เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
You’re all I see [Jongin x Kyungsoo]Nuynyaloners
(SF) THE EVE [I]












  • *ขอแนะนำ ควรเปิดเพลง The Eve – EXO ระหว่างอ่านไปด้วยนะคะ*







    ————————



    Λοϝε isn’t a God that beautiful or good, But love isn’t something ugly or wicked…
    ความรัก ไม่ใช่เทพเจ้าที่งดงามหรือว่าดี แต่ความรักก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าเกลียดหรือชั่วช้า…

    Λοϝε is in the middle between two, Example between folly and ingenuity…
    ความรัก อยู่กึ่งกลางระหว่าง 2 อย่าง เช่น ระหว่างความโง่เขลาและความฉลาด…

    Λοϝε isn’t God, because God perfectly fine both happiness and beauty…
    ความรัก ไม่ใช่พระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงสมบูรณ์ดีทั้งความสุขและความงาม…


    - Socretes in Symposium (Plato) –



    ————————



    Love is something that happens between two people who aren’t perfect.
    ความรัก จึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างคนไม่สมบูรณ์แบบสองคน



    ————————



    깨고 부딪쳐야 해 우릴 볼 수 있도록
    We must have to break it, in order that you can see us
    เราหยุดมันก่อนดีไหม เพื่อที่เธอจะได้มองเห็นกันบ้าง

    크게 소리쳐야 해 멀리 번져가도록
    I have to shout loud, to spread it far
    ผมคงต้องตะโกน ให้เสียงมันดังออกไปให้ไกล



    ————————








    Olympius (Ολψπιυσ) ดินแดนที่ไม่ใช่สรวงสวรรค์ แต่เป็นดินแดนที่สวยงามเกินกว่าคำพรรณนาของมนุษย์ ดินแดนที่เต็มไปด้วยแสงเรืองรองสว่างไสวเต็มท้องนภาที่ไร้เมฆหมอก ดินแดนที่มีกลิ่นหอมหวนรัญจวนใจจากดอกไม้หลากชนิดแม้ไม่มีสายลมพัดผ่าน ดินแดนที่เป็นที่ตั้งของเคหสถานไว้ใช้พักผ่อนกายาและกินอยู่อย่างเริงสำราญของบรรดาเหล่าเทพเจ้าผู้ทรงมีอิทธิฤทธิ์ และมีประตูทางเข้าที่มีสายหมอกลอยฟุ้งกระจายอยู่รอบๆ ทางเข้า มีเพียงผู้ที่พำนักอยู่ในโอลิมปิอัสหรือเป็นเชื้อสายวงศ์วานเทพเท่านั้นที่จะมองเห็นประตูหมอกนี้ได้


    เคหสถานที่ว่านั่นก็คือ สถาปัตยกรรมวิหารหินอ่อนที่ตั้งตระหง่าน ดูใหญ่โตและน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง ตัวเสาหินอ่อนดูเรียบง่ายและมั่นคงแข็งแรง ส่วนหน้าจั่วหลังคามีประติมากรรมนูนแกะสลักเป็นรูปลักษณ์ต่างๆ ประดับประดาอย่างวิจิตรงดงาม และส่วนของห้องโถงที่มักจะเปิดโล่งและตกแต่งอย่างเรียบง่าย แต่ก็ยังมีวิหารหินอ่อนที่แตกต่างไปจากวิหารของเทพองค์อื่นๆ วิหารนั้นคือ วิหารขององค์เทพแห่งปัญญา ศิลปศาสตร์ และชัยชนะแห่งโอลิมปิอัส


    ตลอดทางเดินภายในห้องโถงของวิหารเทพแห่งปัญญานี้เต็มไปด้วยที่ตั้งงานศิลปะแขนงต่างๆ และกองหนังสือตั้งเรียงกันอย่างมีระเบียบ ทางเดินที่เปรียบเสมือนกับมิวเซียมขนาดย่อมนำพาไปสู่จุดศูนย์กลางของวิหาร นั่นคือ บัลลังก์หินอ่อนที่ปูลาดด้วยผ้าซาตินสีครีมเป็นมันเงาโดยมีเจ้าของวิหารกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ด้วยการละเลียดไล้สายตาจดจ้องทุกตัวอักษรบนหน้ากระดาษของหนังสือ และด้านหลังของบัลลังก์ยังมีชุดเกราะสีทองแวววาว หอกยาวและโล่โหละสีเงินที่ถูกตั้งและแขวนเอาไว้ พวกมันจะถูกเทพแห่งปัญญาหยิบขึ้นมาสวมใส่ก็ต่อเมื่อเจ้าตัวออกไปสู้รบเท่านั้น


    ดีโอเธซัส (Deothesus - Δεοτηεσυσ) เทพเจ้าที่มีพร้อมด้วยสติปัญญา ความสามารถในทุกๆ ด้านโดยเฉพาะด้านยุทธศิลป์ และมีใบหน้าที่งดงามโดดเด่นไม่ด้อยไปกว่าเทพีอะโครไลติ ทั้งดวงตากลมโต นัยน์เนตรสีเทา จมูกโด่งรับกับใบหน้ารูปไข่ ริมฝีปากหยักอิ่มเอิบสีกุหลาบ เส้นผมสีไวน์แดงนุ่มสลวยและพริ้วไหวยามเคลื่อนกายไปในที่ต่างๆ องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้ดีโอเธซัสตกเป็นที่ต้องตาต้องใจของบรรดาเทพีสาวๆ ในงานรื่นเริงประจำสัปดาห์เสมอไม่ต่างกับเฮลิออส เทพเจ้าแห่งแสงสว่าง เทวามิตรที่ดีโอเธซัสพูดคุยถูกคอที่สุดบนโอลิมปิอัสแห่งนี้


    แต่ยังมีเทพอีกองค์หนึ่งที่ดีโอเธซัสชื่นชมความหล่อเหลามากเสียยิ่งกว่าเฮลิออส แต่เป็นความชื่นชมที่เทพแห่งปัญญาได้แต่เก็บงำไว้ในใจเท่านั้น เพราะความชิงชังที่เทพองค์นั้นถ่ายทอดออกมาผ่านแววตายามพบปะกันในการประชุมสภาเทพโอลิมปิอัสเสมอ เหตุผลเพียงเพราะดีโอเธซัสถูกท่านพ่อซิอุสผู้เป็นจอมราชันย์ของเหล่าเทพพูดยกยอเปรียบเทียบให้เทพองค์นั้นต้องรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจทุกครั้งไป เป็นเหตุผลที่ตัวเขารู้แจ้งแก่ใจแต่ก็มิอาจแก้ไขได้ เพราะในทุกครั้งที่เข้าไปเจรจาเพื่อที่จะอธิบายให้ต่างฝ่ายไม่ต้องขุ่นข้องหมองใจต่อกันนั้นมักจะเกิดการทะเลาะเบาะแว้งใช้กำลังห้ำหั่นอย่างเอาเป็นเอาตาย แค่เพียงเพราะอีกฝ่ายถูกอารมณ์เกลียดชังครอบงำจนไม่ยอมฟังเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น จนความสัมพันธ์ระหว่างเทพแห่งปัญญาและเทพแห่งสงครามมิอาจประสานรอยร้าวให้เชื่อมติดกันได้อีก


    ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ ดีโอเธซัสอยากจะเอ่ยให้ไคมาริอัสหรือเทพแห่งสงครามได้รับรู้หัวใจของเขาจนแทบบ้า แต่อีกใจของเทพผู้มีนัยน์ตาสีเทาได้แต่ยับยั้งความรู้สึกที่หลงรักนี้เอาไว้เพราะกลัวว่าความสัมพันธ์ที่แตกร้าวอยู่แล้วอาจจะแหลกสลายเป็นผุยผงจนมิอาจสัมผัสมันได้อีก ดีโอเธซัสจึงเลือกที่จะปิดตายความรักข้างเดียวนี้เอาไว้ เพื่อที่จะได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย ถึงแม้ว่าจะเป็นการมองเห็นด้วยการแอบมองในทุกครั้งที่พบเจอกันก็ตาม


    คิดแล้วก็ช่างน่าขันยิ่งนัก ถึงแม้ว่าตัวเขาจะถูกยกย่องให้เป็นเทพแห่งปัญญา แต่ปัญญาที่มีนั้นมิอาจสามารถนำมันมาใช้แก้ปัญหาหัวใจได้เลย ถึงจะขบคิดหาทางออกอยู่ทุกวัน แต่ก็เหมือนจะไม่มีทางที่นำไปสู่ความสว่างได้เลยแม้แต่น้อย


    เทพแห่งปัญญาได้แต่ถอดถอนพรั่งพรูลมหายใจออกมาให้กับความรักที่ฝังลึกอยู่ในอกข้างซ้าย จนหน้ากระดาษบางเบาของหนังสือที่ถืออยู่ในมือปลิวพลิกผ่านไปหลายหน้า



    “ดีโอเธซัส อยู่รึไม่” เสียงตะโกนเรียกจากบันไดทางขึ้นวิหารนั้นคาดเดาได้ไม่ยากเลยว่าเป็นเสียงเทพองค์ใด เพราะเจ้าของเสียงนี้ชอบมาเยี่ยมเยือนที่วิหารของเขาอยู่บ่อยครั้ง


    ถึงแม้ว่าจะมีแขกมาที่วิหารแต่ดีโอเธซัสก็ไม่มีอาการรีบร้อน เขาปิดหนังสือที่อยู่ในมืออย่างทะนุถนอมราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าและยันกายจากที่กำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนเปลี่ยนเป็นนั่งหลังตรงอย่างสง่างาม ร่างกายของเทพแห่งปัญญานั้นถูกปกคลุมด้วยอาภรณ์ผ้าไหมสีน้ำเงินมหาสมุทรโดยคลุมไปทั้งตัวและมีผ้าไหมสีฟ้าอ่อนเป็นผ้าไว้พาดบ่าอีกชั้น โดยมีเข็มหมุดสีเงินกลัดเอาไว้ให้คงอยู่ไม่เลื่อนไหลกองลงไปกับพื้นอีกที บนศีรษะมีมงมุฎช่อมะกอกสีทองคาดทับเส้นผมสีไวน์แดง และที่เท้านั้นสวมรองเท้าแตะหนังแบบคาดหลังเท้าเอาไว้ด้วย



    “มีอะไรหรือ เฮลิออส” เจ้าของวิหารเอ่ยถามแขกผู้มาเยือนเมื่อเจ้าตัวเดินมาถึงและยืนอยู่หน้าบัลลังก์หินอ่อน


    “พระบิดาท่านให้ข้ามาตามเจ้าไปที่วิหารของพระองค์น่ะสิ” เฮลิออส (Helios - Ηελιοσ) เทพแห่งแสงสว่าง การรักษา และดนตรีเอ่ยตอบ


    “เรื่องอันใดกัน สหายข้า เจ้ารู้รึไม่”


    “ข้าเองก็หารู้ไม่ เพราะพระองค์แจ้งแก่ข้าว่าให้มาตามเจ้าไปพบก็เท่านั้น”


    “แล้วพระบิดาท่านมีสีหน้าเช่นไร เฮลิออส เจ้าได้สังเกตรึไม่?” ดีโอเธซัสเอ่ยถาม


    “อืม เท่าที่ข้าดู ไม่เชิงว่าโมโหโกรธาแต่ค่อนข้างไปทางวิตกกังวลมากกว่า”


    “อย่างนั้นหรือ หึ ข้าพอจะเดาออกแล้วว่าเป็นเรื่องอะไร”


    “เจ้าคิดเห็นว่าเป็นเรื่องใดหรือ บอกให้ข้ารู้ได้รึไม่” เทพแห่งแสงสว่างเอ่ยปากถามอีกครั้งด้วยความสงสัย


    “ถ้าเจ้าอยากรู้ เจ้าก็ไปหาพระบิดากับข้าสิ” ดีโอเธซัสยันกายลุกขึ้นยืน ก่อนจะก้าวลงจากบัลลังก์อย่างสง่างาม เดินตรงมาหาเทพแห่งแสงสว่างผู้เป็นสหายที่ยืนรออยู่ เจ้าตัวหยุดเดินสักครู่และเอามือไปตบที่ไหล่ของเฮลิออสเบาๆ แล้วก็เดินออกจากวิหารของตัวเองโดยมีเทพผู้ถูกเทพีบนโอลิมปัสยกให้เป็นเทพบุตรที่หล่อเหลาเดินคล้อยตามหลังไม่ห่างเท่าไหร่นัก

    .
    .






    ณ ท้องพระโรงที่ดูโอ่อ่าแต่ในขณะเดียวก็ให้ความรู้สึกว่าควรมีท่าทีสงบเสงี่ยมของวิหารแห่งองค์ซิอุส (Zeus - Ζευσ) ผู้เป็นจอมราชันย์ที่ปกครองทวยเทพทั้งปวงบนโอลิมปิอัส และพระองค์ยังเป็นเทพเจ้าแห่งอัสนีบาตและท้องฟ้าอีกด้วย ดีโอเธซัสและเฮลิออสได้เดินมาถึงจุดศูนย์กลางของท้องพระโรง ทั้งสองพบกับพระบิดา พระองค์กำลังนั่งกุมขมับที่เกือบจะหมดสิ้นคราบราชาแห่งทวยเทพอยู่บนบัลลังก์ทองคำซึ่งแกะสลักอย่างวิจิตรงดงาม ส่วนด้านล่างของบัลลังก์ทองคำยังมีเทพอีกองค์ที่ยืนรอพวกเขาอยู่ก่อนหน้าที่แล้ว


    ไคมาริอัส (Kaimarius - Καιμαριυσ) เทพเจ้าแห่งสงครามและพละกำลังยืนอยู่ด้านล่างและด้านของบัลลังก์ด้วยท่าทีที่สงบเสงี่ยมผิดปกติวิสัยที่มักจะโผงผางและตรงไปตรงมา เทวาผู้มีใบหน้าหล่อเหลาไม่แพ้เทพแห่งแสงสว่างอย่างเฮลิออสและรูปร่างที่สวยงามและเต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างชายในอุดมคติ ผมสีเทาและดวงตาสีอำพันของเจ้าตัวนั้นทำให้หัวใจของดีโอเธซัสนั้นไหววูบและเต้นแรงได้เสมอในทุกครั้งที่มอง



    “พระบิดา ท่านเรียกหาหม่อมฉันด้วยเรื่องอันใดหรือพะย่ะค่ะ” ดีโอเธซัสเอ่ยถามในเรื่องที่เขาเองก็พอจะคาดเดาได้ว่าที่ จอมเทพเรียกหาและให้มาพบนั้น พระองค์ต้องการที่จะปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดจากเหล่าเทพีเป็นแน่


    “ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรเกี่ยวกับการวิวาทด้วยเรื่องของเหล่าสตรีแล้วน่ะสิ ถึงข้าจะไม่ใช่สาเหตุของปัญหาก็ตาม--” องค์ซิอุสพูดไปพร้อมกุมขมับไปด้วย


    “หรือว่า ปัญหาที่พระบิดาพูดถึงนั้นเกี่ยวข้องกับพระมารดา?”


    “ใช่ เกี่ยวกับเทพีเทร่า มารดาของพวกเจ้า และเทพีอะโครไลติด้วย พวกนางวิวาทกันด้วยเรื่องแค่เพียงเล็กน้อย ‘ใครคือเทพีที่งามที่สุด’ เหอะ! ช่างน่าอับอายเสียจริง” จอมเทพเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เริ่มไม่สบอารมณ์ไหร่แล้ว


    “พระบิดา ท่านอาจจะไม่รู้จิตใจของเหล่าสตรีดีพอก็เป็นไปได้นะพะย่ะค่ะ--”


    “จิตใจของเหล่าสตรีเปรียบดั่งการหย่อนเข็มเย็บผ้าลงไปในมหาสมุทร เมื่อหย่อนลงไปแล้วก็ใช่ว่าจะควานหาเข็มเล่มนั้นเจอได้โดยง่าย ความงามนั้นถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนเกินกว่าที่บุรุษอย่างเราจะทำความเข้าใจได้ทันที และยิ่งเมื่อความงามบวกเข้ากับความอิจฉาริษยาด้วยแล้ว ข้อถกเถียงและการวิวาทนั้นจะไม่มีทางสิ้นสุดลงได้ถ้าต่างฝ่ายต่างยังยึดถือทิฐิว่าตนนั้นงามที่สุด” ดีโอเธซัสเอ่ยตอบจอมเทพด้วยท่าทีที่ใจเย็นและสุขุม


    “เจ้าพูดเช่นนี้ เจ้ามีหนทางที่จะยุติข้อบาดหมางได้แล้วหรือ ดีโอเธซัส” เทพแห่งอัสนีบาตนั้นคลายการกุมขมับลงแล้วหันหน้ามาเพื่อพูดคุยกับเทพแห่งปัญญาโดยตรง


    “หนทางนั้นไม่ยากเลยพะย่ะค่ะ เพียงแค่หาคนนอกมาตัดสินข้อวิวาทะระหว่างพระมารดาและเทพีแห่งความงามว่าใครกันที่จะเป็นเทพีที่โฉมงามที่สุด--”


    “งั้นพวกเจ้า เฮลิออสกับไคมาริอัสช่วยตัดสินแทนข้าทีเถิดว่าใครเป็นเทพีที่งามที่สุด” จอมราชันย์แห่งเทพนั้นยังไม่ทันที่จะฟังเทพแห่งปัญญาพูดให้จบเสียก่อนก็รีบชิงตัดสินใจแทนเสียแล้ว


    “ไม่ได้นะพะย่ะค่ะ ทั้งเทพเฮลิออสและเทพไคมาริอัสนั้นต่างก็มีความเกี่ยวข้องด้วยความสัมพันธ์กับเทพีทั้งสององค์ พวกนางอาจจะวิวาทกันอีกก็เป็นได้เนื่องจากพวกนางจะยกข้ออ้างเรื่องความสัมพันธ์ เทพีอะโครไลติอาจจะพูดว่า ‘ก็เพราะเฮลิออสเป็นลูกของท่านน่ะสิ’ และเทพีเทร่าอาจจะพูดว่า ‘ก็เพราะว่าไคมาริอัสนั้นเป็นคู่รักของเจ้า เขาย่อมที่จะเข้าข้างเจ้าอยู่แล้วเป็นธรรมดาของเทพที่มีใจให้กัน’ --” ยังไม่ทันที่ดีโอเธซัสจะพูดได้จบถ้อยความดี เทพแห่งสงครามที่ยืนนิ่งมานานจู่ๆ ก็เอ่ยแทรกขึ้นมา


    “เจ้าเข้าใจข้าผิดแล้ว เทพแห่งปัญญา ตัวข้านั้นไม่ได้มีใจให้แก่เทพีอะโครไลติเลยแม้แต่น้อย” ไคมาริอัสเอ่ยเสียงเรียบ เพราะหัวใจของข้านั้นได้มอบมันให้กับเจ้าไปตั้งนานแล้ว แต่เจ้าก็ช่างโง่เขลาและคิดไปเองอยู่เรื่อย

    แต่ทว่า ถ้อยประโยคหลังนั้น เทพแห่งสงครามทำได้แค่คิดในใจแต่ไม่ได้เอ่ยออกไปให้เทพแห่งปัญญาได้รับรู้



    “ถ้าเช่นนั้น เหตุใดถึงได้ปล่อยให้เทพีแห่งความงามเดินเข้าออกวิหารของเจ้าได้ตามใจชอบล่ะ ถ้าไม่มีใจให้แก่กัน” เทวาผู้มีนัยน์ตาสีเทาเอ่ยสวนอย่างทันควัน –ใช่ ดีโอเธซัสไม่เชื่อวาจาที่เทพแห่งสงครามเอ่ยออกมา สิ่งที่ทำให้เทพแห่งปัญญาอดรู้สึกที่จะน้อยใจและอิจฉาอยู่ลึกๆ ไม่ได้ นั่นคือ เทพีอะโครไลติสามารถทำสิ่งที่เขาปรารถนามาเนิ่นนานได้อย่างง่ายดายโดยที่ไคมาริอัสไม่มีกิริยาอาการขัดข้องเลยแม้แต่นิดเดียว


    ดีโอเธซัสนั้นหารู้ไม่เกี่ยวกับความในใจและเหตุผลที่เทพแห่งสงครามปล่อยให้เทพีอะโครไลติผู้อื้อฉาวนั้นเข้าออกวิหารของตนได้ตามใจ ไคมาริอัสเห็นเทพีผู้เลอโฉมเป็นเพียงแค่สหายเทพีเท่านั้น เขาไม่มีจิตคิดปฏิพัทธ์หรือร่วมเสพสมกามารมณ์กับนางเลยแม้สักนิด เทพแห่งสงครามเห็นนางเป็นแค่เครื่องมือยั่วให้เทพแห่งปัญญานั้นหึงหวงตัวเขา แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผล ความสัมพันธ์ที่เปราะบางระหว่างเขากับเทพผู้มีใบหน้างดงามไม่แพ้เทพีก็ยังคงเป็นเช่นเดิม


    “ใจเย็นๆ เถิด สหายข้า” เฮลิออสเขยิบเข้าไปใกล้เทพแห่งปัญญาเพื่อที่จะพูดกระซิบเสียงค่อยให้เจ้าตัวใจเย็นลง เพราะเทพแห่งแสงสว่างเองก็ไม่ได้เต็มใจที่จะต้องเป็นทูตเจรจาเพื่อสงบศึกในสงครามประสาทระหว่างดีโอเธซัสกับไคมาริอัสสักเท่าไหร่นัก



    “เอาล่ะๆ ไหนเจ้าอธิบายหนทางแก้ปัญหาของเจ้าต่อไปสิ” ราชาแห่งเทพโบกมือและพูดด้วยสุรเสียงที่เทพเฮลิออส เทพบุตรคนโตฟังแล้วก็ดูออกว่าพระบิดานั้นเริ่มรำคาญและเป็นเชิงว่าให้เทวาทั้งสององค์ซึ่งยืนอยู่ตรงข้ามกันนั้นหยุดการโต้เถียงเสียที


    “ความสัมพันธ์อันดีที่มีให้แก่กันนั้นมักจะทำให้จิตใจที่ใช้ในการตัดสินข้อวิวาทะอาจจะโน้มเอียงและดูไม่เป็นธรรมเท่าใดนัก หม่อมฉันเห็นว่าควรให้มนุษย์ผู้ชายสักคนหนึ่งที่อยู่ในเมือง Arthis (Αρτηισ) ตัดสินใจแทนทวยเทพแห่งโอลิมปิอัสพะย่ะค่ะ” ดีโอเธซัสสูดหายใจเข้าและผ่อนลมหายใจออกอย่างช้าๆ เพื่อสงบอารมณ์ที่เริ่มขุ่นมัว จากนั้นจึงเอ่ยเสนอหนทางแก้ไขที่จอมเทพผู้เป็นบิดานั้นก็เห็นชอบด้วย


    “ดี ดีทีเดียว สมแล้วที่ทวยเทพต่างยกย่องว่าเจ้าเป็นเทพเจ้าแห่งปัญญา ดีโอเธซัส” จอมเทพผู้เป็นบิดาเอ่ยวาจาชมเชยเทวาบุตรที่เกิดแต่จอมเทพเพียงฝ่ายเดียว


    “เมื่อเป็นอันว่าหาหนทางยุติข้อวิวาทระหว่างเทพีทั้งสององค์นี้ได้แล้ว พรุ่งนี้หม่อมฉันจะนัดหมายพระมารดาและเทพีอะโครไลติลงไปยังดินแดนของมนุษย์เองพะย่ะค่ะ” ดีโอเธซัสเอ่ย


    “เอาตามที่เจ้าเห็นสมควรก็แล้วกัน”


    “ถ้าเช่นนั้น หม่อมฉันขอทูลลา” ดีโอเธซัสโค้งตัวลงแสดงความเคารพแก่จอมเทพ หลังจากนั้นจึงเดินออกจากท้องพระโรงเพื่อเดินกลับไปสงบสติอารมณ์ยังวิหารของตัวเอง

    .
    .





    เทวาเจ้าของนัยน์ตาสีเทาเดินกลับมาถึงยังวิหารหินอ่อนของตัวเองด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยวและเหนื่อยล้า ทำไมนะ ทำไมถึงไม่ยอมเลิกรักเทพแห่งสงครามเจ้าอารมณ์นั่นเสียที


    ในขณะที่ดีโอเธซัสกำลังจะทิ้งร่างกายเพื่อพักผ่อนบนบัลลังก์ของตัวเอง เทพผู้ครอบครองหัวใจของเทพแห่งปัญญานั้นจู่ๆ ก็เดินเข้ามาหาเจ้าของวิหารอย่างไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า



    “เจ้ามาเยี่ยมเยือนข้าถึงที่นี่ คงไม่ใช่ธุระธรรมดาเป็นแน่” เจ้าของเรือนผมสีไวน์แดงหันกลับไปมองใบหน้าที่หล่อเหลาและนัยน์ตาสีอำพันที่มักจะทำให้เทวาอย่างเขาควบคุมจิตใจของตนไม่ค่อยจะอยู่


    “ก็เพราะว่าเจ้านั้นเข้าใจตัวข้าผิดไปมากเลยทีเดียว” เจ้าของเรือนผมสีเทาเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้ม


    “ไม่หรอก ข้าตัดสินจากประสบการณ์ที่ข้าได้จากการมองเห็นต่างหากเล่า”



    ทั้งเทพแห่งปัญญาและเทพแห่งสงครามต่างก็สบสายตาจดจ้องกันอย่างไม่มีใครยอมลดละให้แก่กัน ห้องโถงของวิหารหินอ่อนนั้นดูเงียบเชียบลงกว่าจนต่างฝ่ายต่างก็ได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน ดีโอเธซัสนั้นพยายามคาดเดาอารมณ์ของไคมาริอัสว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่ความพยายามคาดเดานั้นไม่เห็นผล อารมณ์ที่แสดงออกมาผ่านดวงตาสีอำพันนั้นเป็นอารมณ์ที่เจ้าดวงตาสีเทาไม่เคยเห็นมาก่อน


    จนกระทั่งเทพเจ้าแห่งสงครามเคลื่อยกายที่งดงามราวกับงานศิลปะชิ้นเอกเข้ามาใกล้ๆ เทพเจ้าแห่งปัญญา ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนดีโอเธซัสรับรู้ถึงกลิ่นลมหายใจของอีกฝ่าย กลิ่นเปลือกไม้ยามฝนตกในป่า
    ใกล้จนลมหายใจอุ่นร้อนนั้นรดอยู่บนศีรษะของเทวาผู้มีใบหน้าสวยหวานราวกับเทพี



    “งั้นเจ้าก็จงรับรู้เอาไว้เถิด ประสบการณ์ใหม่ต่อจากนี้ที่เจ้าจะได้สัมผัสและรับรู้ถึงมัน โดยที่ข้าจะมอบมันให้กับเจ้า…ด้วยร่างกายของข้า


    “…”


    “ร่างกายที่ข้าไม่เคยให้ผู้ใดได้แตะต้อง เพราะข้าหวงแหน ข้าปรารถนาให้เจ้าได้ครอบครองเพียงผู้เดียว เช่นกัน ข้ามีความปรารถนาที่จะครอบครองร่างกายของเจ้า ดีโอเธซัส”







    ————————


    C U T

    Scroll down below


    ————————










    Talk Talk


    Link CUT > http://www.tunwalai.com/chapter/1244866/sf-the-eve-i

    จริงๆ ตั้งใจจะให้ the eve นี่ไม่ใช่SF นะ แต่เป็นOS ต่างหาก แต่ก็นะถ้าเป็นOSนี่คงมีเนื้อหายาวเป็นกิโลได้
    ในตอนที่กำลังนั่งคิดนอนคิดว่าจะแต่ง the eve เป็นธีมไหนดี จู่ๆความคิดที่จะปู้ยี่ปู้ยำปรกรณัมกรีกก็ผุดขึ้นมา ซึ่งมันท้าทายสำหรับเรามากๆ เลยล่ะ
    และมันก็ยากมากกกกกกก ยากฉิบหาย (ขอพูดหยาบ) เพราะรายละเอียดมันค่อนข้างเยอะและก็เป็นเรื่องที่คนอ่านน่าจะเคยผ่านตามาบ้างแล้ว

    ตัวละครในเรื่องมีการเปลี่ยนชื่อเพื่อให้เข้ากับบุคคลและธีมเรื่อง อย่างเช่น ดีโอเธซัส = อธีน่า, ไคมาริอัส = แอรีส, ซิอุส = ซุส, เทร่า = เฮรา, อะโครไลติ = อะโฟรไดต์, ส่วนเฮลิออสนั้นเป็นอีกชื่อเรียกของเทพอพอลโล (เฮลิออส แปลว่า แสงสว่าง ในภาษากรีก)

    ตามตำนานปกรณัมกรีกนั้น อธีน่ากับแอรีสโคตรเกลียดขี้หน้ากันและกัน เรียกได้ว่าเจอะเจอหน้ากันทีไรก็ต่อสู้กันทุกที และแน่นอน แอรีสเป็นฝ่ายแพ้ทุกครั้ง และแอรีสก็มีเมียเป็นนางอะโฟรไดต์นั่นเอง (พูดตามตรงก็คือเป็นชู้กันนั่นแหละ)
    และตามพลังพิเศษของตัวละครเอกในเรื่อง อย่าง ดีโอคือพลังดิน ซึ่งก็ตรงคือเจ้าแม่ไกอาและไคคือพลังเทเลพอร์ตก็ตรงกับเทพเจ้าเฮอร์มีส เทพแห่งการสื่อสารนั่นเอง แต่ก็นั่นแหละ เราจะฉีกและแหวก ให้เทพอธีน่าและเทพแอรีสมารักกันให้ได้ ใครไม่ทำเราทำจ้า

    ไม่พูดมากละ ขอให้สนุกกับ SF The EVE นะคะ
    อย่าลืมแวะไปสกรีมที่tag #รักแห่งไคซู เด้อ /ไหว้ขอบคุณอย่างงามๆ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in