นานมาแล้ว แต่เป็นเรื่องที่เราจำขึ้นใจมาก
วันนั้นเราขี่รถจักยานยนต์ไปทานหมูกระทะกับเพื่อนหลังเลิกงาน ซึ่งไกลจากบ้านเราประมาณ 20 กิโลเมตร ทานเสร็จประมาณ 3 ทุ่มกว่า ทุกคนแยกย้ายกันกลับ เราแวะส่งเพื่อนระหว่างทาง ตอนที่เพื่อนซ้อนท้ายเราก็รู้สึกว่ายางรถ มันอ่อนๆ แต่ไม่เป็นไรคงจะถึงบ้านแหละ
ซึ่งทางที่กลับมีให้เลือก 2 ทาง คือ ทางซุปเปอร์ไฮเวย์ที่เร็ว กับ ทางชุมชนที่มีสองเลนสวนกันช้าหน่อยเพราะไฟแดงเยอะแต่รู้สึกปลอดภัยเพราะบ้านคนเยอะ ถึงจะปิดบ้านหลับกันซะส่วนใหญ่แล้วก็เหอะ ด้วยความที่เป็นคนไม่ชอบความเร็วและนึกถึงความปลอดภัยก็เลยกลับทางชุมชน ช่วงเวลานั้นรถเริ่มน้อยละ ร้านสองข้างทางนอกจากร้านขายอาหารกลางคืนร้านอื่นก็ปิดหมด ขณะที่กำลังจะติดไปแดงแรก (ระยะทางห่างจากบ้านประมาณ 10 กิโล)
ยางหลังเริ่มส่ายนักมากกก...ฉิบหายแล้ว ยางรั่วแน่ๆ พอหันไปมองตอนติดไฟแดงปุ๊ป ใช่เลยยางรั่ว ตอน 3 ทุ่มครึ่ง จะมีร้านปะยางไหนเปิด
พอไฟเขียว ก็ขี่บดรถไปทั้งอย่างนั้นแหละ ไปเจอร้านซ่อมรถยนต์ที่เปิดอยู่
เรา : พี่คือยางรั่วซ่อมได้ไหมคะ
พี่ร้านรถยนต์ : ที่นี่ซ่อมแต่รถยนต์ เดี๋ยวลองเติมลมให้ก่อน ลองไปดูร้านข้างหน้านะ ชี้ไปร้านซ่มอรถที่ติดถนนแถวสี่แยกข้างหน้า ประมาณ 200 เมตร
พอพี่เค้าลองเติมลมให้
พี่ร้านรถยนต์ : ยางแตกหมดแล้วเติมไม่ได้เลย
เราเข็นรถตัวเองออกมาจากร้านอย่างสินหวัง ท่ามกลางความสับสนมากมายในสมอง จะกลับบ้านยังไง ถ้าอิร้านข้างหน้าไม่เปิดจะทำงาน ขับกลับไปทั้งยางแตกดีไหม โทรเรียกที่บ้านดีไหม
เข็นไปกระเป๋าโน๊ตบุ๊คก็หนัก รถก็หนัก ขาก็ปวด (นี่ยังไม่ถึง 50 เมตรนะ)
แล้วปฎิหารย์ก็เกิดขึ้น เราก็เรียกว่าปฎิหารย์จริงๆ
ความรู้สึกเหมือน เทวดาส่งนางฟ้ามายังไงอย่างงั้นอ่ะ
มีพี่สาวคนหนึ่งเราจำหน้าไม่ได้ เพราะตรงนั้นแสงไฟน้อย ปั่นจักรยานมากจอดถามเรา
พี่สาว : น้องรถเสียเหรอ
เรา : ยางรั่วค่ะ
พี่สาว : ซอยข้างหน้า ตรงสี่แยก เลี้ยวขวา มีร้านซ่อมรถที่เค้าชอบปิดดึกอยู่ร้านหนึ่งลองไปดูสิ แต่เข้าไปลึกหน่อยนะ ดูตามป้ายไป
เรา : ค่ะ ชอบคุณมากค่ะ (เริ่มมีหวัง)
แล้วพี่เค้าก็ปั่นจักรยานเข้าซอยซ้ายมือตรงสี่แยกไป
เหมือนนางฟ้ามาโปรดดดด เหมือนแสงสว่างปลายอุโมงค์ยังไงหยั่งงั้น
เราก็เลยลองเข้าซอยตามที่พี่เค้าบอก (เชื่อคนง่าย)
เข้าไปประมาณ 100 เมตร ขาแทบไม่มีแรงละ คิดในใจอยู่ไหนเมื่อไหร่จะถึง
พอเห็นร้านเท่านั้นแหละ โคตรดีใจ มีร้านซ่อมรถจริงๆ แถมยังไม่ปิดด้วย น้ำตาจะไหล...
เอารถเข็นไปจอดด้วยความเหนื่อยล้า.. ขาชาไปหมด..
พอไปถึงพี่ผู้ชายซ่อมรถคันหนึ่งเสร็จพอดี
เรา : รถยางรั่วค่ะ
พี่ซ่อมรถ : น้องนี่โชคดีมากนะตอนแรกพี่จะปิดร้านแล้ว แต่มีคนมาซ่อมก่อนหน้าน้องพี่ก็เลยยังไม่ได้ปิด
นี่ก็คิดว่าตัวเองโชคดีมากจริงๆ
การซ่อมครั้งนี้คือ เปลี่ยนยางนอกและยางในล้อหลัง รออยู่ซักพักใหญ่ก็เสร็จ
เรา : เท่าไหร่ค่ะ
พี่ซ่อมรถ : 520 บาท (จำนวนเงิน จำไม่ค่อยได้แต่ประมาณนี้แหละ)
นับเงินในกระเป๋าตังค์ ไม่พอ ทำไงดี....
บอกพี่เค้าไปตรงๆเลยดีไหม ถ้าไม่ได้ก็เอาโทรศัพท์ไว้เป็นตัวประกันก็ได้ นั่นคือสิ่งที่คิดได้ในตอนนั้น
ก่อนตัดสินใจบอกความจริงพี่เค้า
เรา : เงินไม่พอค่ะ --" ให้ก่อน 400 ได้ไหม คือ..ไม่มีแล้วจริงๆค่ะ (มองด้วยสายตาเศร้าๆ)
พี่ซ่อมรถ : ได้สิ ที่เหลือค่อยมาแวะจ่ายพรุ่งนี้ก็ได้ หรือวันไหนที่ผ่านมาแถวนี้ก็ได้
หัวใจเรายิ้มกว้างมากกกก ใจดีมาก ใจพี่เค้าหล่อมากก เราโชคดีอะไรแบบนี้
เรา : ค่ะ ได้ค่ะเดี๋ยวจะรีบมาจ่ายค่ะ
หลังจากวันนั้นสองวัน เราก็เอาเงินไปจ่ายพี่เค้า...
ปล 1 จากเหตุการณ์นั้น รู้สึกตัวเองโชคดีโคตรๆ โชคดีที่เจอคนใจดี ไม่ว่าจะเป็นพี่ช่างซ่อมรถยนต์ ที่ก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้ พี่นางฟ้าปั่นจักรยานที่ช่วยแนะนำร้ายซ่อมรถ พี่ช่างซ่อมรถที่ปิดร้านดึก แถมยังให้ติดเงินอีก
ปล 2 ทุกอย่างมันดูพอดีไปหมด โชคดีที่ตัดสินใจมาใช้ถนนสายชุมชน ตอนยางรั่วถ้าเราไม่แวะร้านซ่อมรถยนต์ เราก็อาจไม่ได้เจอพี่สาวปั่นจักรยานต์ที่หิวยามดึก ถ้าไม่เจอพี่สาวปั่นจักรยานต์เราคงไม่รู้ว่าในซอยนั้นมีร้านซ่อมรถ เพราะร้านที่ที่ร้านซ่อมรถยนต์บอกปิด แล้วร้านซ่อมรถที่อื่นก็ห่างไปอีก ประมาณ5-6 กิโล
ปล 3 หลังจากวันนั้นเรารู้สึกว่าการที่เราได้รับการช่วยเหลือเป็นเรื่องที่ดีมาก และถ้ามีโอกาสช่วยเหลือคนอื่น เท่าที่เราทำได้ ระหว่างทางเราก็จะพยายามช่วยเท่าที่ทำได้ ไม่ว่าจะเป็นบอกทางคนที่ถามทาง หรือ ถามหาร้านซ่อมรถ เราว่าน้ำใจเล็กน้อย สำหรับคนที่เจอปัญหาในตอนนั้นเป็นนำ้ใจที่ยิ่งใหญ่มาก..
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in