(เรื่องแรกของเราใน minimore กำลังจะเกิดขึ้นแล้วหรอเนี่ย?!
เออ ... ใช่
เขียนไปสิ!
เขียนๆๆๆๆ นานๆ ทีจะมีอารมณ์เขียนสักที เอาให้คุ้มสิวะ!)
ใช่
เมื่อกี้เราคุยกับตัวเองหลังจากที่ไม่ได้เขียนอะไรมานาน นับตั้งแต่ปี 2014 ที่โพสเล่าเรื่องตอนไป Work and Travel บน Facebook ทุกสัปดาห์ จนกระทั่งวันนี้ 13 มีนาคม 2017 อ่านบทสัมภาษณ์ของคุณวีรพร นิติประภา แล้วอยากเขียนเรื่องความฝันและการประสบความสำเร็จในความคิดของเราขึ้นมา
เราชอบประโยคนี้ของคุณวีรพรมาก "เราว่าคนรุ่นใหม่น่ะมาถูกทา
งแล้วกับการนั่งดริปกาแฟไปวันๆ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่คนรุ่นเราเสือกไม่ฝันเว้ย เราว่ามันดีนะ มันเป็นฝันที่สวยสดงดงาม และในทางหนึ่งมันก็ดูไม่มีความกังวล ต่างจากคนรุ่นก่อนที่จะลุกลี้ลุกลนอยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงขึ้นๆ ลงๆ ของเศรษฐกิจโลก เอาแต่จะวิ่งตามมันไปเรื่อยๆ จนไม่ค่อยมีเวลาให้กับลูก พ่อแม่ หรือกระทั่งตัวเอง เพราะมัวทุ่มให้กับความฝันโง่ๆ แค่ตัวเลขในแบงก์ ตลาดหุ้น และรถยนต์"
และอีกคำตอบหนึ่งของคุณวีรพร "เราคิดว่าตัวเลือกของคนรุ่นใหม่มันไม่จำกัดอีกต่อไปแล้ว และพวกคุณก็สามารถเลือกที่จะเป็นแอนตี้ฮีโร่แบบโลแกนในเอ็กซ์เมนได้ คุณสามารถจะเป็นคน fucked up ได้ว่ะ เป็นคนไม่ได้เรื่องได้ว่ะ นี่คือทิศทางของคนรุ่นใหม่ ในขณะที่ทิศทางของคนรุ่นเราคือมึงจะต้องได้เรื่องว่ะ ต้องมีความฝัน มีความหวัง และประสบความสำเร็จในชีวิตว่ะ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันก็วัดโดยใครก็ไม่รู้ โดยไม่เคยวัดกับชีวิตคุณเองเลย ทั้งที่จริงๆ การประสบความสำเร็จในชีวิตคุณอาจเป็นแค่การได้ไปเนปาลสักครั้ง ได้เดินท่อมๆ ในโลกที่ไม่ใครรู้จักคุณเลย แต่คุณกลับไมได้ทำมัน"
ใช่เลย!
เราเองเป็นคนรุ่นใหม่วัย 20 ต้นๆ ที่ฝันธรรมดาแค่นี้จริงๆ
เราเรียนจบเกียรตินิยมอับดับหนึ่ง ในสาขาวิชาที่ขึ้นชื่อว่ายากอย่างวิศวกรรมโยธา แต่ไม่ได้โหยหาว่าวันหนึ่งเราจะเป็นผู้ออกแบบโครงสร้างที่สร้างยากที่สุด ข้าราชการระดับสูงในกรมๆ หนึ่ง เจ้าของบริษัทหรือนายช่างระดับประเทศ
ไม่เลยแม้แต่นิด
เรากลับฝันแค่ว่า เรามีครอบครัว มีลูก พาแม่เที่ยวอเมริกา และได้ทำในสิ่งที่ชอบและสบายใจ แค่นั้นเอง
แค่นั้นเราว่าเราประสบความสำเร็จแล้ว
แต่ไอ้คำว่าแค่นั้นมันไม่ใช่แค่ "แค่" น่ะสิ
เรามีสิ่งที่เราชอบเยอะมาก โคตรเยอะ เยอะชิบหายเลย และนั่นแหละที่มันเป็นปัญหาของเราอยู่
ชอบกินกาแฟดริปร้อนๆ หอมๆ
ชอบหาของกินอร่อยๆ โพสลง Instagram เวลามีคนไปกินตามเราแล้วอร่อยตาม เราโคตรมีความสุขเลย
ชอบอ่านนิยายรักแปลจากไต้หวัน
ชอบอ่านนิยายเกือบทุกแนวยกเว้นสยองขวัญ
ชอบความสวยงามของภาษาไทยและอังกฤษ
ชอบคิดและหาทางแก้ปัญหานู่นนี่นั่นเต็มไปหมด
ชอบเที่ยว แต่ติดที่ไม่ค่อยมีเงินเที่ยวเนี่ยแหละที่ไม่ชอบ
ชอบช่วยเหลือคนอื่นโดยการให้คำแนะนำ
อันสุดท้ายเราชอบมากเลยนะ
ล่าสุด เราไปงาน Thailand Coffee Festival เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2017 ที่ผ่านมา เราซื้อแก้วของ The Coffee Calling เพื่อชิมกาแฟภายในงาน ในขณะที่เรายืนพักถ่ายรูปแก้วอยู่ก็มีชายชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งเข้ามาถามเราว่าซื้อแก้วนี้ที่ไหน (เขาพูดภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่นแต่ฟังไม่ยาก เราเลยรอดตาย) เราตอบอย่างฟินเลยว่าไปที่บูธนี้นะ พร้อมเปิดผังชี้ให้เขาดู เขายิ้มและ Thank you กลับมา แล้วรีบเดินไปซื้อ เราเดินในงานต่อสักพักก็เห็นเขาถือแก้วแบบเดียวกันกับเรา แค่นี้เองที่ทำให้โคตรรู้สึกดีเลย
สำหรับเราแล้ว นี่คือความสำเร็จ
มันเป็นความสำเร็จที่บริสุทธิ์และธรรมดาสุดๆ
แต่นั่นคือความสำเร็จจากการทำตามความชอบเพียงหนึ่งอย่าง
แล้วไอ้หลายๆ อย่างที่เหลือ เราทำสำเร็จหรือยัง?
ตอนแรกเราคิดว่า ... ยัง
เรายังไม่สามารถออกแบบโครงสร้างยากๆ ได้ เราต้องเรียนอีกเยอะ
เรายังไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างมีหลักการ เราต้องฝึกต่อ
เรายังชงกาแฟดริปเองไม่ได้ เพราะไม่มีเงินซื้อกาและอุปกรณ์ดริป
เรายังหาของกินอร่อยๆ ได้ไม่ครบทุกที เพราะช็อต
สิ่งเหล่านี้ต้องการเงินเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ แต่ความสำเร็จที่เราต้องการไม่ได้อยู่ในรูปของเงิน
พอเราพูดถึงเงิน เรามักจะมองแต่รูปแบบที่ทำให้ได้เงินมา นั่นก็คืออาชีพ
อาชีพใหญ่โต เงินดีๆ มีคนนับหน้าถือตา และ "เป็นที่ยอมรับในสังคม"
หรือเรียกง่ายๆ คือ โม้ได้ นั่นเอง
พอเราเรียนจบ สอบใบประกอบวิชาชีพ เรามีงานทำเต็มตัว เราโม้ได้ในระดับหนึ่ง
เราซื้อกาแฟดริปกินทุกสัปดาห์
เรามองหาของกินของใช้ที่แพงขึ้นนิดหน่อย
เราเริ่มเก็บเงินเรียน
แล้วเราก็ต้องการมากขึ้นไปอีก จนถึงระดับสอง สาม สี่ ห้า หก จนถึงอินฟินิตี้ตามมา
มันไม่สิ้นสุด
กลายเป็นว่าเราต้องมาคิด มาวางแผนอนาคตเรา
แต่ทุกครั้งที่เราคิดเรื่องพวกนี้ มันโคตรปวดหัวเลย
มันไม่มีความสุขที่ต้องคิดว่าอายุเท่านี้ต้องมีเงินเท่านี้ ต้องซื้อรถ ต้องซื้อบ้าน ต้องแต่งงาน หรืออื่นๆ
ต้องวางแผนเผื่อวิกฤติการณ์ต่างๆ นานา ที่อาจจะเกิดหรือไม่เกิดก็ได้
แต่คนเขาบอกมาว่าวางแผนเผื่อไว้ก็ดีนะ
แต่เราบอกตัวเองเองแหละว่ามันเครียด ปล่อยมันไปดีกว่า
ทรัพย์สมบัติถึงเวลาที่เราพร้อมมันก็มีเอง เราคิดแบบนี้จริงๆ
กลับกลายเป็นว่าเรามีความสุขกับปัจจุบัน จะว่าเราใช้ชีวิตไปวันๆ ก็ได้นะ
อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด
เราใช้ชีวิตเต็มที่มาก กินเยอะ ออกกำลังเยอะ เพื่อสุขภาพและน้ำหนักที่ต้องการ
เราตั้งใจเรียน ตั้งใจทำกิจกรรม เพื่อหน้าที่การงานที่เรามีความสุข
เราตั้งใจอ่านนิยาย อ่านบทความต่างๆ เพื่อหาความรู้ให้ตัวเราเองตลอดเวลา
เรามั่นใจว่าเราเต็มที่กับทุกอย่างที่ทำ เราไม่เครียดที่เราทำเต็มที่
เพราะเรามั่นใจว่าทุกครั้งที่เราตั้งใจ สิ่งดีๆ จะกลับมาหาเรา
เราไม่กลัวว่าความล้มเหลวมันจะมาทำร้ายเรา
หากมันเกิดขึ้นจริง เราโวยวายเพื่อระบายอารมณ์ ปลง วางแผนใหม่ แล้วไปต่อ
เพราะเรามีความคิดแปลกๆ ว่า สิ่งใดๆ ก็ตาม มันไม่เป็นไปตามแผนเป๊ะทุกอย่างหรอก เราเลยได้แต่วาดแนวทางไว้ในสมองและสุดท้ายก็โละทำใหม่แต่อยู่บนพื้นฐานของสิ่งที่วางไว้เท่านั้น
วกกลับมา
ปลง แปลให้เข้าใจง่ายๆ คือ ช่างแม่ง
ยอมรับว่าปลงได้ไม่หมดทุกเรื่อง เช่น
งานใกล้ส่งแล้ว แต่ยังไม่ถึงไหนเลย แบบนี้ปลงไม่ได้ ต้องลุยอย่างเดียว มันต้องเสร็จ ไม่งั้นไม่มีข้าวกิน จริงๆ เราเครียดเรางอแงนะแต่ก็ทำไงได้ อาจจะอดนอน สิวขึ้นนิดหน่อยก็ทนเอาให้มันจบๆ 5555555
พอจบงานเราก็ฟินสิ เย่!
สำเร็จไปอีกหนึ่งอย่าง เย่!
เงินที่ได้มาเอาไปกินกาแฟ เย่!
เก็บเงินบางส่วนไว้เผื่ออนาคต เย่!
ถ้ายังเหลืออีกก็เก็บไปเที่ยวต่างประเทศ เก็บไปติ่งเกาหลี เย่!
ถ้าเหลืออีกเราก็ให้รางวัลตัวเองอีก เย่!
แต่ ...
ถ้าคนในครอบครัวป่วย เราจะเครียดก่อนแล้วนึกได้ว่ายังพอมีเงินเก็บหรือรูดบัตรได้ เย่!
ถ้าถังแตกก็จะโวยวายแล้วเราก็แคะกระปุกเจอเงินซื้อมาม่า เย่!
อดทนไว้เดี๋ยวเงินเดือนก็ออก เย่!
เราคิดแค่นี้ ไม่โหยหาสิ่งใหญ่โตมากมาย เช่น ผ่านมรสุมสิ้นเดือนมาได้ก็เท่ากับสำเร็จแล้ว
ทำตามกำลังที่เรามีก่อน ถ้าทำได้ถือว่าเก่ง ทำไม่ได้ก็ฮึดสู้ต่อไง
แล้วเราจะเก่งขึ้นเองโดยไม่ต้องมาวัดระดับ
ไอ้เรื่องความสำเร็จระดับหนึ่งสองสามสี่ห้าหกจิ้งจกยัดไส้ จงลืมไปเถอะ
เราโอเคกับงานที่ให้ผลลัพธ์ทางใจที่ดีแม้จะเงินเดือนน้อยมาก หรือมีเรื่องให้ก่นด่าในใจทุกวัน
เราไม่ไปคล้อยตามบรรทัดฐานสังคมเดิมๆ ที่วัดกันด้วยเงินเดือน ตำแหน่งหรือระดับการโม้เพราะลึกๆ แล้วสิ่งที่เราต้องการไม่ใช่ของนอกกายเหล่านี้เลย
เราคิดแค่ว่าอะไรที่มันสบายใจก็ทำไป อยู่ด้วยตัวเองได้ อย่าไปทำให้ใครเดือดร้อนก็พอ
เราคิดแค่ว่าในบางครั้งเราต้องเลือกเสี่ยงกับอะไรที่ดีกับเรา เปิดใจให้โอกาสเข้ามา เราต้องทำให้เต็มที่ก่อนที่จะเสียใจที่ไม่กล้าทำมัน
สรุปง่ายๆ เกี่ยวกับความสำเร็จในมุมมองง่ายๆ ของเราคือ
เอาที่สบายใจ ถ้าเครียดก็โวยวายแล้ว move on
ความสำเร็จ การเอาชนะความฝันอยู่ที่เราจะมอง
ถ้ามองภาพใหญ่แล้วมันเหนื่อย ก็ลดมุมมองเรามาก่อน ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เดี๋ยวมันก็ดีและสำเร็จเอง
ทุกอย่างที่พิมพ์มาเราไม่ได้มุ่งหวังให้คนอ่านเข้าใจเรา
เราแค่อยากระบายและเตือนใจตัวเองไม่ให้เครียด 555
เพราะเราประสบความสำเร็จในสเกลเล็กๆ ที่หลายคนคงไม่คิดว่าเรื่องแค่นี้นับด้วยหรอ แต่เราสบายใจที่เรานับมัน เช่น น้ำหนักลง ขาเล็กลงนิดนึง เป็นต้น
ส่วนความสำเร็จในสเกลใหญ่เช่น ได้ทุนเรียนต่อหรือได้งานในแขนงใหม่ เราเครียดและโวยวายกับมันไปหลายหนแล้วจนไม่รู้จะทำอะไรแล้ว ตอนนี้อยู่ในขั้นรวบรวมสติสัมปชัญญะขัดเกลาโปรไฟล์และความคิดของเราอยู่ ภาพมันใหญ่มากจนมองเล็กๆ แทบไม่ได้เลย
สุดท้าย
เราเขียนมาถึงตรงนี้เราประสบความสำเร็จและมีความสุขที่ได้เขียนอีกครั้ง แม้ว่าจะอ่านเองงงเองแต่มันทำให้เรายิ้มได้นะ :)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in