ผมรู้อยู่แล้วว่าในที่สุดวันนี้ต้องมาถึง
"นี่...แจฮยอน"
"..."
ผมได้แต่นิ่งเงียบ ยามที่ชื่อของผมถูกเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุนของคนตรงหน้านี้
ผมชอบมันตั้งแต่คราแรกที่ได้ยิน ชอบเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน และแม้แต่ในอนาคตข้างหน้าเองนั้น...ผมคิดว่าผมก็ยังคงชอบเสียงของเขาอยู่เหมือนเดิม
ผมไม่เคยเบื่อเวลาที่เขาพูดเจื้อยแจ้วเรื่อยเปื่อย เล่าเรื่องของคนนู้นคนนี้ที่รู้จัก หรือสิ่งที่พบเจอในทุกวัน ผมไม่เคยเบื่อเลยสักครั้ง และยังชอบฟังมากเสียด้วย
เว้นก็แต่ในตอนนี้ ที่ผม
ไม่อยากได้ยินในสิ่งที่เขากำลังจะเอ่ยออกมาเลย
"พี่ว่าเราสองคน
เลิกกันเถอะนะ"
มันเป็นคำตัดสัมพันธ์ที่แสนจะธรรมดาและเรียบง่ายเสียเหลือเกิน แต่ก็สมกับที่เป็นเขาน่ะนะ
คิมโดยองไม่ใช่คนหวือหวาอะไรเลยสักนิด ซึ่งมันคือสเน่ห์อย่างหนึ่งที่เป็นธรรมชาติของเจ้าตัว
มันทำให้เรื่องราวของเราทั้งคู่ดำเนินไปอย่างปกติทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ผมเป็นฝ่ายเดินเข้าไปทำความรู้จักก่อนแล้วได้รับรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตรจากเขาตอบกลับมา
ตอนที่เขาถูกผมรุกจีบอย่างหนักจนหลาย ๆ ครั้งก็เผลอหลุดอาการเขินออกมาให้เห็น
ตอนที่ผมเอ่ยขอคบแล้วเขาก็ได้แต่ก้มหน้าเพื่อซ่อนใบหน้าและหูที่เจือสีแดงเรื่อเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงตอบรับกลับมาในลำคอเบา ๆ
หรือแม้แต่ในตอนนี้...ตอนที่เขาเลี่ยงที่จะสบตากับผม และเอ่ยประโยคที่ทำให้ช่วงเวลาเมื่อครู่กลายเป็นช่วงเวลาแห่งการสิ้นสุดความสัมพันธ์ของเราทั้งสองคนออกมา
ผมไม่ได้เอ่ยตอบอะไรออกไป เพราะการบอกว่าไม่ตกลงนั้นเป็นเรื่องที่ยาก และการบอกว่าตกลง...เป็นเรื่องที่
ยากกว่าผมไม่ได้อยากให้ความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่จบลง แต่เรื่องนี้ใช่ว่ามีแค่ความต้องการของผมอย่างเดียวแล้วมันจะเป็นไปได้จริง ๆ เสียหน่อย
ไม่ว่าผมจะพยายามยื้อเขาเอาไว้สักแค่ไหน หรือดึงดันไม่ยอมตอบรับคำร้องขอของเขาเอาไว้สักเพียงใด มันก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าเขาต้องการจะเดินจากผมไปอยู่ดี
"อย่าเงียบสิ" เขายังคงยิ้ม เฉกเช่นเดียวกับวันแรกที่เราสองคนได้เจอกัน แม้ว่าสุ้มเสียงในยามนี้ของเขานั้นจะเริ่มสั่นเครือไปแล้วก็ตาม "เรายังเป็นพี่น้องกันได้อยู่นะ...ถ้านายต้องการ"
"พี่ไม่คิดจะเหลือทางเลือกไว้ให้ผมบ้างเลยเหรอ ใจร้ายชะมัดเลยนะคิมโดยอง"
ใครสักคนเคยพูดเอาไว้ ว่าคนที่ยังคงเป็นเพื่อน เป็นพี่เป็นน้องกับคนรักเก่าได้นั้น หากไม่ได้รักมาก...ก็ไม่เคยรักเลย
ผมเป็นแบบแรก และรู้ว่าเขาเองก็เช่นกัน
"อย่ายื้อต่อไปเลยน่าแจฮยอน นายก็รู้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้วนี่ว่ายังไงเรื่องของเราก็ต้องจบในสักวัน"
มันคือเรื่องจริง ที่ทั้งผมและเขานั้นต่างก็เตรียมใจกันเอาไว้นานแล้ว และจุดสิ้นสุดนี้ก็ไม่ได้มีอะไรต่างไปจากการคาดการณ์สักเท่าไหร่
แต่ทว่าเมื่อเวลานั้นมาถึงจริง ๆ กลับกลายเป็นผมเสียเอง
ที่
ไม่อยากปล่อยเขาไป...
"ขอบคุณมากนะพี่โดยองที่มาช่วยดูมัน ตั้งแต่จบงานนั้นมามันไม่ยอมฟังใครเลยพี่ วัน ๆ เอาแต่กินเหล้าอยู่ในห้อง เรียนก็ไม่ยอมไปเรียน นี่อีกสองสัปดาห์จะสอบมิดเทอมแล้ว ผมล่ะกลัวว่ามันไม่ไปสอบจริง ๆ"
เสียงที่แว่วมาจากตรงประตูห้องทำให้ผมค่อย ๆ ปรือตาขึ้นอย่างเชื่องช้า รอบกายของผมนั้นเลฝกลื่อนกลาดไปด้วยบรรดาขวดเครื่องดื่มสีอำพัน เนื้อตัวของผมสกปรกและคลุ้งไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์
ผมรู้ดีว่าตัวเองกำลังแหลกสลาย
เหมือนแก้วที่ร้าวและกำลังจะแตก
เหมือนวิทยุที่รับคลื่นสัญญาณไม่ได้และกำลังจะพัง
เหมือนขยะ...ที่ใกล้จะถึงเวลาโยนทิ้ง
"ให้ตายเถอะ..." ผมมองใบหน้าเจ้าของเสียงปรารภที่แสนคุ้นเคย ก่อนจะรู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตา และปล่อยเสียงสะอื้นไห้ของตัวเองให้ดังออกมาอย่างไม่นึกอาย "แจฮยอน..."
ใบหน้าที่ผมแสนจะคิดถึง น้ำเสียงที่ผมอยากได้ยินเป็นสิ่งแรกเมื่อตื่นนอนในทุกเช้า ร่างกายสูงโปร่งที่แม้จะผอมเกินไปหน่อยแต่ผมก็ชอบที่จะกอดเอาไว้แนบอก
ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ใกล้ผมมาก เพียงแค่เอื้อมมือออกไปหาสักนิดผมก็จะสามารถคว้าเขาเอาไว้ ฉุดดึงให้เขากลับมาอยู่ในอ้อมกอดของผมแต่เพียงผู้เดียวได้ดังเดิม
แต่ถึงอย่างนั้น...
พันธะบางอย่างที่ผูกรั้งอยู่บนนิ้วนางข้างซ้าย
ของผมคือสิ่งที่ทำให้เขาไม่ยินยอมอีกต่อไป และผมก็ไม่อาจบังคับฝืนใจเขาได้
เขาเป็นคนเดียวที่อยู่เหนือการควบคุมของผม
เป็นคนเดียวที่ทำให้ผมจำต้องยอมรับโดยที่ไม่อาจแย้งอะไรได้เลย
เป็นคนเดียวที่ทำให้ผมรู้ว่าการได้รักใครสักคนเป็นเรื่องที่ดีมากแค่ไหน
และเป็น
คนเดียว...ที่ทำให้ผมรู้ว่าความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสจากการต้องตัดขาดความสัมพันธ์ทั้งที่ยังคงรักอยู่เป็นอย่างไร
[end.]
เป็นวิทยุที่คาดไม่ถึง อ่านๆ ไปก็อึดอัดอยู่แล้ว พร้อมสงสัยว่าวิทยุจะมายังไง พอเห็นที่เปรียบเทียบปุ๊บ... สงสารแจฮยอนมากค่ะ ตอนอ่านแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวละคร โดยเฉพาะฝั่งโดยอง แต่ก็มีจุดที่บอกว่าทั้งคู่รู้ว่าความสัมพันธ์จะต้องจบลงซักวัน
พอถึงตอนจบ... แจฮยอนกำลังจะต้องแต่งงาน แสดงว่าเขายังรักกัน แต่มันเป็นไปไม่ได้สินะ โดยองก็เลยอยากยุติความสัมพันธ์ ไม่รู้เข้าใจถูกมั้ย แต่ถ้าใช่ก็สงสารทั้งคู่เลย ชอบการค่อยๆ แทรกและคลายปมนะคะ (หรือคนอื่นเขาอ่านเก่งกว่าเรา ฮ่าๆๆ)