ในวันที่กำลังขับรถไปสุพรรณบุรี เพื่อไปงานศพคนรู้จักคนนึง ได้ข้อความจากพ่อผ่านไลน์ที่ได้เด้งขึ้นมาขณะขับรถ เเละทักมาเเค่ประโยคเดียวว่า
"นี้แม่นะ"
เเต่ก็ไม่ได้เอะใจกะจะรอให้ถึงวัดก่อนเเล้วค่อยไลน์กลับไป เมื่อได้จอดรถที่วัดเเล้วหยิบโทรศัพท์มาเพื่อที่จะไลน์กลับไป เเต่กลับไม่ได้สัญญาณตอบรับอะไร รออยู่สักพักใหญ่ เละตัดสินใจโทรไป พอโทรไปเป็นเสียงแม่รับเเล้วพูดเสียงสั่นๆ ตอนนั้นจับใจความได้เเค่
"พ่ออยู่ห้องฉุกเฉิน ไอซียู ตั้งเเต่เช้า" เเล้วเราเริ่มหน้าชา ขึ้นมา มือไม้นี้ชา มาทันที่
สิ่งสุดท้ายที่ได้เริ่มทำคือบอกเเม่กลับไปว่า
"ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้"
ตอนนั้นคิดอย่างเดียวคือต้องขับรถกลับไปหาพ่อให้ได้ เเล้วขึ้นไปบนศาลาเพื่อทำการเคารพศพ เเล้วเเสดงความเสียใจกับญาติ เเล้วลากลับ เเละรีบตรงมาที่รถเพื่อที่จะขับรถบึ่งไปให้ถึงโรงพยาบาลให้ทัน นาทีนั้นบอกต้องเร็วที่สุดเเล้ว
ระหว่างทางได้เเต่โทษตัวเองว่าเราน่าจะได้บอกลา พ่อจะเป็นอะไรไหม ตะโกนบอกฟ้าให้รักษาพ่อให้ได้ให้ปลอดภัย ขอให้ลูกไปให้ทัน และเราได้ใช้เวลาไปเพียง1ชั่วโมงในการขับรถจากสุพรรณบุรีมาโรงพยาบาล พอถึงโรงพยาบาลได้รีบเดินไปหน้าห้องไอซียู สิ่งที่เราทำอย่างเเรกคือเห็นมองพยายามมองหาเเม่ให้เจอเเล้ววิ่งเข้าไปกอดเเม่ เเล้วระหว่างเรากับเเม่ไม่มีเสียงอะไรออกมาเลย นั่งเงียบ เหมือนไม่มีไรจะพูดออกมา จนเวลาได้ล่วงเลยไปจนถึงจะ ตีสองมีพี่พยาบาลออกมาบอกว่าให้ญาติกลับบ้านน่าจะดีกว่า เราเลือกที่จะนั่งอยู่ตรงนั้น เพราะตอนนั้นคิดไม่ออกด้วยซ้ำ จำได้ว่ายังไม่ได้กินข้าวเลย ถึงนั่งไปจะไม่เกิดอะไรขึ้นเเต่อย่างน้อยถ้ามีอะไรเราขอได้เห็นพ่อก่อนใคร ขอได้อยู่ใกล้พ่อเพียงไม่กี่เมตรนี้น่าจะดีกว่า ภายในห้องไอซียู มีเเต่กลิ่นยาฆ่าเชื้อ เเละผู้คนที่มีน้ำตา หน้าตามีเเต่ความสิ้นหวัง เราห่วงทั้งพ่อเเละเเม่ เพราะตอนนั้นเเม่น่าจะเงียบที่สุดตั้งเเต่รู้จักมาเลย เเม่เราท่านเเอบเป็นคนขี้บ่น เเต่ตอนนั้นคือนิ่งเเละเงียบจนกลัวว่าจะเครียดเเล้วเป็นอะไรตามไปอีกคน ถ้าเป็นอย่างที่กลัว เราคงขาดใจตายไปเลย
เชื่อสิ ตั้งเเต่จำความได้ ไม่เคยขาดพ่อไปจากชีวิตเลย หรือเเม้กระทั่งตอนทะเลาะกับเเม่เเล้วไปอยู่ที่อื่นเเต่ก็จะติดต่อกับพ่อไม่เคยขาด พ่อเป็นทุกอย่างตั้งเเต่สมัยประถม เราไม่เคยต้องทำอะไรเลย เพียงเเค่ตื่นขึ้นมา พ่อเตรียมชุดนักเรียนตั้งเเต่กางเกงในเเล้วถุงเท้าพร้อมรองเท้านักเรียนที่ขัดเงาเรียบร้อย ทำกับข้าวตอนเช้าให้กิน ให้เงินค่าขนม เเล้วไปรับส่งที่โรงเรียนไม่เคยพลาดเลย จนกระทั้งถึงมัธยมปลาย ยังไม่รวมที่พ่อถือกระเป๋านักเรียนให้ หรือการทำดีกับเพื่อนเราทุกคนถึงเเม้เป็นเรื่องที่เราเอาเเต่ใจตัวเองก็เถอะ พ่อยอมขับรถจากที่ทำงานกลับบ้านเพื่อที่จะเอาการบ้านหรือสมุดอะไรที่เราลืมไว้ที่บ้านมาให้ที่โรงเรียนซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลมาก ขณะนั้นบ้านเราอยู่บนถนนเกษตร-นวมินทร์พ่อทำงานอยู่นนทบุรี เเล้วใช่ค่ะ เราเรียนอยู่ที่บางรัก ซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลพอสมควรเเต่พ่อไม่เคยที่จะบ่นเเล้วเต็มใจกับเราเสมอ เราไม่ใช่ลูกที่ดีนัก ในตอนที่เรียนอยู่เราเกเรโดดเรียนโดนเรียกผู้ปกครองเป็นว่าเล่น เเต่พ่อก็ไม่เคยโกรธหรือทำโทษอะไรเเรงได้เเต่มานั่งสอนที่บ้านนอย่างมีเหตุผล เเละอีกอย่างนึงที่ทำให้เราได้ข้อเปรียบเทียบคือ ทั้งหมดที่พูดมา เเม่เราเป็นตรงกันข้ามกับพ่อ เเละเเม่มีนิสัยเหมือนเรามาก จนบางที่ที่พอประชดชอบพูดว่า
“มีคนนิสัยเหมือนกันสองคนอยู่ในบ้านหลังนี้ เหนื่อยใจจริงๆ”
เเล้วใครจะเชื่อล่ะ ว่าคนที่เคยเป็นทุกอย่างในชีวิต คนที่เคยเป็นรอยยิ้มให้ครอบครัว จะล้มลงเเล้วตอนนี้อยู่ในห้องนั้น ห้องที่ไม่สามารถเข้าไปนอนเฝ้าได้ ถึงจะเป็นเวลาเเค่เพียง24 ชั่วโมง เเต่มันก็นานมากพอที่จะทำให้ทบทวนตัวเอง คิดถึงเรื่องที่ควรทำ คิดถึงสิ่งที่พูดไม่ดี ตอนนั้นอยากจะตอบเเทนมันก็สายไปเเล้ว เเต่เหมือนฟ้าเข้าข้าง พอผ่านวิกฤตตรงนั้นมาได้เเล้วได้พาพ่อกลับบ้าน เเต่หมอก็ขอให้เปลี่ยน การอยู่ การกิน การดูเเลสุขภาพใหม่หมด อ่อลืมบอกเลย พ่อเราเป็นไตวาย โดยที่ไม่รู้มาก่อนหน้านี้ว่าเป็นโรคไต ตอนนั้นเเม่เราก็จากคนไม่เคยทำอะไรเป็นเเม่บ้านเฉยๆ เปลี่ยนตัวเองมาดูเเลพ่อ ซื้อของในครัวใหม่ ใช้น้ำปลาลดโซเดียม ใช้น้ำมันหอยที่ดี หรือของที่เขาว่าดีเเม่ก็ทำ จากที่ชอบกินข้าวนอกบ้านหรือของที่ไม่ดีสุขภาพ เราก็เปลี่ยนมากิน ของเช่น น้ำพริก ต้นจืด หรือเเม้กระทั่ง คีนัว ตอนนั้นเราจากที่ไม่ค่อยทำอะไร ทำงานบ้างเที่ยวเยอะ เลยเปลี่ยนหาเงินเข้าบ้านให้มากขึ้น เเละสิ่งที่เเน่ๆที่เปลี่ยนพ่อไม่ได้คือการไปทำงานของพ่อ เราเปลี่ยนเขาไม่ได้เลยค่ะ เขาจะกลับไปทำงานเหมือนเดิม ซึ่งหมอบอกว่าสามารถกลับไปทำงานได้ ถ้าดูเเลตัวเอง เเละสามารถคุมค่าไตให้อยู่ในเกณฑที่ดี เเละตอนนั้นเราก็เป็นกำลังใจให้พ่อ เเละเราก็มั่นใจว่าพ่อเราต้องดีขึ้น พ่อต้องกลับมาเหมือนเดิม
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in