เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
You’re all I see [Jongin x Kyungsoo]Nuynyaloners
(OS) Monster




  • Rate: X




     

     

     



    You can call me monster

    คุณจะเรียกผมว่าปิศาจก็ได้นะ

     

    I’m creeping in your heart babe

    ผมกำลังคืบคลานอยู่ในหัวใจคุณ ที่รัก

     

    뒤집고 무너트리고 삼켜

    ผมจะจับคุณหงายขึ้น ทำให้สติแตก แล้วกลืนกินคุณซะ

     

    그래 훔쳐 탐닉해

    ใช่แล้ว ผมจะจับคุณมาดื่มด่ำไปด้วยกัน

     

    망쳐 놓을거야

    แล้วทำลายคุณซะ

     

     

     

     

     

     

     

    Seoul, 03:13 AM

     

    เสียงหัวเราะร่าของหญิงสาวผู้มีทรวดทรงองค์เอวอวบอั๋นในชุดเดรสรัดรูปสีแดงเพลิงนั้นบ่งบอกว่าเธอมีความสุขสมภายใต้อ้อมแขนของชายหนุ่มรูปงามในชุดสูทสีดำ

     

    หญิงสาวคงคาดคิดวาดฝันถึงวิมานสวรรค์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เมื่อชายหนุ่มใช้ฝ่ามือหยาบลูบไล้ไปตามผิวเนียนละเอียดและเริ่มไล้ไซร้ซอกคอที่เต็มไปด้วยกลิ่นน้ำหอมฟีโรโมน โดยเธอไม่อาจหารู้ไม่ว่าชะตาของเธอ…กำลังจะจบสิ้นลง

     

    ในค่ำคืนพระจันทร์เต็มดวงและส่องแสงนวลสว่างส่องพาดผ่านให้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มรูปงามในแบบครึ่งซีกล่าง เขาอ้าปากออกเล็กน้อยเผยให้เห็นฟันขาวสะอาดเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ

    และด้วยกลิ่นหอมหวานของโลหิตที่ไหลเวียนภายในเส้นเลือดใหญ่ตรงซอกคอขาวของหญิงสาวที่กำลังหลับตาพริ้ม ทำให้เขี้ยวงามค่อยๆ งอกยาวออกมา พร้อมที่จะดื่มด่ำกับรสชาติของโลหิตหวานหอม

     

    แวมไพร์หนุ่มรูปงามค่อยๆละเลียดใช้ลิ้นสากเลียไล้ตามซอกคอ ฝ่ามือหยาบหนาประคองคางเรียวของหญิงสาวเอาไว้แน่น หลังจากนั้น เขาจึงกัดซอกคอหญิงสาวเต็มแรงและดูดเลือดอย่างกระหาย

     

    พร้อมๆ กับภาพในสมองของแวมไพร์ปรากฎใบหน้างามของหญิงสาวคนนึง

    เธอคนนั้น คือ คนรักของเขาในอดีตก่อนที่เขาจะกลายมาเป็นแวมไพร์

     

    ภายในซอกตึกซึ่งเป็นมุมอับใจกลางกรุงโซล ไม่มีแม้แต่เสียงกรีดร้อง มีเพียงเสียงกระตุกร่างกายด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับดวงตาเริ่มเบิกโพล่งด้วยความตกใจสุดขีด และไม่กี่อึดใจ ร่างกายซีดเซียวของหญิงชั่วที่ลักลอบเป็นชู้กับชาวบ้านก็หยุดนิ่งไม่ไหวติง

     

    กลิ่นคาวเลือดหอมหวานคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ แต่ทว่า กลับไม่มีแม้กระทั่งเลือดสักหยดตกลงไหลสู่พื้นซีเมนต์ เมื่อฝ่ามือหนาปล่อยมือจากการโอบกอดและจับกุม ร่างซีดไร้สีเลือดก็ร่วงลงสู่พื้นเย็นเฉียบราวกับตุ๊กตาล้มลุก

     

    สายตาของแวมไพร์หนุ่มนามว่า ‘คิม จงอิน’ ยังคงมองไปที่ร่างไร้วิญญาณ พร้อมๆ กันนั้นน้ำใสๆ บริเวณหางตาของเขาก็เริ่มไหลอาบแก้ม ไหลลงเรื่อยๆ จนไปผสมกับหยดเลือดที่ยังคงค้างอยู่มุมริมฝีปาก

     

    จงอินยืนสงบนิ่งเพื่อไว้อาลัยให้กับหญิงสาวที่เขาเพิ่งพรากวิญญาณไปจากเธอ และไว้อาลัยให้กับการกระทำเพื่อตอบสนองต่อคำสาปจากบทลงโทษของพระเจ้า และเมื่อเขารู้สึกพึงพอใจกับการไว้อาลัยแล้วร่างสูงจึงค่อยๆ เลือนหายออกจากบริเวณนั้นอย่างไร้ร่องรอย โดยที่แวมไพร์หนุ่มหารู้ไม่ว่าการกระทำตั้งแต่ต้นจนจบนั้นอยู่ในสายตาของใครตนหนึ่งที่มองลงมาจากบนดาดฟ้า

     

    “เฮ้อ...คิดว่าคืนนี้จะได้พักแล้วเชียวนะ มีงานอีกจนได้” ชายหนุ่มในชุดสูทลำลองที่กำลังยืนรับลมและแสงจันทร์นั้นรำพึงรำพันกับตัวของเขาเอง ก่อนที่เจ้าตัวจะกางปีกสีดำสยายและบินลงมาจากดาดฟ้าเพื่อทำหน้าที่ในบทบาทของเขานั้นก็คือ ยมทูต

     

    .

    .

     

     

    ภายในคฤหาสน์หลังงามที่ไร้แสงจากหลอดไฟ มีเพียงแสงของพระจันทร์เต็มดวงที่ลอดผ่านหน้าต่างกระจกสไตล์โกธิคบานใหญ่เท่านั้น แต่ความเข้มและความกว้างของลำแสงนั้นมีพลังมากเพียงพอพอที่จะทำให้เห็นว่ามีชายหนุ่มที่สวมใส่สูทสีดำสวมทับเสื้อเชิ้ตสีขาวซึ่งตอนนี้ถูกปลดกระดุมออกจนหมดกำลังนั่งทิ้งร่างอยู่บนเก้าไม้แกะสลักตัวใหญ่ภายในห้องโถงโดยที่ไร้เงาของร่างกาย จงอินหลับตาลงด้วยจิตใจที่เหนื่อยอ่อนเหลือเกิน เขาไม่มีกะจิตกะใจที่จะทำอะไรทั้งสิ้นแม้แต่การเช็ดคราบเลือดของหญิงสาวที่ยังคงค้างอยู่บนมุมปาก

     

    การกระทำที่เพิ่งผ่านไปไม่นานนั้น ใช่ว่าเขาจะอยากฆ่าคนอื่นด้วยการดูดเลือด แต่คำสาปที่เปรียบเสมือนกรงขังนั่นต่างหากที่บังคับให้เขาทำ คำสาปที่เกิดจากผลของการทำบาปกรรมของเขาเอง

     

    เมื่อเนิ่นนานมาแล้ว น่าจะราวๆ 1200 ปีก่อนเห็นจะได้ เขาจดจำเรื่องจำนวนปีไม่ได้หรอกเพราะมันผ่านมานานเหลือเกิน เขาในตอนนั้นกำลังดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ ถูกมหาเสนาบดีชั่ววางแผนการหลอกใช้ให้เขาหลงผิดคิดว่าภรรยาของเขาปันใจให้กับรองแม่ทัพซึ่งเป็นลูกน้องคนสนิท ด้วยความโกรธและแรงหึงหวง เขาลงมือฆ่าภรรยาอย่างเลือดเย็นโดยไม่ฟังเสียงร้องขอชีวิต แต่เมื่อความจริงปรากฎในภายหลัง มันก็สายเกินไปเสียแล้ว

     

    ด้วยความรู้สึกผิดต่อบาปที่เขาก่ออย่างสุดซึ้ง ก่อนที่เขาลงมือจะเชือดคอของตนเพื่อฆ่าตัวตายนั้น จงอินอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อขอให้เขาลืมเหตุการณ์และภรรยาของเขาให้หมดสิ้นในชาติหน้าเมื่อเขาได้ไปเกิดใหม่

    แต่ทว่าบาปกรรมที่เขาก่อ ทำให้นอกจากที่พระเจ้าจะไม่ฟังคำร้องขอแล้ว ยังประทานคำสาปเพื่อเป็นบทลงโทษอันแสนเจ็บปวดแก่เขาด้วย

     

     

    ‘นอกจากเจ้าจะไม่สามารถตายได้แล้ว เจ้าจะยังคงมีชีวิตที่เป็นอมตะชั่วนิรันดร์ในฐานะวิญญาณที่หิวกระหายเลือด นั่นก็เพื่อให้เจ้าสำนึกบาปกรรม แต่นั่นยังคงง่ายดายเกินไป ทุกๆ ค่ำคืนพระจันทร์เต็มดวง เจ้าจะไม่สามารถควบคุมความต้องการกระหายเลือดได้ และในขณะที่เจ้ากำลังดูดดื่มเลือดนั้น ใบหน้าของภรรยาที่เจ้ารักจะปรากฎอยู่ในมโนภาพทุกครั้งไป

     

    แต่ข้าจะให้ทางเลือกแก่เจ้าด้วยการให้ความสามารถพิเศษในการอ่านจิตใจและหยั่งรู้อดีตของมนุษย์ เพื่อที่เจ้าจะสามารถเลือกเหยื่อที่มีการกระทำชั่วช้าได้

     

    และหนทางสุดท้ายที่เจ้าจะหลุดพ้นจากการกระหายเลือดได้ คือ เมื่อเจ้าได้พบเจอคนที่เจ้ารักอย่างสุดหัวใจอีกครั้ง

     

     

    เมื่อสิ้นสุรเสียงของพระเจ้าอันดังกึกก้องและทรงอำนาจ ทันใดนั้นจากมนุษย์ผู้หูเบาจึงกลายเป็นแวมไพร์ผู้เป็นอมตะนิรันดร์กาล พร้อมๆ กับคำสาปอันโหดร้ายได้กลายเป็นชนักติดหลัง

    วันเวลาดำเนินผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน ราวกับจะตอกย้ำความทรมานจากคำสาปที่เขาได้รับ แต่นั่นก็คงสาสมกับบาปที่เขาได้ทำลงไปแล้ว

     

    แต่เวลาก็มีประโยชน์ที่จะช่วยเยียวยาและเป็นเหมือนสัจธรรมให้เขาได้ตระหนักและเกิดการเรียนรู้ว่าการที่เขาปล่อยมือ ปล่อยให้ภรรยาที่ตายไปกลายเป็นอดีต กลายเป็นคนที่เขาเคยรัก กลายเป็นความทรงจำดีๆ ที่เขาเคยมี นั่นคือหนทางที่จะบรรเทาความทรมานและเจ็บปวดลงไปได้บ้าง

     

    จู่ๆ ในขณะที่จงอินกำลังหลับตาพริ้มผ่อนคลายอารมณ์ทั้งหลายเพื่อพักผ่อนและเสียงเพลงในท่วงทำนองบัลลาดก็ถูกเปิดคลอไปด้วยนั้น ภาพใบหน้าของชายตนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นยมทูตปรากฎขึ้นมาในมโนภาพของเขา แวมไพร์หนุ่มไม่ใช่ไม่รู้ว่าเขาถูกเฝ้ามองจากบนดาดฟ้าในทุกคืนพระจันทร์เต็มดวง และนั่นทำให้จิตใจอันแสนเย็นชาเริ่มสับสนขึ้นมา อาจเป็นเพราะว่าใบหน้าหวานของยมทูตตนนั้นละม้ายคล้ายคลึงกับอดีตภรรยาของเขาก็เป็นได้ ทำให้หัวใจของเขากลับมาเต้นระรัวอีกครั้ง

     

    ในคืนพระจันทร์เต็มดวงครั้งหน้า ขอเจอหน้าสักหน่อยเถอะ อยากจะถามเหมือนกันว่านอกจากจะรับวิญญาณที่ถูกเขาดูดเลือดจนตายแล้ว เหตุผลอะไรที่ยังคอยเฝ้ามองทุกครั้งในคืนที่เขาลงมือมาเป็นเวลาหลายสิบปีด้วย

     

    .

    .

     

     

    “ถ้าแวมไพร์ตนนั้นไม่อยากที่จะดูดเลือดของมนุษย์ แล้วเพราะอะไรที่ทำให้เขายังฝืนใจทำกันล่ะ” ภาพที่แวมไพร์นั่นร้องไห้หลังจากที่ดูดเลือดหญิงสาวคนนั้นจนหมดตัวที่ยังไม่สามารถละออกจากสมองได้ ยมทูตนามว่า “โด คยองซู” ส่งวิญญาณหญิงสาวที่ถูกแวมไพร์ดูดเลือดจนตายไปสู่หนทางนรกเพื่อชดใช้กรรมที่เธอคนนั้นนอกใจสามีตนเองหลังจากนั้นจึงกลับมาพักผ่อนที่บ้านหลังใหญ่ของเขา

     

    ตลอดเวลาหลายสิบปีที่เขาถูกเลื่อนตำแหน่งและย้ายมาเป็นหัวหน้ายมทูตที่เขตตะวันตก คยองซูก็รับรู้และคอยสังเกตพฤติกรรมแบบห่างๆ ของแวมไพร์ตนนั้นมาตลอด วันเวลาที่เดินผ่านไป วันแล้ววันเล่าที่เขาคอยเฝ้าดูนั้นมีพลังมากพอที่จะทำให้เขาเกิดความสงสาร จนในที่สุด เขาก็รู้ตัวเองมาตลอดว่าเขาหลงรักแวมไพร์หนุ่มตนนั้นไปแล้ว และคยองซูคิดว่าเขาน่าจะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อช่วยเหลือแวมไพร์ตนนั้นให้ได้

     

    .

    .

     

     

    Seoul, 02:12 AM

     

    คืนวันพระจันทร์เต็มดวงในครั้งต่อมา

     

    เป็นดังเช่นในทุกครั้ง จงอินมักจะหาเหยื่อซึ่งเป็นมนุษย์หญิงสาวจากสถานที่อโคจรในใจกลางกรุงโซล เหตุผลที่เขาเลือกเหยื่อเป็นมนุษย์ผู้หญิงเพราะว่า สามารถชักจูง ควบคุมและจัดการง่ายกว่าเหยื่อมนุษย์ผู้ชาย ซึ่งส่วนมากเหยื่อที่เขาจัดการนั้นมักจะเป็นฝ่ายวิ่งเข้าหาเขาเองโดยที่ไม่ต้องไปออกแรงให้เสียเวลาเลยด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะรูปลักษณ์ที่มีเสน่ห์ดึงดูด ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเล การแต่งตัวตามยุคสมัยนิยมที่ดูดี และความร่ำรวยของเขาก็เป็นได้

     

    ในคราวนี้ เหยื่อหญิงสาวที่เขากำลังพาออกจากสถานที่อโคจรเพื่อที่จะไปยังซอกตึกลับตาและปลอดจากพวกมนุษย์นั้นสวยหยาดเยิ้มมากกว่าทุกคนที่เขาเคยเจอ แถมจงอินยังสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่ถูกปกปิดเอาไว้และสัมผัสถึงลมหายใจที่เย็นผิดปกติ ซึ่งเขาคิดว่าไม่น่าจะใช้คนธรรมดาๆ ซะแล้ว แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเขาก็ขอลองเสี่ยงดูสักครั้ง

     

    น่าแปลก ในครั้งนี้ไม่มีแม้แต่กลิ่นหรือพลังงานให้เขารับรู้ได้ว่ายมทูตตนนั้นอยู่ที่นี่ หรือว่าจะไม่มานะ?

     

    ยังไม่ทันที่จงอินจะคิดอะไรให้มากไปกว่านี้ เพราะหญิงสาวเป็นฝ่ายเริ่มรุกด้วยการโอบรอบคอและประกบจูบแวมไพร์หนุ่มอย่างดูดดื่ม แต่ก็ใช่ว่าผู้หญิงในชุดเดรสรัดรูปโชว์เนินอกขาวเนียนและผ่าเว้าด้านข้างจะช่ำชองในการจูบซะทีเดียว เพราะเจ้าตัวยังมีทักษะในการแลกลิ้นกับฝ่ายอย่างไม่ชำนาญพอ

     

    เมื่อจูบจนพอใจและเริ่มหายใจลำบาก หญิงสาวใช้มือเรียวเล็กเพื่อผละออกจากใบหน้าหล่อเหลาเบาๆ แต่ก็ยังมิวายช้อนตามองด้วยสายตาเว้าวอนเพื่อยั่วยวนชายหนุ่ม จงอินรู้สึกแปลกใจในอารมณ์ของตัวเอง เพราะว่ารู้สึกเหมือนถูกดึงดูดให้คอยแต่จะพะว้าพะวนกับการสัมผัสตามร่างกายและซอกคอหอมละมุนมากกว่าครั้งไหนๆ

     

    แวมไพร์หนุ่มคิดว่าคงถึงเวลาอันสมควรที่จะดื่มด่ำรสชาติหอมหวานของโลหิตจากหญิงสาวแล้ว เขาเริ่มโอบกอดและรวบรัดร่างบางของหญิงสาวให้แน่นขึ้นกว่าเดิม จมูกโด่งมนและริมฝีปากหยักหนาค่อยๆละเลียดไล้พรมสัมผัสกับซอกคอขาวเนียนละเอียด เขี้ยวงามแวววับเริ่มงอกยาวขึ้นเพื่อที่จะใช้ในการดูดเลือด ทันใดนั้น รูปร่างของหญิงสาวก็ค่อยๆ เปลี่ยน จากผมยาวสลวยสีดำเงางาม ค่อยๆ ถดสั้นลงและแปรเปลี่ยนเป็นทรงผมสั้นแบบผู้ชาย ชุดเดรสรัดรูปแปรเปลี่ยนเป็นชุดสูทแบบลำลอง และในคราวนี้แวมไพร์ผู้กำลังกระหายเลือดตามคำสาปก็สัมผัสถึงกลิ่นกายและพลังของยมทูตตนนั้น ยมทูตที่คอยเฝ้ามองเขามาตลอด และตอนนี้ยมทูตหนุ่มก็กำลังอยู่ในอ้อมแขนแกร่งของเขาเอง เมื่อเป็นเช่นนั้นจงอินจึงผลักยมทูตตนนี้ออกไปจนเจ้าตัวกระแทกกับตัวตึกอย่างแรงด้วยอารมณ์โกรธของเขา

     

    “ทำไมคุณถึงปลอมตัวมา มีเหตุผลอะไร ยมทูต” น้ำเสียงขุ่นและต่ำบ่งบอกถึงอารมณ์ที่ไม่ดีนั้นลอดออกมาจากการขบฟันแน่นของแวมไพร์

     

    “เพราะผมอยากรู้ว่าทำไมแวมไพร์อย่างคุณถึงฝืนใจและร้องไห้ทุกครั้งในการดูดเลือดผู้หญิงเหล่านั้น”

     

    “ไม่ใช่เรื่องของคุณ!”

     

    “อ๋อ...ผมคิดว่าผมรู้แล้วล่ะ คุณจงอิน” คยองซูสบสายตากับแวมไพร์อย่างไม่สะทกสะท้าน แถมยังตีสีหน้ายียวนกวนประสาทจนก่ออารมณ์เดือดดาลให้กับอีกฝ่าย

     

    “มันไม่ใช่กงการอะไรของยมทูต!”

     

    “เพราะบาปกรรมที่คุณหูเบาจนเผลอพลั้งฆ่าภรรยาตัวเองตายน่ะเหรอ คำสาปและบทลงโทษจากพระเจ้าคงทำให้คุณทรมานน่าดูเลยสินะ” ด้วยอำนาจพิเศษที่สามารถล่วงรู้บาปกรรมในอดีต ยมทูตหนุ่มหน้าหวานแสยะยิ้มทำราวกับว่าตัวเองเป็นผู้ชนะในสงครามประสาท ทั้งๆ ที่ในใจลึกๆ อยากจะบอกเหตุผลที่แท้จริงออกไปว่าเพราะอะไรเขาถึงได้ปลอมตัวเป็นหญิงสาวและมาเข้าใกล้แวมไพร์ตนนี้

     

    “คุณเองก็ไม่ต่างกันหรอก คยองซู บาปที่ทำให้ภรรยาในอดีตชาติฆ่าตัวตายเพราะการนอกใจของตัวเองจนต้องวิงวอนขอพระเจ้ามาเป็นยมทูตเพื่อตามหาวิญญาณภรรยาด้วยความสำนึกผิดน่ะเหรอ แถมยังถูกลงโทษด้วยการถูกลบความทรงจำออกไปจนหมดสิ้น ช่างน่าสมเพชเสียจริง” คราวนี้เป็นฝ่ายแวมไพร์เอาชนะยมทูตได้ในสงครามประสาท แต่เจ้าตัวก็หารู้ไม่ว่าดันไปพูดจี้ปมอดีต ทำให้ความทรงจำในคราวที่ยังเป็นมนุษย์ของยมทูตที่ถูกลบไปโดยฝีมือพระเจ้า กลับคืนมาอีกครั้ง

     

    คยองซูทรุดลงกับพื้นด้วยท่าทีที่หมดแรงทันที เขาคุกเข่าพร้อมกับเอามือกุมศีรษะด้วยความเจ็บปวด ภาพความทรงจำในอดีตชาติไหลย้อนคืนมาราวกับกรอม้วนฟิลม์ภาพยนตร์ ภาพที่เขาวิงวอนต่อพระเจ้าทั้งน้ำตาก่อนฆ่าตัวตาย ภาพที่เขากำลังถูกด่ากราดโดยพ่อแม่ของฝ่ายหญิงในงานเคารพศพ ภาพที่เขากำลังโอบกอดหญิงโสเภณีในโรงน้ำชาเพราะต้องการประชดชีวิต และภาพที่เขากำลังทำหน้าบูดบึ้งในงานแต่งงานที่เกิดจากการคลุมถุงชน ภาพความทรงจำเหล่านั้นทำให้เขารู้ว่าในที่สุดเขาเคยเป็นใครในอดีต น้ำใสๆ เอ่อท้นจากดวงตากลมโตและไหลลงอาบแก้มตอบ นี่คือครั้งแรกที่เขาร้องไห้ในฐานะยมทูต

     

    เมื่อเห็นว่ายมทูตหน้าหวานกำลังอ่อนแอ ความสำนึกผิดที่เผลอพูดจี้ปมในอดีตของยมทูตร่างเล็กด้วยอารมณ์โกรธเพราะถูกเจ้าตัวขัดขวาง ทำให้จงอินลืมความกระหายเลือดเพราะคำสาปจนหมดสิ้น เขาค่อยๆ ประคองร่างบางให้ยืนหยัดลุกขึ้นจนเจ้าตัวหันหน้ามาสบสายตากลับเขาอีกครั้ง แต่คราวนี้มีความโกรธแสดงออกมาผ่านสายแข็งกร้าว

     

    “งั้นก็ถือว่าหายกัน ต่อไปนี้ผมจะไม่คอยมองให้คุณรำคาญอีก เชิญคุณดูดเลือดให้สบายใจเถอะ จงอิน” น้ำเสียงเรียบและนิ่งสงบลอดออกมาจากริมฝีปากรูปหัวใจของคยองซู

     

    แวมไพร์หนุ่มไม่คาดคิดว่าจะได้ยินน้ำเสียงและได้เห็นท่าทีที่แสนเย็นชาจากยมทูตหน้าหวานตนนี้ แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้รู้สึกเจ็บปวดกับคำพูดประโยคนี้ได้ ราวกับจะต้องพรากจากและสูญเสียคนที่รักไปอีกครั้ง คยองซูที่กำลังกางปีกสีดำที่ถูกซ่อนตรงแผ่นหลังออกเพื่อที่จะออกไปจากที่นี้ เพราะเขาโกรธและเริ่มเกลียดแวมไพร์ตนนี้แล้ว ถึงในใจลึกๆ จะยังรักอยู่ก็ตาม

     

    แต่ใช่ว่าคยองซูจะสามารถหนีออกไปจากซอกตึกและหนีออกจากแวมไพร์หนุ่มร่างสูงนั่นได้ง่ายๆ เพราะว่าเขาถูกจงอินพามายังห้องที่เขาไม่คุ้นเคยด้วยพลังการหายตัวอย่างรวดเร็ว

     

     

     

    —————————

     

    CUT

    - N C –

    จิ้มลิงค์เพื่ออ่านได้ที่ด้านล่างตรงช่วง Talk Talk

     

    —————————




    แสงแดดของดวงตะวันยามสายส่องเข้ามาทำให้เปลือกตาสีมุกลืมขึ้นอย่างช้าๆ และขยับขึ้นลงเพื่อปรับโฟกัส สติสัมปชัญญะของคยองซูกลับคืนมาอย่างครบถ้วนแล้ว ดวงตากลมโตสำรวจร่างกายที่ถูกปกคลุมด้วยผ้าห่มหนานุ่ม ทำให้ร่างที่เปลือยเปล่ารู้สึกอบอุ่นขึ้นมาบ้าง และเมื่อหันมองไปที่ข้างๆ บนเตียงก็พบกับแวมไพร์หนุ่มที่กำลังนอนหันข้างมาทางเขาและใช้ลำแขนแกร่งเท้าคางประคองใบหน้า ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลน่าหลงไหลกำลังมองใบหน้าของร่างบางที่เพิ่งจะตื่นนอน จงอินส่งรอยยิ้มกว้างที่สวยงามราวกับภาพวาดเพื่อเรียกความขวยเขินจากคยองซู เจ้าตัวนั้นหารู้ไม่ว่าใบหน้าหวานที่กำลังขึ้นสีอมชมพูนั้นเป็นใบหน้าที่น่ารักที่สุดในโลกสำหรับแวมไพร์หนุ่มอย่างเขา

     

    ทั้งคู่สบสายตากันอย่างเนิ่นนาน ไม่มีฝ่ายใดพูดอะไรออกมา แต่พวกเขาทั้งคู่ก็ปล่อยให้ความรู้สึกที่อยู่ภายในใจมานานหลายสิบปีสื่อสารออกมาผ่านแววตาอย่างเงียบๆ

     

    “ผมคิดว่า…ในคืนพระจันทร์เต็มดวงครั้งต่อไป ผมคงไม่กระหายเลือดแล้วล่ะ” เสียงทุ้มเอื้อนเอ่ยประโยคคำพูดราวกับท่วงทำนองของเสียงเพลงไพเราะ

     

    “ทำไมล่ะครับ?” ยมทูตที่นอนมองใบหน้าคมคายของแวมไพร์หนุ่มอย่างหลงไหลเอ่ยปากถามอย่างสงสัยใคร่รู้

     

    “ผมคงกระหายตัวคุณแทนละมั้งครับ คยองซู”

     

     

     


    When speechless, let body do the talk.”

    [เมื่อคุณพูดอะไรไม่ออก ปล่อยให้ร่างกายพูดแทน]

     

    - Toba Beta

     

     

     

     

    - The End -

     

     

     


    Talk Talk

     

    มาแล้วตามการรอคอยของคนอ่าน มาแล้ววววววววว (หัวเราะ หึหึ ในลำคอ และยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย)

    เราให้คนอ่านตัดสินเอาเองล่ะกันนะว่า OS นี้บาปพอรึไม่

    ส่วนตัวเราเองนั้นไม่ว่าจะน้ำมนต์หรือบทสวดก็ไม่สามารถชำระล้างบาปหนาให้ออกจากศีรษะของเราได้ได้

    …รู้สึกว่านรกจะกวักมือเรียกแล้วแหละ

     

    อุ้ย! อะไรหล่นอ่ะ http://www.tunwalai.com/story/194913/os-monster?page=1

     

    แวะไปกรีดร้องได้ที่ #รักแห่งไคซู ออนทวิตเตอร์นะจ้ะ จุบุ จ๊วบบบบ

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in