l e a r n i n g
cast ; scoups, jeonghan
scoups as aran
jeonghan as jom
Learning (n.)
the acquisition of knowledge or skills through experience, study, or by being taught.
พรุ่งนี้เป็นวันที่ต้องย้ายออกจากหอ จอมจึงตื่นแต่เช้ามาเพื่อจัดเตรียมของให้พร้อมสำหรับการค้นย้าย เหตุผลที่เขาย้ายออกจากสถานที่ที่อาศัยอยู่มาเป็นเวลากว่าสามปีมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ
เขาเรียนจบแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป
จอมเริ่มจากการเก็บพวกชีทเรียนก่อนเป็นอันดับแรก เนื่องจากมันเก็บง่ายที่สุด คัดเฉพาะอันที่จำเป็นเก็บไว้ จะได้ส่งต่อให้น้องรหัสไปใช้ต่อ ส่วนที่ไม่น่าใช้ได้ก็เอาลงลังกระดาษ
ในระหว่างที่กำลังแยกชีทเรียนในส่วนของปีหนึ่ง เขาก็บังเอิญไปเจอชีทฉบับหนึ่งที่แตกต่างไปจากอันอื่น ที่บอกว่าแตกต่างก็เพราะว่าลายมือบนนั้นไม่ใช่ลายมือเขา และชื่อที่อยู่มุมบนขวาได้ให้คำตอบแล้วว่าใครเป็นเจ้าของที่แท้จริงของชีทฉบับนี้
อรัญ ผกานุคุณ
ค่อยๆ ยกยิ้มมุมปาก ไม่ได้เห็นชื่อนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ
อรัญเป็นเพื่อนคนแรกในรั้วมหาวิทยาลัย พวกเขาสองคนสนิทกันแบบซี้ย้ำปึ้กเลยทีเดียว จอมยังคิดอยู่เลยว่าวันหนึ่งหลังจากเรียนจบจะได้สวมชุดครุยเข้ารับปริญญาพร้อมกับเพื่อนคนนี้ ทว่าวันนั้นก็มาไม่ถึง เพราะพอจบปีหนึ่งแล้ว อรัญก็ดรอปเรียนไป และไม่กลับมาเรียนอีกเลย
หลังจากนั้นไม่นานถึงได้ข่าวว่าอรัญออกมหาวิทยาลัยไปเพื่อทำงาน ตอนนั้นเขาไม่เข้าใจอรัญสักนิด พอมีโอกาสได้เจอก็เลยโพล่งถามออกไป
‘ไม่คิดจะกลับมาเรียนต่อให้จบก่อนเหรอ’
จำได้ว่าเคยถามแบบนั้น จอมเพิ่งมาคิดได้ทีหลังว่ามันดูเสียมารยาทมาก ทว่าเจ้าหมอนั่นกลับไม่ถือสาหาความและถามกลับ
‘จอมรู้หรือเปล่าว่าพวกเราเรียนไปเพื่ออะไร’
‘เรียนเพื่อให้มีความรู้ไง พอมีความรู้ก็จะได้เอาไปทำงานต่อ’
พูดให้เข้าใจง่ายคือเรียนให้จบเพื่อไปทำงานนั่นแหละ
ใช่ มันเป็นคำตอบที่โง่ แต่เชื่อเถอะว่าคิดได้แค่นั้นจริงๆ
‘อือฮึ แต่มันไม่ใช่แค่นั้นนะจอม’ อรัญยิ้ม เป็นยิ้มจากใจจริงที่บริสุทธิ์ ไม่มีความดูถูกเจืออยู่ ‘พวกเราเรียนเพื่อค้นหาตัวเอง แล้วก็เอาสิ่งนั้นไปต่อยอดให้เกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป’
‘แล้วมันเกี่ยวกับที่แกออกมหา’ ลัยไปยังไง’
‘เกี่ยวตรงที่ว่าในมหา’ ลัยไม่มีความรู้ที่เราต้องการไง’
‘หา?’
จอมคงเผลอทำหน้าเหลอหลาไป อีกฝ่ายถึงได้หลุดหัวเราะออกมา
‘คืองี้ จอมต้องออกมาจากกรอบที่ถูกตีเอาไว้ก่อน’
‘กรอบอะไร’
‘จอมลองนึกดูดีๆ’
เขากอดอกและครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เมื่อได้คำตอบที่คิดว่าใช่ เขาก็ตอบออกไป
‘ทุกคนจะต้องเรียนให้จบและมีใบปริญญา ใช่ไหม’
อรัญดีดนิ้วหนึ่งครั้งอย่างถูกใจ ‘นั่นแหละคือกรอบที่ว่า ด้วยความที่เราโฟกัสตรงนั้นกันเกินไป เราเลยเผลอมองข้ามไปว่าการเรียนรู้ไม่จำเป็นจะต้องอยู่แค่ในห้องเรียนเท่านั้น ต่อให้เป็นนอกห้องเรียนเราก็เรียนรู้ได้’
‘เรื่องนั้นเราก็เห็นด้วยอยู่หรอกนะ แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี’
‘จะว่ายังไงดี การทำงานในบางสายอาชีพไม่จำเป็นต้องผ่านหลักสูตรการเรียนหรือได้ใบปริญญามา อย่างเช่นถ้าเราเป็นนักเขียน เราก็ต้องเรียนรู้การวางโครงเรื่อง ฝึกฝนการเขียน เป็นนักแสดงก็ต้องเรียนการแสดง เป็นนักร้องก็ต้องเรียนร้องเพลงเรียนดนตรี แกเห็นหรือเปล่าว่ามีอะไรที่เหมือนกัน’
‘การเรียน’
‘ถูกต้อง แล้วรู้อะไรไหมว่าชีวิตของคนเรามีการเรียนรู้อยู่เสมอ ไม่มีสักวันที่จะหยุดเรียนรู้ ยังไงก็ต้องมีอะไรใหม่ๆ สักอย่างมาให้เราได้เรียนรู้นั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้แบบไหน มันก็ถูกเรียกว่าการเรียนรู้อยู่ดี’
คนตรงหน้าหยุดพูดไปชั่วครู่
‘ทั้งนี้ทั้งนั้นเราไม่ได้บอกว่าใบปริญญามันไร้ค่าหรือไร้ความหมาย แต่ใบปริญญาไม่ใช่ทุกอย่างไง สุดท้ายแล้วสิ่งที่จะกำหนดความสำเร็จ กำหนดความสุขในชีวิตของเราก็คือตัวของเราเอง’
คิดตามไปแล้วก็จริง สังคมไทยให้ค่าและความสำคัญกับปริญญาเพียงหนึ่งใบมากเกินไป มากเกินความพอดีจนกลายเป็นว่าหากใครเรียนไม่จบ ไม่มีใบปริญญาก็คือผู้ที่ล้มเหลว เป็นคนไร้คุณภาพของสังคม ไหนจะมองว่าการพักการเรียนหรือซิ่วเป็นความผิดอย่างมหันต์อีก ทั้งที่ความจริงแล้วมันควรจะเป็นเรื่องปกติด้วยซ้ำไป
น้ำหนักใบปริญญาของแต่ละคนไม่เท่ากัน คงไม่อาจเอามาวัดหรือเทียบค่ากันได้หรอก
การที่ได้คุยกับอรัญในครั้งนั้นทำให้จอมตกผลึกความคิดได้หลายอย่างเลยทีเดียว
ความจริงแล้วจอมอาจจะอิจฉาเพื่อนคนนี้มาตลอดก็ได้
แต่ไหนแต่ไรแล้วอรัญเป็นคนที่มีจิตใจแน่วแน่ ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งรอบข้าง มีความเชื่อมั่นในตัวเอง เมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้วก็พร้อมจะพุ่งตรงไปแบบไม่ลังเล การที่ตัดสินใจออกจากมหาวิทยาลัยไปก็เหมือนกัน
เพราะอย่างนั้นอรัญเลยมีความสุข เขารับรู้ได้จากใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มในวันนั้น
‘เอาตรงๆ ก็หมด passion กับการเรียนแล้ว ให้ฝืนเรียนต่อไปก็ไม่น่าจะได้อะไรเลยออกมาเก็บประสบการณ์ในด้านที่สนใจดีกว่า’
‘ถามจริง’
‘ตอบจริง’
จอมขมวดคิ้วยุ่งไปหมด ในขณะที่อรัญหัวเราะร่วนราวกับมันเป็นเรื่องที่ตลกนักหนา
‘สำหรับแกหรือใครหลายคนอาจจะมีเส้นชัยเป็นการเรียนจบ แต่สำหรับเราหรือบางคน พอได้ค้นพบสิ่งที่ใช่และสิ่งนั้นมีแรงจูงใจกว่า การเรียนจบเลยไม่ใช่เส้นชัยอีกต่อไปแล้ว’
เห็นไหมล่ะว่าอรัญน่าอิจฉาจริงๆ
ในขณะที่เขาต้องดิ้นรน เรียนอย่างเอาเป็นเอาตาย เสียเหงื่อเสียน้ำตาไปหลายล้านลิตรเพื่อคว้าใบปริญญามาให้ได้หนึ่งใบ แต่อรัญกลับไม่ต้องเครียดหรือกดดันกับเรื่องพวกนั้น ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ พอใจในสิ่งที่เป็น
แต่ก็นะ ถ้าเพื่อนมีความสุขกับชีวิต เขาก็ยินดีด้วยจากใจจริง
คิดไปเพลินๆ ได้ไม่เท่าไรก็ต้องสะดุ้งกับเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ มือรีบคว้าโทรศัพท์มาดูว่าแจ้งเตือนแทบทันใด ก่อนจะถอนหายใจออกมาโดยอัตโนมัติ
ตายยากชะมัด
‘รับปริญญาวันไหนบอก จะเอาช่อดอกไม้โตๆ ไปให้’
“เจ้าบ้า”
จอมส่ายหน้าไปมาให้กับข้อความนั้นทั้งที่ดวงตาแย้มยิ้ม ปลดล็อกโทรศัพท์พิมพ์ตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปตั้งใจจัดของต่ออย่างขะมักเขม้น
‘บอกไว้ก่อนว่ารับแค่ช่อดอกไม้แบงค์สีเทาเท่านั้น ช่ออื่นขออนุญาตปัดตก’
twitter : @memxnnxe
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in