เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I Cancel My CancerBUNBOOKISH
คำนำ



  • Life is uncertain


    1.
    สำหรับบางคน การได้รู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่หกเดือน อาจเป็นเรื่องสมมติที่เอาไว้คิดทบทวนเกี่ยวกับชีวิตตัวเองเล่นๆ ว่า ถ้าหากชีวิตมีเวลาจำกัด จะมีอะไรที่เราอยากแก้ไขหรืออยากทำให้สำเร็จภายในเวลาที่เหลืออีกบ้าง สำหรับบางคน วัยยี่สิบกลางๆ อาจเป็นช่วงที่กำลังสนุกกับชีวิตหนุ่มสาว เริ่มออกเดินตามเส้นทางที่มีเป้าหมายชัดเจนอยู่ข้างหน้า เป็นวัยล่าฝัน วัยทำงาน วัยท่องเที่ยว วัยที่สามารถวิ่งไล่ตามความฝันได้อย่างเต็มแรง แต่ถ้ามีเหตุให้ต้องสะดุดลงกลางทางล่ะ...

    2.
    เบลล์ หรือที่เราเรียกจนคุ้นเคยว่า เบลล่า เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ตอนเจอกันครั้งแรกเธอมาพร้อมกับรอยยิ้มสดใสและผมทรงสั้นเกรียน จากประสบการณ์ส่วนตัว คนที่จะไว้ผมทรงนี้ โดยเฉพาะผู้หญิงด้วยแล้ว ถ้าไม่ใช่คนแก่นเซี้ยวเปรี้ยวซ่าขั้นสุดก็น่าจะเป็นคนที่เพิ่งผ่านหรือกำลังอยู่ในกระบวนการรักษา พยาบาลอย่างใดอย่างหนึ่ง... สำหรับเบลล์นั้นเป็นอย่างหลัง (แม้ตัวตนของเธอดูจะมีความใกล้เคียงกับอย่างแรกอยู่ไม่น้อย) และด้วยวัยที่ยังไม่น่าจะเข้าใกล้โรคภัยไข้เจ็บได้เลย เบลล์เล่าเรื่องการป่วยของตัวเองราวกับกำลังเล่าเรื่องราวของคนอื่น นี่ป่วยหรือไปเวิร์กแอนด์ทราเวลที่ไหนมา ทำไมถึงเล่า ด้วยความร่าเริงได้แบบนั้น—เราคิด

    3.
    สำหรับคนที่ตั้งแต่เด็กจนโต ไม่เคยป่วยหนักถึงขนาดต้องเข้าไปนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลเลยสักครั้ง ถ้าไม่ใช่เหตุฉุกเฉินกะทันหันใครกันจะคิดว่าอยู่ดีๆ ร่างกายจะเกิดเฮี้ยนขึ้นมาแล้วเล่นงานเราแบบไม่ทันตั้งตัวอย่างเมื่อหลายปีก่อน เราเองก็เคยตื่นเช้าไปทำงานตามปกติ แต่พอสายหน่อยกลับถูกหามส่งโรงพยาบาลเอาเสียดื้อๆ รู้สึกตัวอีกทีก็นอนอยู่ในห้องไอซียูแล้ว แถมยังต้องอยู่ในนั้นนานเป็นสัปดาห์... นี่สินะ ที่ว่ากันว่า ชีวิตคือความไม่แน่นอน

    4.
    วัยล่าฝันกับการต้องอยู่ในสถานการณ์ที่รู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ได้อีกหกเดือน ดูเหมือนเป็นเรื่องที่ไกลกันอยู่มากทีเดียวแต่ชีวิตเป็นเรื่องไม่แน่นอน เราเกือบลืมความรู้สึกนั้นไปแล้ว จนกระทั่งเบลล์ใช้เรื่องราวของตัวเอง ย้ำถึงความหมายของประโยคนี้อีกครั้ง...   


    BUNBOOKS


  • คำนิยม


    เบลล์เป็นคนธรรมดาเดินดินกินข้าวแกง เป็นสาวน้อยคนหนึ่งที่กำลังอยู่ในวัยสดใสเริงร่า ใกล้จะเรียนจบปริญญาโทจากประเทศอังกฤษ วาดฝันชีวิตข้างหน้าไว้อย่างมีสีสัน แต่ทว่า ภายในช่วงเวลาที่แวะกลับมาเมืองไทย เธอกลับพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองและจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินหกเดือน...

    เบลล์ตื่นขึ้นมาพบกับความจริงของชีวิต โลกของเธอในหลายเดือนต่อมาต้องวนเวียนอยู่ในโรงพยาบาล รับยาเคมีบำบัดจนผมร่วงหัวโล้น รับการฉายรังสี เผชิญกับภาวะแทรกซ้อน ภาวะติดเชื้อจนต้องเข้าห้องไอซียู มะเร็งลามเข้าไปอยู่ในห้องหนึ่งของหัวใจจนต้องผ่าตัดด่วน จนถึงต้องฝังท่อไว้บริเวณไหปลาร้า เพื่อรับยาเคมีบำบัดตลอด 24 ชั่วโมง เธอเป็นคนไข้ที่มียาคีโมสี่ขวดห้อยแขวนติดตัวราวกับเป็นเครื่องประดับคู่ใจ 

    ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ มะเร็งของเธอเป็นพวกดื้อยา รักษายากกว่าของคนอื่นหลายเท่า ชวนให้นึกในใจว่าทำไมคนเราถึงได้โชคร้ายขนาดนี้

    แต่ที่สุดแล้วเธอก็ผ่านมันมาได้ และยังบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองไว้ในหนังสือเล่มนี้ ทั้งการปรับตัวเข้ากับสิ่งใหม่ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต การตั้งสติเพื่อรับมือกับปัญหา การมองโลกในแง่บวก การค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตนเอง เบื้องหลังรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา สายใยความผูกพันระหว่างพ่อแม่ลูก และมิตรภาพจากเพื่อนใหม่ที่เจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งเหมือนกัน

    สำหรับผู้ป่วยมะเร็ง หนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนช่อดอกไม้แทนกำลังใจ และเป็นตัวอย่างของการแก้ปัญหาต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามาดุจสายน้ำหลาก

    สำหรับคนที่มีเพื่อนเป็นมะเร็ง อ่านแล้วต้องถามตัวเองว่า วันนี้ได้ทำประโยชน์อะไรที่จะช่วยเหลือเพื่อนของคุณหรือยัง

    สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ อ่านแล้วจะทำให้หัวใจของท่านอ่อนโยนลง และกลับไปย้อนถามตัวเองว่าวันนี้ดูแลคนไข้อย่างเต็มความสามารถแล้วหรือยัง

    และสำหรับครอบครัวผู้ป่วยมะเร็ง อ่านแล้วจะเข้าใจว่า สมาชิกในครอบครัวทุกคนเป็นกำลังสำคัญที่สุด ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยมีกำลังใจต่อสู้กับโรคร้ายและภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ได้

    ผมอยากเห็นหนังสือเล่มนี้ติดอันดับหนังสือเบสต์เซลเลอร์ เพราะผมคิดว่ามันให้ประโยชน์ทั้งต่อตัวเองและสังคม มีทั้งสาระและความบันเทิง

    ถ้าเป็นคนที่อ่านภาษาไทยแตกฉาน ควรซื้อไว้สักคนละสามเล่ม ให้ตัวเองหนึ่งเล่ม มอบให้คนที่รู้จักที่ป่วยเป็นมะเร็งหนึ่งเล่ม และให้เพื่อนเป็นของขวัญปีใหม่อีกหนึ่งเล่ม ช่วยกันซื้อช่วยกันอ่าน

    ล่าสุดผมเพิ่งมีโอกาสได้ดูหนังสารคดีที่จัดทำโดยสถานี NHK ของประเทศญี่ปุ่น เป็นเรื่องราวของคุณเป็นเอก รัตนเรือง ผู้กำกับและนักเขียนบทภาพยนตร์ชาวไทย เขาพูดภาษาอังกฤษประโยคหนึ่งที่โดนใจผมอย่างแรง

    “There is wisdom among the ordinary people…”

    ประโยคนี้ตอกย้ำอีกครั้งว่า เราค้นหาปรีชาญาณได้จากคนธรรมดาที่เดินดินกินข้าวแกง ดังเช่นที่เราจะพบได้จากเรื่องราวของเบลล์ สาวน้อยธรรมดาที่ไม่ยอมแพ้แก่โชคชะตาคนนี้


    ผศ.นพ.นพดล ศิริธนารัตนกุล

    สาขาโลหิตวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์
    คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล


  • คำนำนักเขียน


    การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนต้องเจอ แต่ใครจะไปคิดว่าการป่วยเฉียดตายด้วยมะเร็งระยะสุดท้ายจะเกิดขึ้นกับตัวเองเร็วขนาดนี้

    ในวัย 26 ปี ฉันกำลังเรียนปริญญาโทเทอมสุดท้ายอยู่ที่อังกฤษ มีชีวิตลั้นลา วาดฝันหน้าที่การงานไว้อย่างสวยหรู แต่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับต้องพังทลายลงด้วยนิสัยบ้างาน เครียดง่าย เกลียดการออกกำลังกาย พักผ่อนน้อย กินน้ำน้อย ใช้ชีวิตอย่างไม่ห่วงร่างกายตัวเอง จนป่วยเป็นโรคร้ายในที่สุด

    เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้คือเรื่องจริงที่ฉันตั้งใจถ่ายทอดประสบการณ์การเป็นผู้ป่วยมะเร็งตลอดระยะเวลาสองปีครึ่ง คุณจะได้รับรู้ถึงความรู้สึกนึกคิด การใช้ชีวิตของผู้ป่วยมะเร็ง การเผชิญหน้ากับสถานการณ์ฉุกเฉิน การผ่าตัดสด ภาวะเลือดหมดตัว ภาระค่าใช้จ่าย รวมถึงเรื่องราวมากมายจากโรงพยาบาล และทัศนคติที่ทำให้ฉันผ่านพ้นเหตุการณ์เหล่านั้นมาได้

    แน่นอนว่านี่เป็นแค่ประสบการณ์ส่วนตัวของฉันเท่านั้น ไม่สามารถใช้อ้างอิงทางการแพทย์ หรือใช้เปรียบเทียบกับโรคและอาการป่วยของคนอื่นๆ ได้ ประกอบกับเรื่องราวของฉันเกิดขึ้นในช่วงปี 2013-2015 ปัจจุบันสถานที่ต่างๆ ที่กล่าวถึงได้มีการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงระบบต่างๆ ให้ดีขึ้นมากแล้ว

    ฉันหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นอีกแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต แม้ในยามที่ชีวิตของคุณสิ้นหวังที่สุด ยามที่คุณมองไม่เห็นทางออกของปัญหา หรือยามที่ไม่มีใครเชื่อว่ามันจะเป็นไปได้ แต่หนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเป็นไปได้ ขอเพียงคุณเชื่อมั่นและลงมือทำอย่างมีสติ เมื่อนั้นคำว่าปาฏิหาริย์ก็จะเกิดขึ้นกับทุกคนได้ เหมือนที่มันเคยเกิดขึ้นกับฉันมาแล้ว


    ศิรินทิพย์ ขัติยะกาญจน์ (เบลล์)
    อดีตผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะสุดท้าย

    ที่มะเร็งลามเข้าสู่หัวใจและพบได้เพียง 1% ในโลกเท่านั้น



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in