SF
THE EVE [IV]
*ขอแนะนำ ควรเปิดเพลง The Eve – EXO ระหว่างอ่านไปด้วยนะคะ*
หมายเหตุ : กรุณาอ่าน THE EVE I II และ III ก่อนนะคะ
————————
“
Ωηεν φλοωερ πεταλς βλοων βψ τηε ωινδ. Ρεμινδς με οφ μεμοριες τηατ ωερε εχποσεδ το τηε σξεντ οφ ψουρ ανδ τουξεδ ψουρ ωαρμ βρεατη.
Τηεσε μεμοριες Ι'μ αφραιδ τηατ ι ωιλλ προβαβλψ φοργετ ιτ.
Ανδ ιφ ι λοστ, Ι'μ αφραιδ τηατ Ι μιγητ νοτ ηαϝε ξομε αξροσς ψου αγαιν.
Δεοτηεσυσ
When flower petals blown by the wind. Reminds me of memories that were exposed to the scent of your and touched your warm breath.
These memories I am afraid that I will probably forget it.
And if I lost, I'm afraid that I might not have come across you again.
Deothesus
เมื่อยามที่กลีบดอกไม้พัดปลิวไปตามสายลม ทำให้ข้านึกถึงความทรงจำตอนที่ได้สัมผัสกลิ่นหอมของเจ้า และได้สัมผัสลมหายใจอันแสนอบอุ่นของเจ้า
ความทรงจำเหล่านี้ ข้ากลัวว่าข้าอาจจะลืมมันไป และถ้าข้าได้หายไป ข้าก็กลัวว่าข้าอาจจะไม่ได้เจอเจ้าอีก
ดีโอเธซัส
”
————————
“ข้ามีคำพยากรณ์ที่เกี่ยวข้องกับเจ้าโดยตรงจะบอกให้เจ้าได้รับรู้ ดีโอเธซัส ถึงแม้ว่าเจ้านั้นจะมิใช่เทพเจ้าที่เชื่อคำพยากรณ์ได้โดยง่ายก็ตาม” เทพเจ้าแห่งการดนตรีเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งและมีท่าทางที่เงียบขรึม ซึ่งผิดแผกจากปกติวิสัยของเจ้าตัวที่มักจะเอ่ยวาจาและมีท่าทางที่ร่าเริงเสมอ
ถ้อยวาจาของเทพเฮลิออสนั้นสร้างความหวั่นใจและวิตกกังวลแก่เทพเจ้าแห่งปัญญา แต่เจ้าตัวก็มิได้แสดงอากัปกิริยาที่แสดงออกถึงความหวาดกลัวในใจให้เทพเจ้าแห่งสงครามที่เคลื่อนกายมาอยู่ข้างๆ เขา เพราะดีโอเธซัสกลัวว่าถ้าเขาแสดงความกลัวออกไปนั้น ไคมาริอัสจะต้องมาคอยเป็นห่วงคอยดูแลตัวเขาจนไม่สามารถทำหน้าที่เทพเจ้าแห่งสมรภูมิได้เต็มที่ และถึงแม้ว่าตัวเขาจะมิใช่เทพเจ้าที่เชื่อคำพยากรณ์สักเท่าใด แต่ในคราวนี้เหมือนกับมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ดีโอเธซัสได้ฉุกคิดว่า การฟังคำพยากรณ์ที่เอ่ยโดยเทพเจ้าเฮลิออสนั้นจะเป็นคำเตือนที่ดี
“เอ่อ...ท่านพี่” เทวาผู้ครองอาภรณ์ผ้าไหมสีมหาสมุทรนั้นเอื้อมมือไปจับที่ข้อมือของเทวาผู้ครองอาภรณ์ผ้าไหมสีดำพร้อมกับเอ่ยเรียกด้วยเสียงที่แผ่วเบา ถึงกระนั้นเทพเจ้าแห่งแสงสว่างก็ยังได้ยินสรรพนามที่ดีโอเธซัสใช้เรียกไคมาริอัสซึ่งถือว่าผิดแผกไปจากเดิมมากทีเดียว
“ว่าอย่างไรหรือ
เทวาตัวน้อยของข้า” เทพเจ้าแห่งสงครามนั้นหาได้สนใจในข้อตกลงระหว่างเจ้าตัวกับเทพเจ้าแห่งปัญญาไม่ แต่กลับพูดด้วยสำเนียงเสียงปกติ แถมยังดูเหมือนว่าจะเน้นคำลงท้ายเป็นพิเศษและหันไปส่งสายตาที่ดูแข็งกร้าวแก่เทพเจ้าแห่งการพยากรณ์เสียด้วย
แค่ข้ามาเยี่ยมเยือนดีโอเธซัสที่วิหาร ไคมาริอัสก็ยังจะออกอาการหึงหวงเทวาตัวน้อยของเจ้าตัวอย่างนั้นรึนี่ เทวาผู้มีนัยน์ตาสีเขียวอมเทาได้แต่คิดล้อเลียนและพูดในใจอย่างขบขัน
“ท่านกลับไปที่วิหารของท่านได้รึไม่ แต่..ข้ามิได้ตั้งใจจะไล่ท่านไปหรอกนะ”
“ข้าเข้าใจเจ้า ข้าเองจะถือว่านี่เป็นกิจส่วนตัวของเจ้ากับเฮลิออส ถ้าเช่นนั้นข้าจะกลับไป และข้าจะมาหาเจ้าที่นี่..ในเร็ววัน” เทวาผู้มีนัยน์ตาสีอำพันจับมือนิ่มของดีโอเธซัสที่กำลังจับข้อมือของเขา และเปลี่ยนมาเป็นการจับมือนิ่มอย่างกระชับแน่นแทน หลังจากนั้นใบหน้าอันแสนหล่อเหลาของเทพเจ้าแห่งสงครามก็เคลื่อนเข้าหาใบหูเล็กๆ เสมือนราวกับว่ายังมีแรงดึงดูดที่คงค้างจากราตรีเร่าร้อนที่เพิ่งจะผ่านพ้นไปได้ไม่นาน ทำให้น้ำเสียงทุ้มต่ำในยามที่ไคมาริอัสเอ่ยกระซิบวาจาออกมานั้นกระทบกับใบหูเล็กๆ เข้า
หลังสิ้นเสียงกระซิบที่เปรียบเสมือนดั่งคำมั่นสัญญาจากเทวาแห่งสมรภูมิ เรือนร่างที่สวยงามตามอุดมคติของบุรุษเพศนั้นก็เคลื่อนกายออกจากวิหารไปโดยที่เจ้าตัวนั้นหันมาสบสายตากับเจ้าของวิหารอีกครั้งอย่างอาลัยอาวรณ์ก่อนที่จะก้าวลงบันไดของวิหารไป เมื่อหมดสิ้นแสงเงาที่ตกทอดอยู่บนพื้นจากร่างกายของไคมาริอัส เทพเจ้าแห่งการพยากรณ์จึงเอ่ยวาจากับเจ้าของวิหารหินอ่อนอีกครั้ง
“เจ้าพร้อมที่จะรับฟังคำพยากรณ์นี้รึไม่”
“ข้าพร้อม และถ้าให้ข้าขาดเดา จากน้ำเสียงและท่าทีของเจ้า สหายข้า คำพยากรณ์นี้เกี่ยวข้องกับอันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่ข้า ใช่รึไม่”
“เจ้า..กำลังจะมีอันตรายถึงขั้นที่ว่าตัวเจ้านั้นจะบาดเจ็บอย่างสาหัส เจ้าจะถูกปองร้ายโดยปีศาจตนหนึ่ง ในสถานที่ที่แม้แต่เหล่าเทพเจ้าเองก็ยังมิอาจรับรู้ได้ว่ามันคือที่ใด”
“แล้วข้า…สามารถหลีกเลี่ยงคำพยากรณ์นี้ได้รึไม่” เทพเจ้าแห่งปัญญาเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้งบนหัวใจและศีรษะ ราวกับว่าตัวเขานั้นคือเทพเจ้าแอตลาส (Atlas - Ατλασ) ที่ต้องทนแบกท้องฟ้าอันแสนหนักอึ้งเอาไว้เนื่องจากโทษทัณฑ์
ดวงเนตรสีเทานั้นเริ่มสั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนดีโอเธซัสเองก็รู้แจ้งแก่ใจดีว่ามันไม่มีหนทางใดที่จะหลีกหนีคำพยากรณ์จากองค์เทพแห่งสุริยนนี้ไปได้ แต่ความหวาดกลัวทำให้เขาเอ่ยวาจาออกไปด้วยความหวัง หวังว่าอาจจะมีหนทางหรือวิธีการที่จะช่วยผ่อนหนักให้กลายเป็นเบาได้บ้าง ส่วนความหวาดกลัวที่ว่านั่นก็คือ ดีโอเธซัสกลัวว่าตัวเขานั้นจะมิอาจได้สัมผัสกับกลิ่นหอมเปลือกไม้ยามฝนตกจากเทพผู้ครอบครองหัวใจได้อีก
เพียงแค่คิด..ก็ทรมานเสียแล้ว “หนทางที่จะหลีกเลี่ยงอนาคตที่กำลังจะเกิดนั้น หามีไม่ แต่ว่า--”
“แต่?”
“ข้ามีสิ่งของที่อาจจะช่วยให้เจ้าไม่ต้องนอนจมกองเลือดโดยลำพัง”
“สิ่งนั้นคืออะไรรึ?”
“กำไลพรวนกระดิ่งทองคำ” เฮลิออสแบมือที่ว่างเปล่าออก แต่เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ กำไลพวงกระดิ่งทองคำขนาดพอดีข้อมือนั้นก็ปรากฎขึ้นมาอยู่บนฝ่ามือของเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง
"..."
"กำไลพรวนกระดิ่งทองคำนี้
เทพเฮเฟสตัส (Hephaestus - Ηεπηαεστυσ) เทพเจ้าแห่งไฟและการช่างเป็นคนประดิษฐ์มันขึ้นมาแล้วเจ้าตัวก็นำมันมามอบให้แก่ข้า กำไลนี้มิใช่แค่กำไลที่เอาไว้สวมใส่เพื่อความสวยงามอย่างเดียวเท่านั้น แต่เจ้ากำไลนี้มีพลังพิเศษอย่างหนึ่ง--"
"พลังพิเศษรึ?"
"พลังพิเศษที่ว่า นั่นก็คือ เมื่อยามที่เจ้าประสบกับภยันตรายจนไม่สามารถช่วยเหลือตัวของเจ้าเองได้ กำไลพรวนกระดิ่งทองคำนี้จะช่วยเหลือเจ้า เพียงแค่เจ้านึกคิดในใจหรือเอ่ยวาจาออกมาเป็นนามของคนที่เจ้าร้องขอความช่วยเหลือ กำไลนี้จะนำพาผู้ที่จะช่วยเหลือเจ้าให้รอดพ้นจากภยันตราย..ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ ณ สถานที่ใดก็ตาม ดีโอเธซัส” เมื่อเทพเจ้าแห่งการพยากรณ์เอ่ยจบ เจ้าตัวจึงยื่นสิ่งของวิเศษที่อยู่ในมือให้กับเจ้าของวิหาร
เมื่อรับกำไลพรวนกระดิ่งทองคำจากมือของเทพเจ้าเฮลิออสมาสวมใส่ที่ข้อมือของตัวเอง ดีโอเธซัสพบว่านอกจากที่จะรู้สึกสบายใจมากขึ้นแล้ว เขาเองก็รู้สึกว่าเจ้ากำไลที่เป็นทั้งของวิเศษและเครื่องประดับนั้นช่างเข้ากับเรียวแขนของเขาได้อย่างน่าประหลาด ราวกับว่าเจ้าสิ่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เทพเจ้าแห่งปัญญาได้ครอบครองและเป็นเจ้าของมัน
“ข้าเองก็ไม่รู้จะตอบแทนเจ้าอย่างไรดี สำหรับความช่วยเหลืออันมีค่ามากมายเหลือเกิน สหายข้า”
“ไม่มีสิ่งใดที่จะตอบแทนความช่วยเหลือนี้ได้เท่ากับความเป็นมิตรเทวาระหว่างเรา จำคำวาจาของข้าเอาไว้นะ ดีโอเธซัส ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เล็กน้อยเท่าผงธุลีหรือใหญ่เทียบเท่าท้องนภา เทพแห่งแสงสว่างองค์นี้จะคอยช่วยเหลือเจ้าเสมอ” เฮลิออสเอื้อมมือไปแตะที่ไหล่เล็กของเทพเจ้าแห่งปัญญา พร้อมกับจับและออกแรงบีบเล็กน้อยเพื่อเป็นการย้ำและให้กำลังใจในฐานะสหายเทวา
“ข้าขอบใจเจ้า ด้วยความสัตย์จริง” ดีโอเธซัสเอ่ยพร้อมกับระบายยิ้มบางๆ ให้กับเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง
ความสัมพันธ์ระหว่างดีโอเธซัสและเฮลิออสในฐานะสหายนั้น จะไม่มีวันแปรผัน ตราบใดที่ความอมตกาลนั้นยังคงอยู่กับพวกเขาทั้งคู่ ตราบจนนิรันดร์.
.
.
เมื่อพูดคุยเจรจากับดีโอเธซัสจนเสร็จสิ้นกระบวนความ เฮลิออสจึงตัดสินใจที่จะกลับไปยังวิหารของตนเพื่อเตรียมตัวเดินทางลงจากโอลิมปิอัสและไปยังเมืองทริอัม เมืองที่บรรดาประชาชนต่างก็พากันนับถือและยกย่องเทพเจ้าแห่งแสงสว่างให้เป็นเทพผู้คุ้มครองและเป็นเทพเจ้าประจำเมือง ในระหว่างที่เทวาผู้ครองอาภรณ์ผ้าไหมสีส้มอิฐกำลังจะก้าวขาลงจากวิหารหินอ่อนนั้น เจ้าตัวก็พบกับเทพเจ้าแห่งสงครามที่กำลังยืนอยู่ที่หน้าวิหารอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว
“อ้าว ไคมาริอัส ข้านึกว่าเจ้าจะกลับไปที่วิหารของเจ้าแล้วเสียอีก” เป็นฝ่ายเทพเจ้าแห่งแสงสว่างเอ่ยทักทายเทพเจ้าแห่งสงครามก่อน ทันทีที่เจ้าตัวเดินลงมาจนถึงบันไดขั้นสุดท้าย
“เพราะข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า เกี่ยวกับ--” ไคมาริอัสเอ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมาตามลักษณะนิสัยตรงไปตรงมาของเจ้าตัว
“เกี่ยวกับเทวาตัวน้อยของเจ้าล่ะสิ ใช่รึไม่” ยังไม่ทันที่เทพเจ้าแห่งสงครามจะเอ่ยได้จบถ้อยประโยค เฮลิออสก็เอ่ยถามอย่างผู้รู้ทัน
“อ้อ..ถ้าอย่างนั้น ข้ากับเจ้า ไปพูดคุยที่อุทยานกันเถิด เพราะข้าเกรงว่าถ้าเกิดดีโอเธซัสมาได้ยินว่าข้ากับเจ้าพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของเจ้าตัว เทวาตัวน้อยของข้าอาจจะโกรธข้าเอาได้” เทวาผู้เรือนผมสีควันเอ่ยตอบเทวาผู้มีเรือนผมสีบลอนด์ไปพลางก็ชะเง้อมองขึ้นไปบนวิหารของเทพเจ้าผู้เป็นที่รักไปพลาง
“ได้สิ ข้าเองก็มีความคิดเช่นเดียวกันกับเจ้า ไคมาริอัส” เฮลิออสพยักหน้าเบาๆ อย่างเห็นด้วยกับคำตอบของเทพเจ้าแห่งสงคราม
ณ อุทยานใจกลางโอลิมปิอัส
ท่ามกลางหมู่มวลพฤกษาและผกามาศที่ดูสวยงามเกินกว่าคำพรรณนาของมนุษย์ งานประติมากรรมต่างๆ ที่ได้รับการปั้นแต่งมาอย่างดี ใจกลางของอุทยานนั้นสถาปัตยกรรมที่เรียกว่าน้ำพุตั้งอยู่ สายน้ำนั้นพวยพุ่งเป็นเส้นโค้งสวยงามจากส่วนยอดบนสุดและสายน้ำก็ไหลจนเต็มและเอ่อล้นลงมาเรื่อยๆ ตามขั้นชั้นที่รองรับ และเสียงของน้ำพุนั้นทำให้บรรยากาศในอุทยานไม่ดูเงียบสงบจนเกินไป
ความรู้สึกภายในจิตใจของเทพเจ้าแห่งสงคราม ณ ห้วงเวลานี้นั้นมีเพียงแค่ ความอยากรู้ในสิ่งที่เทพเจ้าแห่งแสงสว่างได้พูดคุยกับเทพเจ้าผู้เป็นที่รักของเขาและความเป็นห่วงต่อดีโอเธซัสเท่านั้น ความรู้สึกอย่างหลังนั้นทำให้เขาว้าวุ่นใจจนมิอาจไปทำหน้าที่ตามปกติดั่งเช่นทุกๆ วันได้ ถึงแม้ว่าตัวเขาเพิ่งจะสานสัมพันธ์ในรูปแบบความรักที่ลึกซึ้งกับดีโอเธซัสได้ไม่ถึงวัน แต่ไคมาริอัสนั้นคิดว่าเขาเองรู้จักนิสัยใจคอของเทวาผู้เป็นที่รักเป็นอย่างดี เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา เทพเจ้าผู้มีนัยน์ตาสีอำพันนั้นจะคอยสังเกตและรับรู้เรื่องราวความเป็นไปของเทวาผู้มีนัยน์ตาสีเทาตลอดเวลาเสมอ ในห้วงเวลาที่เทวาตัวน้อยนั้นรู้สึกไม่สบายใจ เจ้าตัวจะเก็บเรื่องที่ทำให้กังวลใจเอาไว้กับตัวและไม่ยอมบอกผู้อื่น ข้อประการนี้เป็นข้อสำคัญที่ทำให้ไคมาริอัสต้องซักถามความจริงจากปากของเฮลิออสให้จงได้
เพราะความจริงที่เขาอยากรู้เหลือเกินนั้น อาจจะทำให้เขาต้องรู้สึกเจ็บปวด
ถ้าเขาไม่รู้สิ่งใดเลยและไม่สามารถช่วยเหลือเทวาผู้เป็นที่รักยิ่งของเขาได้ เขาจะรู้สึกทรมานและเจ็บปวดยิ่งกว่า
และถ้าดีโอเธซัสเป็นอะไรไป เทพเจ้าแห่งสงครามตนนี้จะอยู่ได้อย่างไร“ข้า..อยากรู้ว่าเจ้าได้บอกสิ่งใดแก่เทวาตัวน้อยของข้า”
“ก่อนที่ข้าจะบอกว่าสิ่งนั้นคืออะไร ข้าขอถามท่านสักข้อประการหนึ่ง ได้รึไม่?”
“ว่ามาสิ”
“ถ้าเกิดว่า มีเหตุการณ์หรือสิ่งใดที่ทำให้ดีโอเธซัสเปลี่ยนแปลงไป เจ้าจะยังมั่นคงต่อเทพเจ้าแห่งปัญญาอยู่รึไม่?”
“…”
หลังจากที่ได้ยินคำถามจากปากของเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง เทพเจ้าแห่งสงครามที่เคยแสดงออกด้วยทีท่าที่โผงผาง ตรงไปตรงมาและมั่นใจในตนเองนั้นอย่างที่เฮลิออสเห็นจนชินตานั้น ในเวลานี้กลับเงียบขรึม ภายในดวงเนตรสีอำพันนั้นดูนิ่งสงบ ไม่มีแม้แต่อาการสั่นไหวให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
นั่นสิ ถ้าเกิดว่าตนใดตนหนึ่งเปลี่ยนแปลงไป ข้าหรือเทวาตัวน้อยจะยังมั่นคงต่อกันอยู่ไหม – ไคมาริอัสกำลังตั้งคำถามในใจเพื่อให้ตัวเองคิดทบทวนความรู้สึกของตัวเทพเจ้าแห่งสงครามที่มีต่อเทพเจ้าแห่งปัญญา แน่นอนว่าความรักที่เขามีต่อดีโอเธซัสจะไม่มีวันแปรผันหรือลดน้อยลง แต่ตรงกันข้าม ความรักนี้จะทวีเพิ่มพูนมากขึ้นทุกวัน แต่มีบางความคิดที่ทำให้ไคมาริอัสเริ่มเป็นกังวล นั่นคือ
ถ้าเกิดมีบางสิ่งบางอย่างมาแทรกกลาง มือของเราจะยังจับกันแน่นอยู่ไหม “ไม่ว่าร่างกายหรือความรู้สึกของดีโอเธซัสจะเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดไหน แต่ความรักของข้าที่มีต่อเขาจะไม่มีวันเปลี่ยน ความรู้สึกนี้จะยังมั่นคงอยู่เช่นเดิม มือของข้าจะคอยจับและคอยประคองมือของเขาเอาไว้แน่นๆ ต่อให้ดีโอเธซัสจะลืมเลือนข้าไป ข้าก็จะทำให้เขาจดจำข้าให้ได้ถึงแม้ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนก็ตาม และต่อให้ดวงตาสีเทาคู่นั้นจะไม่ได้มองมาที่ข้าอีกต่อไปแล้ว แต่ข้าก็จะยังคงมองเขาอยู่เช่นเดิม ตราบนิรันดร์” น้ำเสียงที่มั่นคงหนักแน่น สายตาที่แน่วแน่ไม่สั่นไหวนั้นเป็นตัวถ่ายทอดคำพูดและความรู้สึกของเทพเจ้าแห่งสงครามในห้วงเวลานี้ได้เป็นอย่างดี
“ข้าคงไม่มีเรื่องอันใดที่ทำให้กังวลอีกต่อไปแล้วล่ะ เพราะข้าเชื่อในวาจาของเจ้า ไคมาริอัส” เฮลิออสถอนหายใจอย่างโล่งอกหลังจากที่ได้ยินคำพูดจากปากของเทวาแห่งสมรภูมิ ว
าจาที่เปรียบดั่งคำมั่นสัญญาในความรักระหว่างพวกเขาทั้งคู่“แล้วคำพยากรณ์ที่เจ้าได้บอกแก่ดีโอเธซัสเล่า ตกลงมันคือเรื่องอันใดกันแน่ ข้าคาดเดาไม่ได้เลย เจ้า..ได้โปรดบอกให้ข้ารู้ทีเถิด”
“คือว่า…เทพเจ้าแห่งปัญญากำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างใหญ่หลวง เขาจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เพราะบาดแผลนั้นช่างสาหัสยิ่งนัก และที่สำคัญ อันตรายนั้นจะเกิดในสถานที่ที่ไม่ว่าเทพเจ้าหรือมนุษย์ก็มิอาจล่วงรู้ได้ว่ามันคือสถานที่แห่งไหน”
“…” ดวงเนตรสีเทานั้นเบิกกว้าง ไคมาริอัสตกใจจนพูดอะไรไม่ออก
ทำไมอันตรายถึงต้องมาเกิดกับเทวาตัวน้อยของข้าด้วย ทำไมไม่มาเกิดกับข้า ข้าขอรับความเจ็บปวดนี้แทนเสียดีกว่าที่ข้าจะต้องทนเห็นเทวาที่ข้ารักต้องเจ็บปวด“เจ้าไม่ต้องกังวลหรือกลัวอันใดไปหรอกนะ เพราะข้าได้มอบของวิเศษแก่ดีโอเธซัสไปแล้ว”
“จริงหรือ? เจ้าคงไม่พูดโป้ปดเพื่อให้ข้าสบายใจหรอกนะ”
“เจ้าก็รู้แจ้งแก่ใจอยู่แล้วว่าข้าเป็นเทพเจ้าที่มิอาจพูดเท็จหรือโป้ปดแก่ใครได้” เทพเจ้าแห่งแสงสว่างเอ่ยวาจาออกมาพร้อมกับขยับไปข้างหน้าเล็กน้อยเพื่อที่จะเอื้อมมือไปแตะที่ไหล่ของเทพเจ้าแห่งสงครามและบีบไหล่กว้างนั้นเบาๆ
“ข้าขอขอบใจเจ้า เฮลิออส”
“เจ้าไม่ต้องขอบใจข้าหรอก ข้าขอแค่เจ้าทำตามที่เจ้าเอ่ยวาจาที่เป็นดั่งคำมั่นสัญญาเอาไว้ก็เพียงพอแล้ว” เทวาผู้มีเรือนผมสีบลอนด์ระบายยิ้มเล็กน้อยและเอามือที่แตะบ่าแกร่งของเทพเจ้าแห่งสงครามลง ก่อนที่จะเดินออกมาจากหน้าวิหารหินอ่อนเพื่อกลับไปยังวิหารของตนเอง ส่วนไคมาริอัส เมื่อเฮลิออสเดินห่างไกลออกไป เขาก็ยังคงมองแผ่นหลังกว้างที่ปกคลุมด้วยอาภรณ์ผ้าไหมสีส้มอิฐนั่นและนึกขอบคุณในน้ำใจอันแสนประเสริฐของเทพเจ้าองค์นี้
.
.
.
หลังจากที่ได้ของวิเศษหรือกำไลพรวนกระดิ่งทองคำจากมือของเทพเจ้าแห่งการพยากรณ์มาสวมใส่ที่ข้อมือเล็กๆ ของตัวเองแล้ว ดีโอเธซัสจึงรู้สึกสบายใจมากขึ้น ถึงจะหลีกเลี่ยงคำพยากรณ์นี้ไปไม่ได้ แต่เขาไม่รู้สึกเป็นกังวลกับสิ่งอันใดอีกต่อไปแล้ว
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด และปล่อยให้โชคชะตาได้หมุนวงล้อของมันต่อไปเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ดีโอเธซัสจึงเดินทางไปพบเทพีทั้งสององค์ที่ยังมีข้อวิวาทต่อกันในเรื่องของความงามถึงวิหารของพวกนางเพื่อนัดหมายให้ลงไปยังโลกมนุษย์ โดยมีเขาเป็นสารถีขับรถม้าด้วยตัวเอง ดีโอเธซัสขับรถม้าโดยมี
เทพีเทร่า (Thera - Τηερα) และ
เทพีอะโครไลติ (Achroliti - Αξηρολιτι) เป็นผู้โดยสารพามายัง
ภูเขาไอดา (Ida - Ιδα) ซึ่งเป็นภูเขาที่ตั้งอยู่ใกล้เมืองทริอัม เพราะในสถานที่แห่งนี้มีทุ่งโล่งกว้างและมีเจ้าชายองค์หนึ่งนามว่า
ปารีส (Paris - Παρισ) เจ้าชายผู้อาภัพแห่งราชวงศ์ทริอัม ผู้ต้องตกระกำลำบากกลายมาเป็นเด็กคอยดูแลฝูงแกะอันเนื่องมาจากคำทำนายที่ว่า เจ้าชายองค์นี้จะเป็นผู้ทำให้ราชวงศ์และเมืองทริอัมต้องสูญสิ้น เทพเจ้าแห่งปัญญาคิดว่า เจ้าชายแห่งเมืองมนุษย์องค์นี้จะเป็นคนตัดสินข้อวิวาทเรื่องใครงดงามกว่ากันของเทพีทั้งสองได้เป็นอย่างดี
และผลสรุปจากคำตัดสินของเจ้าชายปารีสนั้น เจ้าตัวเลือกให้เทพีอะโครไลติ เป็นเทพีที่งดงามที่สุด อันเนื่องมาจากสินบนที่เทพีแห่งความงามองค์นี้มอบให้ เจ้าชายองค์นี้คงจะเห็นและพิจารณาด้วยสติปัญญาของตนว่าข้อเสนอจากเทพีผู้เลอโฉมมากที่สุดนั้นมีคุณค่ามากกว่าสินบนจากเทพีผู้เป็นใหญ่รองลงมาจากเทพเจ้าซิอุส ส่วนข้อสินบนที่ว่า นั่นก็คือ เทพีเทร่านั้นเสนอว่าจะทำให้ปารีสเป็นเจ้าผู้ครอบครองแผ่นดินยุโรปและเอเชีย และเทพีอะโครไลติเสนอว่าจะมอบผู้หญิงที่มีรูปโฉมงดงามที่สุดในโลกให้แก่เจ้าชายองค์นี้
หลังจากที่ข้อวิวาทระหว่างเทพีทั้งสององค์ได้สิ้นสุดลงพร้อมกับความไม่พอใจเป็นอย่างมากของเทพีเทร่าและความพึงพอใจและลำพองในตนอย่างยิ่งยวดของเทพีอะโครไลติ เทพีทั้งสององค์ที่ก็มีความงดงามอยู่ในตัวตนทั้งคู่นั้นก็ต่างตนต่างแยกย้ายกันไปคนละทิศละทางโดยไม่พึ่งพารถม้าที่มีเทพเจ้าแห่งปัญญาเป็นสารถีอีก ส่วนดีโอเธซัสนั้นก็ยังไม่ได้เดินทางกลับขึ้นไปยังโอลิมปิอัสเพื่อพักผ่อนกายาแต่อย่างใด เพราะเจ้าตัวยังคงมีหน้าที่ที่ต้องกระทำในฐานะเทพเจ้าผู้คุ้มครองเมือง
อาร์ธิส (Arthis - Αρτηισ) อยู่
ในระหว่างที่กำลังเดินทางด้วยรถม้าอยู่นั้น ดีโอเธซัสที่อยู่ในชุดเกราะสีทองแวววาวเต็มยศ พร้อมกับหอกยาวแหลมและโล่โลหะสีเงินยังคงไม่รู้องค์ว่ามีนางอสุรกายตนหนึ่งนามว่า
อีคิดนา (Echidna - Εξηιδνα) กำลังสะกดรอยตามอยู่ นางอสุรกายผู้มีรูปโฉมงดงามยิ่ง แต่ก็มีท่อนล่างที่น่าเกลียดน่ากลัว เพราะท่อนล่างของนางอสุรกายตนนี้เป็นงูใหญ่ และในอุ้งมือของอีคิดนาก็มีหอกยาวซึ่งอาบยาพิษเอาไว้บนโลหะมันเงาทั้งสองด้านเอาไว้ด้วย
ฟิ้ว! ฉึก!“อั่ก! อะ..เอือก!!” ทันทีที่ดีโอเธซัสถูกหอกแหลมอาบยาพิษปักเข้าที่กลางหลังอย่างจังด้วยแรงพุ่งจากอสุรกาย รถม้าและเรือนร่างของเจ้าตัวก็ร่วงหล่นลงสู่พื้นโลกทันทีอย่างควบคุมไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ร่างกายอันบอบบางและชุ่มไปด้วยโลหิตนั้นกระแทกกับพื้นพสุธาที่ปกคลุมไปด้วยหมู่มวลผกามาศอย่างแรงจนแผ่นดินสะเทือนเลือนลั่น ดีโอเธซัสนอนคว่ำหน้าจมกองเลือดอย่างหมดเรี่ยวแรงที่จะยันกายให้ลุกขึ้น หยดเลือดกระเซ็นไปโดนกลีบดอกไม้ทั้งหลายจนแดงฉาน ส่วนผู้ที่ลอบทำร้ายนั้นได้หายตัวไปแล้ว
เทพเจ้าแห่งปัญญาพยายามพูดออกมาอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ไม่มีเสียงอันใดเล็ดลอดออกมาเลยแม้แต่น้อย ยาพิษที่อาบอยู่บนปลายหอกแหลมนั้นทำให้เลือดไหลออกจากปากแผลอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหย่อน
ก่อนที่ดวงเนตรสีเทานั้นจะปิดลงและก่อนที่สติจะดับวูบไป ใบหน้างดงามนั้นพยายามขยับเขยื้อนเพื่อมองที่ข้อมือซ้ายของตัวเอง กำไลพรวนกระดิ่งทองคำนั้นแวววาวและมีหยดโลหิตสีแดงฉานแต่งแต้มเป็นดวงๆ
ไคมาริอัส เจ้าอยู่ที่ไหนและดวงเนตรสีเทานั้นก็ปิดสนิท ไม่เคลื่อนไหวอีก พร้อมๆ กับที่ลมหายใจนั้นเริ่มแผ่วลงเรื่อยๆ
Talkมาแล้วฮับ มาต่อแล้วฮับ
ตอนนี้ไรท์ขอสารภาพว่า ตอนนี้เป็นตอนที่แต่งยากที่สุด ยากกว่าทุกๆ ตอนของซีรี่ย์ THE EVE เพราะเรากลัวว่าเราจะเขียนออกมาได้ไม่ดีพอ แต่เราทำดีที่สุดแล้ว
ขอให้ผู้อ่านทุกๆ คนสนุกไปกับ THE EVE IV
และอย่าลืมแวะไปบอกความรู้สึกกันได้ที่ #รักแห่งไคซู นะคะ คัมซาฮัมนิดา
หมายเหตุ :
เทพีเทร่า = เทพีเฮร่า
เทพีอะโครไลติ = เทพีอะโฟรไดต์
เมืองทริอัม = เมืองทรอย
เมืองอาร์ธิส = เมืองเอเธนส์
อีคิดนา คืออสุรกายที่อยู่ในรูปเลย เผื่อใครนึกภาพไม่ออกเนอะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in