การเริ่มต้นผูกสัมพันธ์กับใครสักคนก็คงเปรียบเหมือนการลงแข่งขันวิ่งมาราธอนเพื่อช่วงชิงเหรียญทองหรือถ้วยรางวัล ผู้เข้าชิงจะต้องพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจเพราะเส้นทางของการแข่งขันนั้นช่างยาวไกล
หากผู้ลงแข่งขันคนใดไม่ได้ฝึกฝนมาอย่างเพียงพอจนถึงขีดจำกัดของร่างกายก็คงต้องเจ็บทั้งตัวและเจ็บทั้งใจไปกันบ้าง
หลายคนคงเคยมีโมเมนต์แบบเพลงไม่ต้องรู้ว่าเราคบกันแบบไหนของดา เอ็นโดรฟิน ไม่ต้องหาคำๆไหนมาเพื่ออธิบายสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ กลัวที่จะต้องอธิบายว่าระหว่าง"ฉัน"กับ"เธอ" เราเป็นอะไรกันแน่
ถึงแม้จะไม่อยากได้คำอธิบายสิ่งเหล่านั้น แต่หลายคนก็คงอดที่จะตั้งคำถามแบบขนมจีนไม่ได้ว่า "นี้ฉันต้องรักเธอแบบไหน ช่วยบอกกันมาได้ไหม" แล้วตกลงจะให้ฉันอยู่ในสถานะไหนระหว่างเพื่อนกับแฟน
บัดนี้ได้มีคนอภิธานศัพท์เพื่ออธิบายถึงสภาวะการณ์ของการเดทในยุคปัจจุปันไว้แล้ว หนึ่งในชื่อที่ดูสะดุดตาและความหมายก็เจ็บจึกอยู่ในอกก็คงเป็นคำว่า
"Benching" เบนชชิ่ง ซึ่งมาจากคำนามในภาษาอังกฤษคำว่า
bench (เบนช) ที่แปลว่า ม้านั่งทางยาวที่มักพบเห็นในที่สาธารณะ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับความสัมพันธ์หล่ะ เบนชชิ่ง สามารถใช้ในเชิงกีฬาซึ่งหมายถึงเหล่าตัวสำรองของทีมที่นั่งบนม้านั่งยาวข้างสนามรอเวลาจะได้เฉิดฉายบนสนามศึก มันคือการเก็บพวกตัวสำรองไว้ในทีม แต่ไม่เคยคิดจะให้โอกาสพวกเขาได้ลงสนามไปทำคะแนนให้กับทีม เพียงแค่เก็บไว้ใช้ในยามที่นักกีฬาตัวหลักเกิดบาดเจ็บหรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
รูปภาพจาก the way back (2020)
คำว่า เบนชชิ่ง ถูกนำมาใช้กับการเรียกแทนสถานะของความสัมพันธ์ในปัจจุบัน
Urban Dictionary ได้ให้ความหมายของคำนี้ไว้ว่า เป็นการกระทำเมื่อชอบใครสักคนที่ดีและมีความเป็นไปได้ที่จะขยับสถานะ
แต่ไม่ได้รู้สึกชอบมากขนาดจะตกลงปลงใจด้วย ดังนั้นจึงเก็บอีกฝ่ายไว้เป็นตัวเลือกขณะที่ยังสามารถเดทกับคนอื่นๆไปด้วยในเวลาเดียวกัน
กล่าวคือ การเก็บใครสักคนไว้วังวนโดยไม่ให้สถานะอะไร ไม่ได้บอกชัดเจนว่าเป็นอะไรกัน เพียงแค่เก็บเขาเอาไว้เพื่อขจัดความเหงาในบางเวลา เป็นการปล่อยให้คน ๆนั้นนั่งรอและวาดฝันถึงสถานะคู่รักอยู่ริมสนาม โดยที่ตัว ผู้เล่น หรือที่เรียกว่า bencher เพียงแค่ป้อนคำหวานนิดๆหน่อยๆ เป็นไปเพื่อคงสถานะให้ความหวังกับคน ๆ นั้น เพื่อให้ผู้ถูกเล่นตกอยู่วังวนต่อไปเรื่อยๆ ในขณะที่ผู้เล่นสามารถลงสนามไปจีบคนอื่นหรือสานสัมพันธ์กับบุคคลอื่นได้ โดยสามารถตีความในภาษาไทยง่ายๆว่า "การอยากมีเธอในชีวิตแต่ไม่ได้คิดอะไร"
ภาพโดย Pexels จาก Pixabay
โดยการแสดงออกของผู้เล่นจะดูไม่ชัดเจนชวนให้คิดได้หลายแบบ อย่างการส่งข้อความและอิโมจิที่ชวนให้คิดว่ามีใจ การชวนไปเที่ยวด้วยกันสองต่อสอง รวมถึงการควบคุมอำนาจการต่อรอง อย่างการใช้เวลานานๆ เพื่อตอบกลับข้อความหรือทำตัวยุ่งเพื่อยกเลิกเพลนที่เคยวางเอาไว้ เมื่อผู้ถูกเล่นมีท่าทีหัดเหความสนใจไปให้กับคนอื่น เมื่อนั้นผู้เล่นจะปรากฏตัวและพยายามสานต่อความสัมพันธ์กับผู้ถูกเล่นอีกครั้ง ดูคลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นเหมือนกีฬาตกปลาที่เมื่อเหยื่อติดเบ็ดก็เพียงแค่จับขึ้นมาถ่ายรูป วัดขนาดลำตัวและปล่อยกลับไปในแอ่งน้ำเดิมที่ถูกปิดตายไว้ไม่มีทางออก เมื่อวันไหนต้องการรู้ขนาดของปลา ก็เพียงแค่หย่อนตัวล่อเหยื่อให้เจ้าปลาตัวน้อยว่ายกับมาติดเบ็ดอีกครั้ง
การกระทำของผู้เล่นที่เก็บผู้ถูกเล่นไว้ในวังวนนั้น อาจเป็นสัญญาณที่ว่า ผู้เล่นมีท่าทีสนใจในตัวผู้ถูกเล่น หากแต่ความสนใจนั้นยังไม่มากพอที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ไปอีกขึ้นและผู้เล่นเพียงแค่กำลังรอคนที่ถูกใจมากที่สุดเข้ามาลงสนาม หรืออาจหมายถึงผู้เล่นไม่เคยต้องการจะมีความสัมพันธ์แบบผูกมัดกับใครในช่วงเวลานั้น เพียงแค่ต้องการจะบริหารเสน่ห์กับคนอีกมากมายในคราเดียว ซึ่งก็ดูจะเป็นเรื่องธรรมดาแล้วในยุคที่การพบปะผู้คนเพียงใช้แค่ปลายนิ้วชี้ปัดขวาไปบนแอปสำหรับเดทต่าง ๆ
Jason Chen ผู้เขียนบทความในหัวข้อ
Benching’ Is the New Ghosting ลงบนนิตยสารนิวยอร์กได้กล่าวว่า
การหายไปเฉยๆเหมือนตายจากกันไปนั้น (ghosting) เป็นสิ่งเดิมที่มีอยู่ก่อนเบนชชิ่ง โดยเป็นการหายสาปสูญไปนั้นจะเหลือทิ้งไว้เพียงแต่ข้อคำถามและความงนงงให้กับฝ่ายที่โดนทิ้ง หลังจากนั้นฝ่ายที่โดนทิ้งจะเริ่มกระบวนการเยี่ยวยาตัวเองและใช้ชีวิตต่อไปได้ในที่สุด อย่างในภาษาไทยก็มีคำที่สามารถใช้เทียบเคียงกันได้อย่าง "
การโดนเท" ในขณะที่เบนชชิ่ง นั้นเป็นลูกเล่นใหม่ไว้ใช้สำหรับการเดท มันเป็นเหมือนการเล่น
เกมแห่งอำนาจ หากใครมีอำนาจมากกว่าก็เป็นผู้ชนะ ส่วนคนที่แพ้ก็เหมือนลูกไก่ในกำมือ หากจะบีบก็ตายจะคายก็รอด ซึ่งถูกเปรียบว่าเป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ เห็นแก่ตัวและเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม เป็นลูกเล่นที่ว่าด้วยการทำท่าที่สนอกสนใจ โปรยเสน่ห์ให้เหยื่อติดกับและหลังจากนั้นก็มอบภาพฝันเลื่อนลางถึงความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาระดับของสถานะไปอีกขึ้น
การอยากมีเธอในชีวิตแต่ไม่ได้คิดอะไร (benching) เป็นการเล่นเกมของผู้เล่นที่ไม่รู้ว่าจะเอายังไงดีกับคนที่เข้ามาในชีวิตแล้วเกิดเป็นความรู้สึกดี ๆ ต่อกัน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่ไม่พร้อมจะเริ่มต้นความสัมพันธ์หรือไม่ได้มองหาความผูกมัดจริงจัง หากต้องเลือกระหว่างจบความสัมพันธ์กันไปเลยหรือเลือกให้มาเป็นเพื่อน เป็นพี่น้องกันแอบมีกุ๊กกิ๊กกันบ้างหรือถึงขั้นเป็นคู่นอนกันชั่วคราว ผู้เล่นจึงขอเลือกที่จะเก็บคนๆนั้นไว้ในวังวนของตัวเอง โดยไม่ได้ปิดประตูให้พวกผู้ถูกเล่นและก็ยังเป็นการเปิดโอกาสให้คนอื่นๆเข้ามา อีกนัยหนึ่งมันคือการกระทำเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีและเป็นที่ต้องการของคนอื่น ถึงแม้ว่าจะเป็นการเล่นกับความรู้สึกของคนอื่นก็ตาม โดยแพทเทิร์นแสนง่ายดายก็คือ การหยอดคำหวานหรือคำง่ายๆ อย่าง "สวัสดีตอนเช้า" "ราตรีสวัสดิ์" หรือ "สบายดีไหม" เพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกเป็นคนพิเศษและได้รับความสนใจ และการวาดฝันเชิญชวนไปพบปะ กินข้าว ทำกิจกรรมร่วมกันแต่ไม่ได้คิดว่าจะทำให้แพลนพวกนั้นเกิดขึ้นจริงๆ เพียงแค่หล่อเลี้ยงความหวังของอีกฝ่ายไว้เฉยๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นลูกเล่นที่ทำให้ผู้ถูกเล่นใจบางเป็นกระดาษเอสียุ่ยๆ
เจสันยังได้ยกตัวอย่างไว้ว่าใจความหลักเบนชชิ่งก็คือการให้ความหวังกับคนสักคนนั้นแหละ แต่มาเป็นที่พูดถึงและจำกัดความหมายใหม่ในยุคเทคโนโลยีที่แค่เปิดแอปต่างๆก็จะสามารถพบเจอผู้คนได้ง่ายๆ และการได้พบเจอคนง่ายๆแบบนี้จึงทำให้มีโอกาสเลือกคนได้มากขึ้นเช่นกัน ดังคำกล่าวในเรื่อง The Broken Hearts Club ที่ว่า "ใช่ คุณหน่ะเยี่ยมมาก แต่ต้องมีคนที่เยี่ยมกว่าคุณอยู่แน่ๆ" ถ้าไม่ได้ถูกบังคับให้ต้องตัดสินใจเเละผู้เล่นรู้ว่าตัวเองอยู่ในสถานะที่เหนือกว่า เพราะว่าไม่ได้ต้องการความชัดเจนทางสถานะเหมือนผู้ถูกเล่น ยังไงซะผู้เล่นก็ยังคงปล่อยเบลอแบบนี้ไปเรื่อยๆ
เจสันได้สรุปไว้ว่า เบนชชิ่ง แท้จริงแล้วก็เป็นสัญญาณว่าคุณกำลังจะโดนทิ้งกลาย ๆ เพียงแต่คุณตกอยู่ในสถานะของ "ผู้ถูกเล่น" เนื่องจากผู้เล่นเกมยังไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะ "เล่น" คุณยังไง ความสัมพันธ์ที่ประสบผลสำเร็จนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากการที่ฝ่ายหนึ่งเป็นเพียงแค่สิ่งที่ห้อยต่องแต่ง
อยู่ข้างหลังของอีกฝ่าย เมื่ออีกฝ่ายมองไปข้างหน้าเขาก็จะพบสิ่งสวยงามมากมายและเมื่อเขาค้นพบสิ่งนั้นแล้ว เขาก็คงไม่หันหลังกลับมามองสิ่งที่อยู่ข้างหลังของตัวเอง ดังคำกล่าวที่เอาไว้ใช้ได้เสมอ He’s just not that into you.
ภาพโดย Ryan McGuire จาก Pixabay
สุดท้ายแล้ว การอยากมีเธอในชีวิตแต่ไม่ได้คิดอะไร ก็เป็นเหมือนเกมเพื่อควบคุมคนที่มีความรู้สึกมากกว่าให้อยู่ใต้อำนาจของตนไม่ว่าจะเป็นในทั้งแง่ของร่างกายหรือจิตใจ เป็นเรื่องตลกที่ว่าผู้เล่นกลับคิดว่าการให้ความหวังถึงสถานะคนรักและเก็บคนๆหนึ่งไว้ในวังวนนั้นเป็นสิ่งดีที่กว่าการเทเขาไปอย่างไร้เยื่อใย ทั้งที่จริงๆแล้วการกระทำนั้นเป็นสิ่งที่ร้ายกาจและใจดำกว่ามาก เป็นเหมือนผลแอปเปิ้ลสีสดน่าชิมรสกว่าผลแอปเปิ้ลจากต้นอื่น แต่แท้จริงแล้วผลแอปเปิ้ลนั้นถูกให้สารเคมีและยาฆ่าแมลง
การโดนเทคงเป็นการปล่อยอีกฝ่ายออกจากวังวน แม้มันจะเจ็บหนักจนมีแผลเหวอะหวะ แต่อย่างน้อย คนถูกเทจะได้เริ่มต้นเข้าสู่กระบวนการรักษาสภาพจิตใจตัวเองและก้ามข้ามผ่านไปในที่สุด แต่การให้รดน้ำให้ความหวังกับความสัมพันธ์ที่หว่านไปทั่วพื้นดินโดยไม่ได้สนใจว่าจะออกผลเป็นต้นอะไร มันเป็นเหมือนการวนลูปของเรื่อง Happy Death Day หรือ Edge of Tomorrow ฝ่ายที่ถูกเล่นเหมือนตายแล้วเกิดใหม่มาเจอเรื่องซ้ำๆ ข้อความและการกระทำที่ช่วยให้ตั้งคำถามว่าตกลงเธอจะเข้ามาแบบไหน นำไปเข้าสู่การคลางแคลงใจ ศูนย์เสียการสมดุลของชีวิตและท้ายที่สุดเข้าสู่ช่วงเวลาจิตใจถูกทำร้าย และเริ่มลูปเดิมไปอย่างไม่จบสิ้น ติดอยู่ในสภาวะจำยอมคิดว่าวันหนึ่งคงได้ขยับสถานะ
ถ้าถามถึงเหตุผลว่าทำไมเบนชชิ่งถึงเกิดขึ้นมา ก็สามารถอธิบายได้ว่าในยุคสังคมไร้รอยต่อแบบนี้ การมีข้อผูกมัดทางสถานะมันคงจะล้าสมัยไปแล้ว ไม่มีใครอยากจะตกลงปลงใจกับใครเพราะกลัวว่าหากปัดนิ้วอีกสักครั้งสองครั้งอาจจะเจอคนที่หน้าตาดีกว่า มีคุณสมบัติที่ตรงกว่า ประสบความสำเร็จมากกว่า หรือกระทั้งดีกว่าในเรื่องเซ็กส์ซึ่งจะทำให้เขาเหล่านั้นหมดโอกาสที่จะได้สิ่งที่คิดว่าดีที่สุดไป พวกกเขาจึงเลือกที่จะเปิดโอกาสให้มีคนใหม่ๆเข้ามาให้ชีวิตและเลือกที่จะเก็บคนที่แสดงความสนอกสนใจตัวเองไว้เป็นเพียงตัวสำรอง แต่ก็ไม่ปล่อยให้พวกตัวสำรองได้มีโอกาสหันหลังและถอนตัวออกจากวังวนนี้ด้วยเหยื่อล่ออันโอชะในชื่อของ "สถานะคนรัก"
อ้างอิง:
https://nymag.com/article/2016/06/benching-ghosting.html
https://www.urbandictionary.com/define.php?term=benching
https://www.themanual.com/culture/modern-relationship-terms-explained/
https://www.womenshealthmag.com/relationships/a27271394/benching-dating-trend/
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in