เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
alone in the mountainsnichised
รสชาติของการเป็นเหยื่อ
  • แมรี่ลอบมองพริมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สนามข้างๆ ลาคแลน กระเป๋าเป้ใบใหญ่ไม่ห่างตัว ดูเหมือนพริมจะระแวดระวังพอสมควร คิ้วขมวดตึงเครียด ผมสั้นประบ่ารวบตึง แมรี่ยกชาร้อนขึ้นมาจิบแล้วขยี้บุหรี่ในมือลงบนถาดเหล็กข้างๆ เธอไม่รู้ว่าพริมสัมผัสได้ถึงสัญญาณอันตรายจากสัญชาติญาณของคนเป็นเหยื่อหรือมีใครบอกอะไรกับเธอ

    ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว แสงสุดท้ายยามเย็นสาดท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงิน ใกล้จะถึงเวลาสำคัญที่เธอรอคอยมานาน บรรยากาศในหุบเขาวังเวง ไม้ยืนต้นเบาบาง มีเพียงไม้พุ่มกับลำธาร มองๆ ไปแล้ว ดูไม่ได้มีที่ให้ซ่อนตัว แมรี่หันไปส่งสัญญาณมือให้เจคกับสตีฟ

    “ปัง!” เสียงดังสนั่นสะท้อนกึกก้องไปทั่วหุบเขา แมรี่หยิบปืนมายิงขึ้นฟ้าหนึ่งนัด เธอมองมาที่พริมด้วยรอยยิ้มกระหายเลือด นกฝูงใหญ่แตกกระเจิงออกมาจากเนินเขาด้านข้าง ลาคแลนหน้าซีดเผือด

    “เหล่าวิญญาณแห่งหุบเขารังกิตาตา ฉันขอมอบเหยื่อคนใหม่ให้กับแกเป็นการสังเวยให้กับเหล่าวิญญาณสัตว์ป่าและความเคียดแค้นที่ว่ายเวียนอยู่ในหุบเขาแห่งนี้”

    “สิบ”

    “เก้า”

    “แปด”

    “เจ็ด”

    ฟ้าเกือบจะมืดสนิท มีเพียงแสงไฟวูบวาบจากกองไฟที่เจคพึ่งก่อขึ้นเมื่อครู่ พริมหันมามองแมรี่ด้วยความตื่นตระหนก คว้ากระเป๋าข้างตัวขึ้นมาสะพายแล้วลุกขึ้นยืน แมรี่ค่อยๆ เดินย่างสามขุมเข้าไปหาพริม ระหว่างที่กำลังยกปืนขึ้นนกเตรียมลั่นไกเล็งไปที่พริม ฟ้าก็ร้องโครม เมฆหนาทึบลอยมาอยู่เหนือหัวตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครทันสังเกต ทันใดนั้นบรรยากาศเริ่มเย็นชื้นฝนตกโปรยปราย บรรยากาศของป่าสนคืบคลานเข้ามา

    “หก”

    “ห้า”

    พริมค่อยๆ เดินถอยหลังออกไป ก่อนจะสะดุดล้มกับพุ่มไม้ข้างลำธาร

    มีอาปรากฎกายขึ้น เธอคว้าข้อมือพริมให้ลุกขึ้นยืน สัมผัสของมีอาใกล้เคียงกับมนุษย์จริงๆ มากเหลือเกิน อบอุ่นและมั่นคง ไม่บางเบาเหมือนกับชาลี มีอาตะโกนผ่านเสียงฟ้าร้องโครมคราม 

    “หนีไป!!!”

    แมรี่ตกใจกับบรรยากาศรอบข้างที่เปลี่ยนไป เพราะความชะล่าใจว่าตนรู้ทุกซอกทุกมุมของป่าแห่งนี้ทำให้เธอไม่ได้พกเข็มทิศ แต่ป่าสนที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนมีเฟิร์นสูงท่วมหัวหนาทึบจนเธอบอกไม่ได้ว่าตนเองอยู่ที่ไหน ทิศทางสับสนวนเวียน เมื่อมองไปบนท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยยอดไม้และเมฆครึ้ม ไม่อาจบอกทิศใต้จากดาวเซาท์เธิร์นครอสและพอยต์เตอร์ได้ แม่รี่กัดฟันกรอด “แกจะมาขัดขวางทำไม ฉันอุส่าเอาเหยื่อมาสังเวยเพิ่มพลังวิญญาณให้กับแก!”

    “พวกเราต้องการหยุดวงจรความแค้น กี่ครั้งแล้วที่แกพามนุษย์ผู้หญิงอพยพไร้เดียงสามาเพื่อเจอกับเรื่องแบบนี้ สุดท้ายแล้วแกก็ยังล่ากวางและพอสซัมส่งต่อความแค้นให้กับเหล่าวิญญาณในป่าแห่งนี้ไม่จบไม่สิ้น กี่วิญญาณมนุษย์ก็ลบล้างตราบาปเหล่านี้ไม่ได้”

    พริมหายไปแล้ว ลาคแลนยืนบื้อใบ้อยู่ที่เดิม แมรี่หงุดหงิดกับความไม่เอาอ่าวของลูกชายตัวเอง

    “ก็ดี อย่างน้อยการล่าครั้งนี้จะสนุกขึ้น”

    เจ้าแคชยืนอยู่ข้างตัวเธอ สีหน้าหิวกระหาย สัญชาติญาณนักล่าเปล่งประกายตั้งแต่ได้ยินเสียงปืน




    พริมออกวิ่งเป็นเส้นตรง เวลาผ่านมานานเท่าไหร่ก็บอกไม่ได้ เธอพยายามวิ่งขึ้นเนินเขาตรงหน้า พริมเองก็ไม่มีเข็มทิศกับตัวแต่คิดว่าถ้าวิ่งเป็นเส้นตรงไปเรื่อยๆ อย่างน้อยก็ออกห่างจากจุดเดิมแน่ๆ 

    รอบกายมืดสนิท พริมไม่กล้าเปิดไฟฉายเพราะกลัวว่าแสงไฟจะทำให้แมรี่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน มีดที่ลาคแลนให้มาก็ไม่ค่อยจะมีประโยชน์นอกจากเอาไว้ฟันกิ่งไม้ที่ขวางทาง อย่างไรซะพริมไม่กล้าใช้มีดเพื่อทำร้ายใครอยู่แล้ว

    ชาลีปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในร่างกวาง เมฆเคลื่อนตัวหายไปแล้ว แสงจันทร์ส่องผ่านเงาไม้ลงมาบาง

    “นี่มันอะไรกันน่ะชาลี นี่หรอที่นายบอกให้ระวัง บอกทั้งทีทำไมไม่บอกให้ฉันกลับบ้านไปเลย” พริมถามอย่างกราดเกรี้ยว

    “ก่อนหน้านี้ฉันบอกอะไรมากไม่ได้จริงๆ ไม่คิดว่ามีอาจะเปลี่ยนใจแบบนี้ เพราะฉันและแอนนาพยายามหว่านล้อม มีอาถึงตัดสินใจจะสังเวยด้วยแมรี่กับเจคแทน” ชาลีพยายามอธิบายอย่างใจเย็น

    “พวกเขาทำแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว?? กี่คนแล้วที่ต้องโดนเอามายิงทิ้งในป่าแบบนี้”

    “ก่อนหน้าเธอก็มี 3 คน แมรี่เริ่มมีความคิดที่จะทำแบบนี้ตอนที่กวางเริ่มล่ายากขึ้นเพราะเหล่าวิญญาณที่ว่ายเวียนอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ให้ความช่วยเหลือ เธอเลยพยายามจะติดสินบนมีอาให้ช่วยเหลือเธอ เพื่อธุรกิจล่าสัตว์จะได้ราบรื่นขึ้น”

    พริมรู้สึกสงบมากขึ้น เมื่อเริ่มเข้าใจอะไรๆ ขึ้นมาบ้าง “แล้วฉันต้องหนีไปทางไหน ตอนเป็นทุ่งหญ้าฉันก็ไม่รู้ทิศทางอะไรอยู่แล้ว แล้วป่าสนหนาทึบนี่ยิ่งทำให้งงเข้าไปใหญ่”

    “เธอไม่ต้องทำอะไร ให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเถอะ อยู่เงียบๆ ที่นี่ พวกนั้นต่างหากที่กำลังถูกล่า ตอนนี้เป็นเวลาของพวกเราแล้ว ถึงเวลาจะสั่งสอนให้มนุษย์รู้จักความแค้นของสัตว์ที่ถูกล่าเสียบ้าง”




    แมรี่เดินถือปืนขึ้นเล็ง ในท่าพร้อมยิง เจคเดินตามหลังเธอมาเงียบๆ สตีฟกับลาคแลนหลงทางหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ป่าสนหนาทึบนี่มีเฟิร์นขึ้นสูงท่วมหัว รอบกายมืดจนแมรี่มองไม่เห็นปลายของปืนที่ตัวเองถือ แต่เมื่อมองดีๆ เหมือนกับว่ามีดวงตาหลายร้อยคู่จับจ้องเธออยู่ ถ้าเป็นเวลาปกติเธอคงรีบคว้าปืนมายิงพวกมันเรียงตัว แต่เป้าหมายของเธอตอนนี้คือพริม 

    เสียงของสัตว์มากมายเคลื่อนที่ตามจังหวะการเดินของแมรี่ทุกฝีก้าว สายตาเงาวับเหมือนเรื่องแสงได้หลายร้อยคู่ที่เห็นก็ตามเธอมาเองเช่นกัน ความรู้สึกเหมือนถูกมองทิ่มแทงเย็นวาบที่หลังคอ แมรี่ขนลุกชัน บอกตัวเองว่าไม่มีผู้ล่าในป่าของนิวซีแลนด์นอกจากมนุษย์

    ทันใดนั้นฟ้าผ่าเปรี้ยงใหญ่ตรงหน้า ไฟลุกโชนลามจากพุ่มเฟิร์นและต้นสนรอบๆ เสียงหัวใจของแมรี่ดังรัวเป็นกลอง แววตาหลายร้อยคู่เมื่อครู่โผล่ออกมาจากเงามืด พวกมันคือพอสซัมหลายร้อยตัว ร่างกายเน่าเปื่อย บางตัวถูกถลกหนัง บางตัวโดนถอนขนเป็นจุดๆ ดวงตากระหายเลือดของมันลุกโชนสะท้อนแสงไฟรอบตัววูบวาบ ดูเหมือนไฟจะทำอะไรพวกมันไม่ได้

    พอสซัมหลายร้อยตัวค่อยๆ คืบคลานเข้ามาใกล้แมรี่และเจคขึ้นเรื่อยๆ เบื้องหลังพวกมันมีเงาดำสูงทะมึนล้อมรอบอีกที เมื่อมองให้ชัดเธอจึงเห็นเขากวางสูงพ้นกองเพลิงขึ้นมา กวางหลายสิบตัวค่อยๆ ก้าวเข้ามาหาเธอและเจค พวกเขาหันหลังชนกัน แม้ว่าจะมีปืนในมือ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะทำอะไรพวกมันได้ 

    มีอาปรากฏตัวต่อหน้าเธออีกครั้ง

    “คนที่จะสังเวยความแค้นให้กับพวกเราได้ดีที่สุดน่ะ คือเธอสองคนต่างหาก”

    มีอาพยักหน้า สรรพสัตว์รอบตัวพร้อมกันกระโจนเข้าหาแมรี่และเจค พอสซัมไต่ขึ้นมาบนตัวเธอมากมาย ปกคลุมแทบทุกส่วนจนมองไม่เห็นตัวแมรี่ มองดูเหมือนพอสซัมที่ต่อตัวกันเป็นร่างมนุษย์ ทั้งสองคนกรีดร้องเสียงดัง เจ็บปวดจากการกัดแทะของวิญญาณพอสซัม ความแค้นจากเหล่ากวางแดงตามมาสมทบ พวกมันส่งเสียงกรีดร้องเข้าไปในหัวของแมรี่และเจค ถึงแม้จะเป็นสัตว์กินพืชและไม่สนใจรสชาติของมนุษย์ แต่การทรมาณพวกเขาก็เป็นเรื่องน่าสนใจ




    พริมได้ยินเสียงกรีดร้องดังอยู่ไม่ไกล ทั้งเสียงแหลมๆ เหมือนพอสซัมและเสียงที่ฟังดูเหมือนจะเป็นเสียงมนุษย์ที่ฟังดูเจ็บปวด ท้องฟ้ายังคงมืดสนิท แต่ป่าสนค่อยๆ คืบคลานห่างออกไปจากบริเวณรอบๆ ทุ่งหญ้าทัสซอคกลับมาอีกครั้ง พริมเดินขึ้นไปบนเนินเขาใกล้ๆ เหมือนกับว่าทางออกจากหุบเขาอยู่ไม่ไกล แสงจันทร์ส่องแม่น้ำในหุบเขาเป็นสีเงินสวยงาม บรรยากาศเงียบสงบ พริมรู้สึกเธอเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติและหุบเขารังกิตาตา

    “เธอปลอดภัยแล้วล่ะ” ชาลีเดินมาหาเธอในร่างคน

    “เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา แล้วทำไมนายถึงอยู่ในร่างคนได้” พริมถามอย่างกังวล ไม่อยากได้ยินสิ่งที่จะเกิดขึ้น

    “แทนที่จะเอาเธอไปสังเวยเพิ่มพลังวิญญาณและขอขมาให้กับวิญญาณสัตว์เร่ร่อนและความแค้นที่ว่ายเวียนอยู่ในป่าแห่งนี้ เราก็จัดการสังเวยผู้ล่าแทน ฉันก็ได้พลังมานิดหน่อย”

    “แมรี่กับเจค?” พริมถามอย่างลังเล

    “ใช่แล้ว” ชาลีตอบสั้นๆ

    “ลาคแลนกับผู้ชายอีกคนล่ะ...สตีฟ?”

    “พวกเขาปลอดภัยดี โดนผีหลอดนิดหน่อย แต่ไม่ตาย”

    พริมถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอไม่เหลือความรู้สึกอะไรให้ลาคแลนอีกแล้ว แต่การที่เขาเตือนเธอเมื่อเย็นและให้มีดกับเธอ ทำให้พริมรู้สึกขอบคุณ มันอาจจะไม่มากพอที่จะให้อภัย แต่พริมไม่มีความประสงค์จะให้เขาตาย

    ชาลีมองหน้าเธอ ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไร พริมเอนหลังลงพิงก้อนหินข้างๆ พยายามหามุมที่ก้อนหินจะทิ่มแทงหลังของเธอให้น้อยที่สุด 

    ชาลีถอนหายใจ “อีกไม่นานก็เช้าแล้ว ถึงตอนนั้นเธอค่อยออกเดินทาง ตอนนี้พักผ่อนเสียเถอะ”เขาเอื้อมมือมาวางบนศรีษะของพริม แล้วพริมก็ผลอยหลับไปทันที


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in