรียมไปดีๆ ค่ะ มีทั้ง Chart, Bar Chart, Pie Chart, Map, Process แล้วแต่สุ่มเจออันไหน มันจะวนๆ ไป ส่วน Task 2 จะให้เขียน Essay ความยาว 250 คำ อันนี้ Topic ก็หลากหลายอีกแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถตอบได้ค่ะ ทั่วๆ ไป และส่วนมากจะถามความเห็นว่าเห็นด้วยไหม ให้เทียบข้อดีข้อเสีย แนะนำทางแก้ ประมาณนี้ค่ะ สำหรับเรื่องเวลาเขาแนะนำให้แบ่งทำ Task 1 / 20 นาที Task 2 / 40 นาที เพราะ Task 2 คะแนนเยอะกว่า แต่ปกติเวลาเราทำก็ทำอย่างละ 30 นาทีตลอดค่ะ 

    Speaking : มี 3 พาร์ท ใช้เวลาประมาณ 15 นาที พาร์ทแรกเขาจะถามคำถามทั่วๆ ไปเกี่ยวกับเราค่ะ ทำอะไร เรียนอะไรมา มีความสนใจเรื่องอะไรเป็นพิเศษ พาร์ทสองจะให้เป็นการ์ดคำถามมาค่ะ ในการ์ดจะมีหลายคำถามสำหรับตอบ 1 หัวข้อ ซึ่งหัวข้อก็จะ Based on ประสบการณ์ของเรา คำถามก็จะเป็นพวก With Who, What, Where, When, และ Why โดยในส่วนนี้เขาจะให้เวลาเราอ่านคำถามและจดโน้ตสั้นๆ ลงกระดาษได้ 1 นาที ก่อนเริ่มตอบ ซึ่งเขาจะให้เวลาพูดตรงส่วนนี้ประมาณ 1-2 นาทีค่ะ ส่วนพาร์ทสุดท้ายก็จะถามเป็น abstract question ถ้าเราตอบสั้น เขาจะโยนคำถามใส่เรามากขึ้นค่ะ

    การสอบแบบ computer-delivered : 

    การสอบกับคอมพิวเตอร์ของ British Council จะจัดสอบที่วิทยาลัยการจัดการ ม.พะเยา ตึก Wave Place ชั้น 8 (ตรงข้ามกับ Central Embassy) การเดินทางก็สะดวกค่ะ ขึ้น BTS ไปลงสถานีเพลินจิต แล้วจะมีทางเชื่อมเข้าตึก ส่วนใครที่นำรถยนต์ไปเอง แนะนำว่าให้ไปจอดที่เซ็นทรัลหรือตึกอื่นนะคะ เพราะค่าจอดรถแพงม๊าก

    ข้อดีของการสอบ computer-delivered คือได้ผลสอบเร็วค่ะ 1 อาทิตย์หลังสอบผลก็ออกแล้ว ในขณะที่ถ้าสอบแบบ paper-based จะใช้เวลาถึง 2 อาทิตย์กว่าผลจะออก (แต่ค่าสอบราคาเท่ากันนะคะ55555)

    สำหรับการสอบ จะมียางลบและดินสอจัดเตรียมไว้ให้ใช้สำหรับทด โดยก่อนสอบเขาแจกกระดาษระบุเลขประจำตัวการสอบกับพาสเวิร์ดเพื่อให้ล็อกอินเข้าไปทำข้อสอบ ซึ่งกระดาษอันนี้แหละค่ะที่เราใช้ทดได้ แต่ว่าเมื่อทำข้อสอบเสร็จ ก่อนเริ่มทำพาร์ทใหม่ เขาจะแจกกระดาษที่ระบุพาสเวิร์ดที่ใช้ล็อกอินเซ็ตใหม่ให้ค่ะ ด้านสถานที่สอบ จะเป็นห้องคอมฯ แต่ละโต๊ะจะถูกกั้นเป็นคอกๆ ด้วยฟิวเจอร์บอร์ด

    ทั้งนี้ การสอบแต่พาร์ทมีข้อเหมือนและข้อแตกต่างจาก paper-based อยู่เหมือนกันดังนี้  

    Listening : มีหูฟังให้ รูปแบบข้อสอบเหมือน paper-based ทุกอย่าง แต่จะไม่มีเวลา 10 นาทีให้เขียนคำตอบหลังจากฟังจบ เพราะจะให้พิมพ์คำตอบลงกับคอมฯ เลย แต่หลังจากจบแต่ละพาร์ทจะมีเวลาให้เช็คคำตอบ 1-2 นาที ถ้าใครฝึกทำพาร์ทฟังกับคอมฯ อยู่แล้วน่าจะชินกับการทำข้อสอบแบบนี้ค่ะ 

    Reading : คือความเป็นงงอย่างที่สุด เพราะเราไม่สามารถวงกลม ขีดเส้นข้อความใดๆ เหมือนตอนทำข้อสอบกระดาษได้เลย ซึ่งมันทำให้เราหาคำตอบได้ยากขึ้นมากๆ ค่ะ  

    Writing : เราคิดว่าดีกว่าแบบ paper-based เพราะมีโปรแกรมนับคำให้ค่ะ สะดวกมาก อีกทั้งเวลาเขียนผิดไม่ต้องมานั่งใช้ยางลบลบให้เลอะเทอะ อยากเขียนเพิ่มตรงไหนก็ย้อนกลับไปเพิ่มได้สะดวก อันไหนเคยพิมพ์ไปแล้ว ขี้เกียจพิมพ์ใหม่ก็ก็อปวาง เราว่าอันนี้คือข้อได้เปรียบเลย 

    Speaking : อันนี้เหมือน paper-based ทุกประการค่ะเพราะสอบกับคน ไม่ได้สอบกับคอมฯ 5555 แต่รู้สึกว่าจะไม่สามารถเลือกสอบคนละวันกับ 3 พาร์ทที่เหลือได้ ต้องสอบวันเดียวกันและสอบก่อนเท่านั้น (อันนี้ไม่แน่ใจนะคะ) 

    นอกเหนือจากเรื่องที่กล่าวมาข้อดีอีกอย่างของการสอบกับคอมฯ คือคนสอบน้อยมาก รอบที่เราไปสอบมีอยู่ราวๆ สิบกว่าคน ส่วน paper-based นั้นคนสอบเป็นร้อย แถมกว่า 80% คือคนจีนค่ะ ถามว่าทำไมคนจีนถึงมาสอบที่ไทยเยอะ? อันนี้เคยถามเพื่อนคนจีนเขาบอกว่ามันเป็นอุปทานหมู่ว่าสอบที่ประเทศอื่นจะได้คะแนนเยอะกว่าสอบที่จีนค่ะ (ฮา) 

    ส่วนตัวสองครั้งแรกเราสอบแบบ paper-based คะแนนรวมได้น้อยกว่าแบบ computer-delivered ในการสอบครั้งที่ 3 ทั้งนี้อาจขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง ถ้าถามว่าสอบแบบไหนดีกว่า ตอบตามจริงเราว่าคงแล้วแต่ความถนัดและความสะดวกของแต่ละคน แต่สำหรับเราคิดว่า computer-delivered เวิร์คสุดค่ะ 

    อย่างไรก็ตาม ก็คงไม่มีอะไรสำคัญไปมากกว่าความพยายาม ความตั้งใจในการฝึกฝนแน่นอน หวังว่ารีวิวนี้จะช่วยให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ไม่มากก็น้อย และหากผิดพลาดอย่างไรก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ หากมีอะไรสงสัย สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ ยินดีตอบค่ะ เราจะมาพิชิต IELTS ไปด้วยกัน :)

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in