01
ในความเป็นไปได้ของคนสองคนที่อยู่คนละประเทศจะมาเจอกันอีกครั้งหลังไม่เจอกันมาห้าปีมันมีเท่าไหร่กันนะ
ช่วงสายวันอาทิตย์ควรเป็นเวลาเหมาะกับการนั่งเอื่อยเฉื่อย รอเวลาไหลเลื่อนช้าๆ สู่วันที่ยุ่งที่สุดแห่งสัปดาห์ แต่ฉันกลับรู้สึกอยากออกไปข้างนอก
‘จะหมดวันหยุดยาวแล้ว ต้องใช้ให้คุ้มสิ’ ความคิดแบบนั้นโผล่ขึ้นมาในหัวหลังตื่นนอนแล้วพบว่าตัวเองตื่นเช้ากว่าที่คิด มือเอื้อมหยิบไอแพดจากหัวเตียงกดเข้าแอพพลิเคชั่นโรงหนังที่สมัครสมาชิกไว้
มีหนังน่าสนใจฉายช่วงสิบเอ็ดโมงกว่าพอดี และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันอยู่หน้าห้างสรรพสินค้าตั้งแต่ประตูเปิด ก่อนจะแวะซื้อชาเขียวรสเข้มปลุกตัวเอง ทั้งที่รู้ว่าควรกินอาหารเสียหน่อยเพราะเดี๋ยวต้องหิวโซแน่นอน
ฉันคาดคะเนไว้ว่าหนังฉายจบคงไม่เกินบ่ายครึ่ง เอาไว้กินหลังจากนั้นน่าจะดีกว่า ไม่อยากเสียเวลาหาอะไรกินให้เลอะเปื้อน
แต่หลังจากก้าวเท้าเข้าไปในลิฟต์ ฉันเพิ่งรู้ว่าคิดผิด ที่จริงควรจะไปหาข้าวกิน เดินเตร็ดเตร่ หรืออย่างน้อยรอชาเขียวให้นานกว่านี้แค่ซักอีกครึ่งนาที เราก็อาจคลาดกัน
อันที่จริงฉันไม่แน่ใจว่าจะเรียกสิ่งนี้ว่าอะไรดี ความบังเอิญ จังหวะเวลา โชคดี โชคร้าย ดวง กำหนดการของพระเจ้า ในโลกนี้มีหลายอย่างที่หาคำตอบและพิสูจน์ไม่ได้ อย่างคนจนที่จู่ๆ ถูกหวยรวยเป็นเศรษฐี หรือการค้นพบม้วนฟิล์มเก่าล้ำค่าในกล้องฟิล์มที่ซื้อต่อกันมา
ในความเป็นไปได้เหล่านั้น ฉันไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวเองสักเท่าไหร่ คนที่ใช้ชีวิตแบบเรื่อยเปื่อยจับสลากก็ไม่เคยได้รางวัลใหญ่แบบนั้น จะไปคาดคิดได้ยังไงว่าในบรรดา 365 วันที่ฉันตัดสินใจออกมาข้างนอกในวันหยุดสุดสัปดาห์วันสุดท้าย ดันขึ้นลิฟต์แล้วเจอเธอคนนั้น – เธอที่ไม่เจอกันมาหลายปี
02
ไม่อยากยอมรับกับตัวเองเท่าไหร่ว่าตอนเหลือบไปเห็นเขาวิ่งเข้ามาในลิฟต์ ใจฉันเหมือนหยุดเต้นไปชั่วครู่ได้ ห้าปีคงเป็นเวลาที่นานมากสำหรับใครหลายคนจนหลงลืมหลายเรื่องไป แต่กับบางคนมันอาจเป็นระยะเวลาที่ยาวนานไม่พอกับการพยายามลืมอะไรสักอย่างหรือใครสักคน
ฉันไม่รู้จะจัดตัวเองเข้าประเภทไหนดี รู้แค่อยากผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปไวๆ แค่ไม่ชอบยามที่ตัวเองจำแนกแจกแจงออกมาไม่ได้ชัดๆ ว่ารู้สึกยังไง เข้าใจใช่ไหม ใครๆ ก็คงไม่ชอบเวลาที่คอนโทรลสถานการณ์ไม่ได้
การทำตัวนิ่งเงียบไม่เป็นผล เพราะท้ายที่สุดแล้วเขาก็เห็นฉันอยู่ดี ลิฟต์เปิดประตูที่ชั้นโรงหนัง เขาเดินออก ฉันเดินออก ถอยกลับไม่ได้แล้ว มันต้องแปลกมากแน่ๆ ถ้าฉันจะยืนค้างในลิฟต์ต่อ
“อ๊ะ”
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นสว่างไสว เสียงที่ฉันไม่ได้ยินมานานดังขึ้น ฟังดูเหมือนบ้าแต่สภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยกลับดูต่างออกไปเมื่อมีเขาเป็นส่วนประกอบ อย่างกับอยู่อีกมิติเวลาหนึ่ง
ฉันโบกมือทักทาย พยายามยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ แต่รู้อยู่ดีว่าคงทำได้ไม่ดีนัก เธอมักบอกเสมอว่าฉันปกปิดความรู้สึกไม่แนบเนียนเอาเสียเลย ไม่ว่าจะสุข ทุกข์ หรือเศร้าก็ตาม
“มาดูหนังหรอ”
ฉันพยักหัวรับ ควานเสียงในลำคอมาตอบ “แล้วเธอล่ะ”
“มาดูหนังเหมือนกัน” เธอเว้นช่วงไปแล้วทำตาโตเหมือนนึกอะไรออก “อย่าบอกนะว่าเรื่องเดียวกัน”
เสียงหัวเราะดังขึ้นตามมาติดๆ หลังพบว่าความบังเอิญหรือดวงหรือกงการของพระเจ้าไม่หยุดทำงาน ไม่รู้ว่าควรโทษใครดีระหว่างฉันที่นึกครึ้มอยากมาดูหนังรอบนี้ หรือเธอที่นานๆ ทีจะได้กลับมากรุงเทพฯ แล้วอยากดูหนังคนเดียวบ้าง
03
“เหมือนไม่ได้เจอกันนานมาก สบายดีนะ”
กลายเป็นว่าเรามานั่งคุยกันตรงล็อบบี้โรงหนังที่ผนังข้างหนึ่งกรุด้วยกระจกใสบานโต อีกยี่สิบนาทีหนังจะฉาย ฉันอยากหมุนเข็มนาฬิกาให้ถึงเวลาตอนนี้ โชคยังดีที่เราไม่ได้จองที่นั่งใกล้กัน
“ก็เรื่อยๆ” ฉันตอบปัดๆ ทั้งที่ความจริงแล้วชีวิตช่วงนี้ฉันไม่ค่อยดีนัก งานหนัก ทะเลาะกับแม่ มีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน ที่ออกมาดูหนังนี่ก็ในรอบสามเดือนได้ แต่คิดแล้วมันไม่จำเป็นที่ฉันต้องเล่า และเขาคงไม่ได้อยากฟัง
“เธอยังทำงานสำนักพิมพ์อยู่หรือเปล่า” เธอถามอีก ไม่รู้ว่าทำหน้ายังไง เพราะเรานั่งหันให้กันคนละด้าน
“ทำอยู่ จะสองปีแล้ว” เมฆลอยพ้นเผยโฉมดวงอาทิตย์ แสงแดดส่องผ่านกระจกกระทบเรือนผมสีน้ำตาลสั้นดัดเป็นลอนของคนข้างๆ เธอเปลี่ยนไปมากจนฉันไม่รู้จะบอกความเปลี่ยนแปลงตรงไหนก่อน ตั้งแต่ดูมีเนื้อหนังกว่าเมื่อก่อน ผิวที่ขาวขึ้นจากการไปอยู่เมืองหนาว แต่งตัวสนุกขึ้นผิดกับฉันที่เอาแต่ใส่สีดำ ไหนจะความร่าเริงที่ดูร่าเริงขึ้นถ้าเทียบกับห้าปีก่อน
เพราะเขาคนนั้นหรือเปล่านะที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้
04
เสียงปรบมือดังขึ้นตรงตรงหน้า เรียกฉันตื่นขึ้นจากภวังค์ เห็นคนข้างๆ ขยับตัวมาใกล้ ทำหน้าสงสัย
“เหม่ออะไรเนี่ย เราเรียกตั้งนานเธอไม่ได้ยินซักที” ริมฝีปากสีชมพูนู้ดบ่นอุบ “ไปกันเถอะ หนังจะฉายแล้ว”
ฉันรู้สึกถึงแรงดึงที่ต้นแขน มองตามข้างหลังเธอที่เดินนำไปด้วยความรู้สึกประหลาด ห้าปีที่หายไปถูกย่นระยะเวลาลงเหลือเป็นไม่กี่สัปดาห์ เหมือนของเก่าที่ทำหายไปกลับคืนมาอย่างไรอย่างนั้น
05
หลังจากหนังจบ ฉันเดินออกจากโรงหนังมาเจอกับเธอที่ยืนรอตรงระเบียง ครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้ว ฉันพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติเพราะเสียน้ำตาไปกับตอนสุดท้ายที่ตัวเอกรู้ความจริงว่าตนไม่ใช่ผู้ได้รับเลือก
“มีธุระอะไรต่อไหม ไปกันข้าวกัน” พยายามตอบ แต่เสียงในคอฉันหายไปอีกครั้ง ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความเศร้าที่ยังตกค้างมาหรือเปล่า
06
สุดท้ายเราลงเอยกันที่คาเฟ่ในห้าง โต๊ะมุมติดกระจกดูจะเป็นความโปรดปรานหนึ่งอย่างที่ไม่ได้เปลี่ยนไปของเธอ เราตกลงสั่งอาหารของใครของมัน และสั่งสลัดแซลมอนมาแชร์ อาจเพราะฉันแสดงท่าทีแปลกใจเห็นชัดไปหน่อย คนข้างหน้าถึงหลุดขำออกมา
“เดี๋ยวนี้เรากินผักแล้ว กินตามเขาน่ะ” เธอยิ้มเขิน ส่วนฉันได้แต่รับคำแกนๆ ไปว่าดีแล้ว
“คือ เราอยากพูดอะไรสักอย่าง” สายตาที่จับจ้องมา ทำให้ฉันหลบเลี่ยงมองไปทางอื่น เธอสอดมือข้างซ้ายเข้าไปในเรือนผมหนา เป็นท่าทางที่ชอบทำเวลาประหม่า
ฉันฝืนยิ้มตอบ “ว่ามาสิ”
“เราอยากขอโทษกับเรื่องนั้น รู้แหละว่าผ่านมานานแล้ว และเธออาจไม่รู้สึกอะไรอีก แต่เราก็อยากขอโทษ เรารู้สึกผิดและละอายใจมาตลอด” เธอดูเศร้าโศกเหลือแสน ฉันไม่คุ้นกับภาพคนตรงหน้าที่เหมือนจะร้องไห้ออกมาสักเท่าไหร่
“ถึงจะบอกว่าไม่น่าทำแบบนั้น แต่เราก็ทำมันลงไปแล้ว ดังนั้น เราเลยอยากขอโทษ ขอโทษจริงๆ” เธอกุมมือฉัน ความเย็นจากแหวนเงินวงเล็กตรงนิ้วนางข้างซ้ายของเธอดูเป็นสิ่งแปลกปลอม
เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะคิดมาก จึงบีบมือกลับเบาๆ “ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ เราไม่เป็นอะไรแล้ว”
น้ำใสๆ ในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นสั่นระริก ไม่รู้ว่าครั้งนี้ฉันหลอกเธอได้สำเร็จหรือไม่ แต่ก็ดูเหมือนเธอจะโล่งใจที่ได้พูดประโยคนั้นออกมา
“ขอบคุณนะ” สองมือเล็กๆ ย้ายมากอบกุมมือของฉันพร้อมกับเสียงสะอื้น สัมผัสของแหวนชัดขึ้น นั่นทำให้นึกได้ว่าเมื่อก่อนเธอเกลียดการสวมแหวนมากแค่ไหน ขนาดของคู่กันเรายังเปลี่ยนไปซื้อกำไลใส่คู่กันแทน
ไวเท่าความคิด ฉันเลื่อนสายตามองที่ข้อมือเธอ
07
เราแยกย้ายกันหลังจากไปเดินเล่นในมหาวิทยาลัยใกล้ๆ ที่ทำให้ฉันได้พบเธอ
อันที่จริงแล้วเธออาสาขอไปส่ง แต่ฉันยืนกรานว่าอยากเดินกลับเอง เพราะหอที่อยู่ไม่ได้ไกลจากตรงนี้มากนัก
ในช่วงเวลาทั้งเย็นนั้น เราต่างพากันขุดรื้อความทรงจำเก่าๆ ที่ซุกซ่อนตามซอกหลืบสมอง นั่นทำให้ฉันมั่นใจว่าความทรงจำไม่ใช่สิ่งที่อยากโยนทิ้งแล้วลืมไปได้ง่ายๆ เหมือนสิ่งของไม่ใช้แล้ว หากแต่ฉันเองที่พยายามหาบานไม้มาปิดทับให้เรียบสนิทปนเปไปกับความทรงจำดาษๆ เพื่อจะได้เดินเลยผ่าน ไม่สะดุดล้มเจ็บตัว
เราเคยเป็นเพื่อนสนิทกันมาก มากจนไม่คิดว่าวันหนึ่งจะห่างกันได้ ทั้งที่สัญญาว่าจะแก่ไปด้วยกันถึงขนาดนั้น แต่ท้ายที่สุดแล้วเมื่อ ‘เขา’ เข้ามา ทุกอย่างที่เคยถูกต้องก็ค่อยๆ โดนกระทบกระเทือนจนผิดที่ผิดทางไปหมด
แล้ววันหนึ่งเขาก็มาสารภาพรักกับฉัน บอกว่าอยากดูแลไปตลอดชีวิตที่เหลือ
แน่นอนว่าฉันปฏิเสธไปแทบจะทันที เพราะหนึ่งคือฉันไม่ได้ชอบเขาแบบนั้น และสองคือฉันไม่อยากผิดสัญญาที่ให้ไว้กับเธอ
แต่แล้วทุกอย่างกลับตาลปัตร เธอเปิดตัวว่าคบกับเขาในวันวาเลนไทน์ปีนั้น ทั้งที่ปกติเราสองคนมักจะโพสต์ภาพคู่กันแล้วพิมพ์แคปชั่นตลกๆ อย่าง ถ้ามีเพื่อนสนิทดี แฟนไม่ต้องมีก็ได้ เทือกนั้นอยู่เสมอๆ
เราทะเลาะกันใหญ่โต ใหญ่โตชนิดที่ไม่คิดว่ามันจะไปถึงขั้นนั้นได้ ความสัมพันธ์ที่สร้างมาด้วยกันก่อนหน้าเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นจริง เธอเลือกปกป้องเขามากกว่าฉัน เธอขว้างคำสัญญาต่างๆ นานาทิ้งไปเพียงเพราะต้องการยืนข้างเขา
แม้วันนี้จะเกิดขึ้นจากความบังเอิญ เธอได้เอ่ยคำขอโทษ ปลดล็อกปมในใจตลอดหลายปี ฉันได้กลับมาคุยกับเธออีกครั้ง เราจับจูงมือกันเหมือนครั้นในอดีต แต่ขณะเดียวกันฉันกับเธอต่างตระหนักถึงความจริงที่ว่าเราไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว
เธอออกเดินทางไกลไปมากเหลือเกิน ยากที่ฉันจะเดินตามได้ทัน ทั้งที่ห้าปีที่ผ่านมานั้นฉันคิดว่ามันนานพอจะลบใครสักคนออกจากชีวิต
จนกระทั่งช่วงสายวันนี้ที่ลิฟต์ตัวนั้น แผ่นหลังบาง มือคู่เล็ก และดวงตาสีน้ำตาอ่อนของเธอทำให้ฉันค้นพบว่ากาลเวลาไม่ช่วยอะไรเลย
* ได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์เรื่อง The Woman Who Ran
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in