เรื่องของเรื่องเริ่มจาก “อดาไลน์ โบว์แมน” (รับบทโดย เบลค ไลฟ์ลี) สาวสวยที่พร้อมทั้งรูปร่างหน้าตา และครอบครัวที่น่ารักอบอุ่น ได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ขณะที่เธออายุได้ 29 ปี และด้วยอุบัติเหตุในครั้งนั้น กับปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่ประจวบเหมาะกันพอดีในขณะที่เกิดอุบัติเหตุ (ตามที่ในหนังพยายามยกสารพัดทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ นานา ขึ้นมาอธิบาย) ทำให้เธอนั้นกลายเป็นสาวสองพันปี โดย หยุดอายุ ความสาว ความสวย และความเต่งตึงของร่างกายไว้ที่อายุ 29 ปีตลอดไป ฟังดูเผินๆ แล้วก็น่าจะเป็นเรื่องดี เพราะเธอจะสามารถประหยัดตังค่าทำศัลยกรรมไปได้มหาศาล แต่กลายเป็นว่า คนที่เธอรัก คนที่เธอรู้จักค่อยๆ ล้มหายตายจากไปทีละคนสองคนตามอายุขัย แม้กระทั่งลูกสาวของเธอเองก็ค่อยๆ แก่หง่อมลงไปจนกลายเป็นคุณยาย ขณะที่ตัวเธอยังสาวอยู่ยงกระพันเหมือนเดิม ปัญหาก็เริ่มเกิดขึ้นแล้วสิทีนี้เพราะผู้คนเริ่มสงสัยว่าสาวคนนี้ทำไมไม่แก่สักที ซึ่งเรื่องความไม่แก่นี้ ได้นำปัญหามาให้เธอมากมายหลายด้าน เธอเริ่มจะกลายเป็นตัวประหลาดในสายตาของคนรอบข้าง จนในที่สุดเธอต้องปิดบังตัวเอง อยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ทั้ง ทำเอกสารประจำตัวปลอมขึ้นมาเพื่อจะได้ใช้ชื่อสกุลใหม่ หรือ แม้กระทั่งย้ายบ้านย้ายที่อยู่ที่ทำงาน ไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้ผู้คนสงสัยว่าเธอเป็นใครมาจากไหนกันแน่
หนังเรื่องนี้ สะท้อนออกมาอย่างน่าสนใจว่า การที่คนเราไม่แก่ ก็กลายเป็นปัญหาได้เหมือนกัน ก่อนที่จะเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ ผมยังคิดว่า เออ… คนเรานี่ไม่แก่ก็ดีสิ ไปๆ มาๆ หนังเรื่องนี้กลับทำให้ผมได้คิดใหม่เลยว่า การเป็นสาวสองพันปี นอกจากจะทำให้ อดาไลน์ อยู่ในสังคมยากแล้ว ยังทำให้ต้องคอยห้ามตัวเองไม่ให้เผลอใจไปรักกับใครด้วย เพราะเธอคิดว่า คนรักของเธอจะไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกันกับเธอไปได้ชั่วนิรันดร์ (ก็แหงล่ะ เธอเล่นไม่แก่เลยนี่นะ)
จุดพีคสุด ของหนังเรื่องนี้ (ขอสปอยด์นิดนึง) คือในที่สุด อดาไลน์ ก็พลาดไปรักกับชายหนุ่ม (หล่อมาก) ชื่อEllis (แสดงโดย Michiel Huisman) คบกันได้สักพัก เขาก็พาเธอ ไปเที่ยวที่บ้านเพื่อแนะนำให้รู้จักกับคุณพ่อคุณแม่ และแล้วเหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ เพราะคุณพ่อของเจ้าหนุ่ม Ellis (ซึ่งรับบทโดยดารารุ่นใหญ่อย่าง Harrison Ford) กลายเป็นอดีตคนรักเก่าของ อดาไลน์ ฝ่ายคุณพ่อนั้นพอเห็นหน้า อดาไลน์ ก็ถึงกับตะลึงเก็บอาการไม่อยู่ ส่วนคุณลูกก็งงว่าคุณพ่อเป็นอะไร ส่วนคุณแม่ก็เริ่มหึงเลยจ้า (ผู้หญิงทุกคนมักจะมี sense พิเศษจับอาการสามีออก) โอยย สารพัด จะดราม่า ในซีนนี้ แต่ที่แน่ๆ คือคุณพ่อ แกจำคนรักเก่าของแกได้แม่น จำได้แม้กระทั่งรอยแผลเป็น และสารพัดไฝผ้ากระ จุดด่างดำ ต่างๆ (ไฝฝ้า นี่ ผมเติมเองนะ55) เรื่องเลยลงเอยแบบว่า อดาไลน์ ก็ต้องเผ่นหนี อีกแล้วจ้า
แต่ในฉากจบ ถือช๊อคพอสมควร คือ “ช๊อคซ้อนช๊อค” ตอนแรกนึกว่า นางเอกม่องเท่งไปซะแล้ว แต่ไม่ม่องนะครับ ส่วนจะฟื้นขึ้นมาแบบไหนอย่างไร ไปดูเอาเอง พอฟื้นแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับเธออีก อันนี้ต้องไปติดตามในโรงเช่นกัน แต่ย้ำว่าพลาดไม่ได้เลยทีเดียว
มาดูคะแนนที่ผมให้หนังเรื่องนี้ดีกว่าในส่วนของนักแสดง โดยเฉพาะ อดาไลน์ ซึ่งแสดงโดย เบลค ไลฟ์ลี และ คนรักเก่าของเธอ ซึ่งรับบทโดย แฮริสัน ฟอร์ด สองคนนี้เล่นได้ดีมาก ผมให้ 9/10 ในส่วนของการดำเนินเรื่อง บางช่วงบางตอนต้องบอกว่าดูเนือยๆ ไปนิด แต่โดยรวมถือว่าโอเค ผมให้ 8.5/10 ในส่วนของข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้ ทำให้ได้คิดว่า แก่ก็ดีนะเพราะอยู่ไปนานๆ แบบไม่แก่นี่ชีวิตอยู่ยากจริงๆ ผมให้ส่วนนี้ 8.5/10 สรุปภาพรวมของ Age of Adaline หรือ หยุดเวลา รอปาฏิหาริย์รัก ผมให้ 8.5/10 นักแสดงเล่นกันได้สุดฝีมือตีบทแตกกระจุย หนังดูสนุก โรแมนติค น่ารักๆ พระเอกหล่อ นางเอกสวย พ่อพระเอกโคตรเท่ห์ แถมข้อคิดดีๆ ให้อีก ถือว่าครบเครื่อง คุ้มค่าตั๋วครับสำหรับหนังเรื่องนี้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in