เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My USA DiaryJust plus
Chapter 2 : August
  • Chapter 2 : August


    Arrival


    ตอนมาถึงนิวยอร์กเหล่านักเรียนแลกเปลี่ยนชาวไทยนั่งรถบัสแยกไปตามรัฐที่โฮสต์ตัวเองอยู่และไปพักที่โรงแรมพร้อมกับนักแลกเปลี่ยนจากชาติอื่นที่จะไปรัฐเดียวกัน มันเป็นครั้งแรกที่ทำให้ฉันได้เจอนักเรียนแลกเปลี่ยนจากประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจากเยอรมันนี อิตาลี​ จีน อินโดนีเซีย พวกเขาเฟรนลี่มาก จริงๆนักเรียนแลกเปลี่ยนทุกคนก็พร้อมจะคุยกับเราอยู่แล้ว การผ่านการสัมภาษณ์โครงการมาแล้วหมายถึงทุกคนที่ได้มาที่นี่ต้องเป็นคนที่กล้ารับประสบการณ์ใหม่ๆอยู่ระดับนึงและพร้อมสร้างเพื่อนใหม่ตลอดเวลา ในแอเรียทีม (area team - กลุ่มนักเรียนแลกเปลี่ยนที่บ้านโฮสต์อยู่ใกล้กันและจะมีโอกาสนัดเจอกันบ่อยๆ) ของฉันมีนักเรียนแลกเปลี่ยนไทยอีกแค่คนเดียวชื่อว่าพิม แต่เราบ้านห่างกันเลยจะมีโอกาสเจอกันเฉพาะตอนนัดเจอนักเรียนแลกเปลี่ยนของโครงการ นอกจากนั้นในแอเรียทีมก็มีคนเอเชียอีกแค่สองคนคือผู้หญิงจากอินโดนีเซียและผู้ชายจีนขี้อายคนหนึ่ง คนเอเชียมักจะเริ่มสนิทกันเองก่อนแม้เราจะไม่ได้พูดภาษาแม่เดียวกัน อาจเป็นเพราะวัฒนธรรมเราใกล้เคียงกันมากกว่า ส่วนฝั่งยุโรปฉันก็เริ่มสนิทกับคาร่าและไมค์ก้า สาวจากเยอรมันนี ที่บ้านโฮสต์อยู่ใกล้ฉันทั้งคู่จึงมีโอกาสได้เจอกันหลังจากนี้บ่อย

    วันรุ่งขึ้นหลังมีการปฐมนิเทศอธิบายถึงข้อการปฎิบัติตัวการปรับตัวต่างๆแล้ว โฮสต์ก็ถยอยเอารถมารับ ตอนนั้นรู้สึกเหมือนไปโรงเรียนวันแรกแล้วพ่อแม่มารับกลับบ้านต่างกันคือฉันไม่รู้จักพ่อแม่มาก่อนและฉันก็ไม่คุ้นกับทั้งรถทั้งบ้านและทุกอย่าง โฮสต์ของฉันเอารถคันใหญ่มารับฉันโดยมีแค่โฮสต์มัมและแด๊ดมารับ คนอื่นรออยู่ที่บ้าน ตอนแรกฉันก็เกร็งๆเพราะห่างเพื่อนๆแล้ว ถึงเวลาต้องอยู่ตัวคนเดียวจริงๆ แต่ฉันก็ตั้งสติและพยายามสนทนาโฮสต์ด้วยมารยาทอันงามของเด็กไทย แต่จริงๆฉันก็ค่อยๆเรียนรู้ว่าโฮสต์ไม่ได้แคร์มารยาทของฉันขนาดนั้น พวกเขาพูดจาอะไรตรงไปตรงมามากซึ่งตอนแรกฉันก็ต้องปรับตัวตรงนี้นิดหน่อย บนรถระหว่างกลับบ้านโฮสต์ก็ชวนคุยไปเรื่อย เช่น "What do you think of Pennsylvania? คิดว่าเพนซิลเวเนียเป็นเมืองยังไง"​ ฉันก็ตอบไปว่า "At first, I thought it would have vampires, but that's Transylvania ตอนแรกนึกว่าเป็นทรานซิลเวเนียที่มีแวมไพร์ท" เขาก็หัวเราะกัน สักพักพลัสก็ขอถามคำถามจาก Questionaire ซึ่งเป็นลิสต์คำถามที่โครงการให้มาคุยกับโฮสต์เพื่อทำให้กฏเกณฑ์ความคาดหวังทุกอย่างชัดเจน จะได้ไม่เกิดเรื่องทะเลาะกันทีหลัง มีคำถามที่ควรคุยกันก่อนเช่น ให้อาบน้ำตอนกี่โมงได้บ้างกี่ครั้งต่อวัน ให้เรียกโฮสต์ตามชื่อหรือเรียกมัมแด๊ดเลย เพราะแต่ละครอบครัวก็จะมีกฏเกณฑ์มีอะไรต่างกัน โฮสต์ตอบมาว่า ครอบครัวเราค่อนข้างชิวๆอยู่ ทำอะไรก็ทำเถอะแค่อย่ารบกวนคนอื่นมาก จะเรียกเขาว่าอะไรก็ได้เลย (ฉันเลือกเรียนมัมแด๊ดแหละ)​ ส่วนเวลาอยู่ในบ้านแค่ไม่มีปาร์ตี้หนักไปก็พอแล้ว ถ้าจะชวนเพื่อนมาบ้านก็แค่บอกก่อน ฉันพยักหน้างึกๆแล้วจดคำตอบลงในโน๊ตโทรศัพท์​จะได้ไม่ลืม


    Light of Fireflies


    และแล้วก็ถึงบ้านบนเนินเขาที่แสนสงบ เสียงสุนัขเห่ามาแต่ไกลจนสะดุ้ง พวกมันจ้องมาจากกระจกด้วยความตื่นเต้น ฉันค่อยๆเปิดประตูเข้าบ้านตามโฮสต์ไปอย่างระมัดระวัง สุนัขทั้งสองตัวใหญ่มาก สูงเท่าเอวฉันเลย ตอนแรกก็ตกใจหน่อยๆ แต่โฮสต์บอกว่ามันไม่กัดหรอก พวกมันแค่วิ่งเข้ามาดมๆด้วยความสงสัยเท่านั้น ฉันลูบหัวมันอย่างเอนดูก่อนจะยกกระเป๋าตามโฮสต์ไปดูห้องของฉัน มันเคยเป็นห้องของจอย พี่สาวคนโตของบ้านซึ่งย้ายไปอยู่หอที่มหาวิทยาลัยแล้ว มันเป็นห้องเล็กๆ ไม่รก มีเตียงและโต๊ะให้ เพดานด้านตรงข้ามกับตู้เสื้อผ้ามีหน้าต่างที่เปิดให้เห็นทุ่งหญ้าบนเนิน และมีป่าเขาล้อมตรงริมเนิน ฉันไม่เคยอยู่ติดธรรมชาติขนาดนี้มาก่อนเพราะอยู่ใกล้กรุงเทพมาทั้งชีวิต มันสงบมาก

    ระหว่างที่ฉันจัดของอยู่ก็มีเสียงเคาะที่ประตู มีเด็กน้อยผิวสี(แม่เขาคงเป็นคนผิวสีด้วยเพราะโฮสต์บราเตอร์ซึ่งเป็นพ่อเขาและคนอื่นในครอบครัวผิวขาวกันหมด)ยืนอยู่หน้าประตูด้วยรองยิ้มกว้าง เขาเดินเข้ามาในห้องของฉันโดยไม่ขอก่อน เพื่อจะชวนฉันคุย ฉันไม่แน่ใจว่าต้องทำตัวยังไงกับเด็ก จริงๆที่ไทยฉันมีน้องสาวอายุ 6 ขวบเท่าเขาเลย แต่เพราะเรียนหนักและอิจฉาน้องเพราะพ่อชอบเอาไปเปรียบเทียบ ฉันจึงละเลยที่จะสนใจน้อง สุดท้ายก็แทบไม่ได้คุยกันเลย กลับมาถึงตอนนี้ฉันนั่งคุยเรื่องแมลงกับเจ้าเด็กคนนี้อยู่สักพักอย่างเกร็งสุดๆ แล้วจู่ๆเขาก็ถามถึงหิ่งห้อย “You’ve never seen a firefly!? พี่ไม่เคยเห็นหิ่งห้อยมาก่อนหรอ” เด็กน้อยถามด้วยตาโตสีน้ำตาลเข้ม ฉันส่ายหน้าอย่างเหนี่อยๆ อีเด็กนี่ เมื่อไหร่จะไป เดินทางตั้งนานวันนี้ ตอนนี้ก็มืดแล้ว แต่แล้วแอดเดลเล่ก็ลุกขึ้นอย่างตระตือรือร้น เขาดึงมือฉันให้ลุกขึ้นตาม “Come! Come! มานี่สิ มานี่สิ” เขากวักมือเรียกด้วยสีหน้าตื่นเต้น ฉันเริ่มกังวลเมื่อเขาดึงฉันให้เดินไปที่หลังบ้านและตรงไปที่ป่ามืดๆ ตอนนี้ท้องฟ้าใกล้มืดสนิทแล้ว ฉันจะโดนเด็กเอาไปฆ่าทิ้งในป่าหรือเปล่าเนี่ย แต่แล้วเขาก็วิ่งเข้าไปก่อนหน้าฉัน ทำให้ฉันต้องเป็นคนวิ่งตามเขาไปอย่างเป็นห่วง และแล้วเขาก็หยิบอะไรบนพื้นแล้วยื่นมือมาที่ฉัน มันคือหิ่งห้อยที่กำลังเรืองแสงเล็กๆ รอบๆตัวในใกล้โซนป่ามืดๆนั้นมีแสงเล็กๆกระจายอยู่เหมือนดาวขยับได้ ฉันอมยิ้มเมื่อได้เห็นหิ่งห้อยเป็นครั้งแรก

    แต่ความปลื้มปิติของฉันก็หายไปอย่างรวดเร็วเมื่อน้องแอดเดลเล่บีบหิ่งห้อยในมือแรงไปจนมันหยุดขยับ ฉันนี่แทบกรี๊ด ฉันกลัวเวลาแมลงตายมากๆ ขนาดฆ่ายุงสักตัวยังไม่เคยทำตั้งแต่เด็ก โชคดีที่ไม่นานหลังจากนั้นโฮสต์ก็ออกมาตามพวกเราไปกินข้าวเย็นในบ้าน แล้วเขาก็บอกฉันว่าถ้าแอดเดลเล่เข้าไปกวนในห้องมากๆก็ไล่ออกมาได้เลยไม่ต้องเกรงใจ แต่หลังจากนั้นฉันก็ให้แอดเดเล่เข้ามาเล่นในห้องเป็นบางครั้งแล้วเราก็เริ่มสนิทกัน


    American family


    หลังจากวันนั้นฉันมีเวลาทำความรู้จักกับทุกคนในบ้านมากขึ้นเพราะเป็นช่วงไม่กี่วันก่อนเปิดเทอม ทุกคนในครอบครัวใจดีกับฉันมาก ในช่วงแรกๆ โฮสต์มัมกับแด๊ดช่วยฉันจัดการเรื่องต่างๆเช่นสอนทำโน้นนี่ในบ้าน วิธีใช้ห้องน้ำ ห้องครัว ซักผ้า ช่วยหาซื้อซิมโทรศัพท์ และเตรียมทำเรื่องเข้าเรียน เขาไม่เคยว่าอะไรฉันเลย ฉันก็เคยถามตามมารยาทนะว่ามีอะไรอยากให้แก้ไขบอกได้นะ โฮสต์แด๊ดก็ตอบติดตลกมาว่า เธอเรียบร้อยเกินไป มาพูดขอโทษขอบคุณตลอดเวลาอย่างนี้ได้ยังไง ฮ่าฮ่า

    ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวที่ใหญ่อยู่ คนที่อายุใกล้ฉันสุดในบ้านคือเอลลี่ซึ่งอยู่ในวงดุริยางค์ของโรงเรียนและมักไปซ้อมบ่อยๆ บ้านนี้รักดนตรีทั้งบ้านและมักได้ยินเสียงเพลงในบ้านเสมอ มันมักดังมาจากระบบผู้ช่วยเสมือนหรือลำโพงที่พูดคุยด้วยได้คือ Alexa นอกจากนั้นมันยังสามารถใช้สั่งเปิดปิดไฟตั้งนาฬิกาปลุกได้อีกด้วย เป็นเทคโนโลยีที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนแต่เมื่อผ่านไปไม่นานก็ชินกับการสั่งใช้มัน นอกจากนั้นในบ้านก็มีไทริน พี่ชายที่โตแล้วของเอลลี่ซึ่งเป็นพ่อของแอดเดลเล่นั่นแหละ แต่เขามักอยู่ในห้องหรือทำงานดึกจึงไม่ค่อยมีโอกาสคุย โฮสต์แด๊ดก็เช่นกันเพราะทำงานเป็นผู้บริหารร้านขายของชำชื่อดังแห่งหนึ่ง แต่เขามักกลับบ้านมาทันทำอาหารเย็น เขาเป็นคนชอบทำอาหารมากๆ ต่างจากโฮสต์มัมซึ่งไม่ค่อยชอบลงมือทำอะไรเท่าไหร่ โฮสต์มัมเป็นนักจิตวิทยาและเป็นคนที่ฉันรู้สึกสบายใจที่จะคุยด้วยมากสุดในบ้านเพราะเขาใจดีมาก และแน่นอนแอดเดลเล่ก็เข้ามาเล่นกับฉันบ่อยมากจนบางทีฉันรำคาญ ฉันเคยทำให้เขาร้องไห้ด้วยเพราะฉันไม่ยอมเล่นด้วย ฉันนึกว่าจะโดนโฮสต์ว่าที่ทำเขาร้องไห้ซะแล้วแต่โฮสต์กลับเป็นคนมาบอกฉันว่าฉันทำถูกแล้วที่ไม่ยอมเขา เพราะเด็กต้องรู้จักฝึกกาลเทศะยอมทุกอย่างไม่ได้ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เข้ามาขอโทษฉันด้วยตัวเอง การได้เจอเขาทำให้ฉันที่เคยคิดว่าตัวเองเกลียดเด็กก็เริ่มมีความเข้าใจความไร้เดียงสาของพวกเขามากขึ้น และคนที่ฉันสนิทที่สุดในบ้านก็กลายเป็นแอดเดลเล่นั่นเอง เด็กที่ชอบมาเคาะประตูชวนฉันไปเล่นไร้สาระ

    ในครอบครัวนี้มักจะมีกิจกรรมให้ทำร่วมกันบ่อยๆเช่นเล่นบอร์ดเกมซึ่งฉันก็ชอบมาก​ ไปดูพาเหรด​โดยการขับรถไปดูในเมืองใกล้ๆ​ และดูหนังร่วมกันที่ห้องนั่งเล่น

    ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังอดรู้สึกเหงาๆไม่ได้ เพราะถึงแม้ทุกคนจะพร้อมต้อนรับฉันแต่ฉันรู้สึกได้ว่าทุกคนสนิทกันเองมากกว่าและบางทีก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับฉันดีเช่นตอนกินข้าวเย็นด้วยกัน ฉันยังคงต้องใช้เวลาปรับตัวเพราะยังพูดไม่ค่อยทันบ้างฟังไม่ทันบ้าง ฉันเรียนพิเศษภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็ก แต่พอมาเจอภาษาอังกฤษที่เขาใช้จริงๆแล้วก็พบว่ามันไวมากและบางทีก็มีการใช้สำนวนหรือศัพท์ท้องถิ่นอีก​ บางครั้งฉันเลยเลือกจะนั่งอยู่ในห้องและจดไดอารี่เงียบๆ​ หรือคุยแชทกับเพื่อนนักเรียนแลกเปลี่ยนคนอื่น​

    ในเวลาที่ฉันเหนื่อยที่จะต้องแปลภาษาอังกฤษในสมองตลอดเวลาฉันก็ยังพอมีเพื่อนให้อุ่นใจอยู่บ้าง เจ้าสุนัขสองตัวที่ตัวใหญ่เท่าเอวฉันมันมักวิ่งมาทักทายฉันทุกครั้งที่ฉันเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น มันเป็นสุนัขแก่เพศเมียทั้งคู่ชื่อนิมซี่กับรูบี้ พวกมันขี้อ้อนมากและบางทีโฮสต์ก็ให้ฉันกับแอดเดลเล่พามันออกไปเล่นในทุ่งหลังบ้านได้ ฉันชอบทุ่งหญ้าหลังบ้านมาก นอกจากท้องหญ้าที่คลุมเนินเขาแสนสงบแล้ว ยังมีพื้นที่เล็กๆสำหรับปลูกผักสวนครัวไว้ใช้เอง และบ้านไก่ที่ใหญ่พอให้พวกมันเดินเล่นได้สบายๆ ฉันไม่มีหน้าที่ช่วยเก็บไข่หรือปลูกผักแต่ฉันก็เคยขอช่วยดูเพราะไม่เคยทำมาก่อน ไก่จะวางไข่ลงในที่ของมันแล้วเราแค่ไปเก็บ ง่ายมากๆ นอกจากไก่สุนัขและแมว บ้านนี้ยังเลี้ยงผึ้งไว้กับลังผึ้งสี่เหลี่ยมไว้เก็บน้ำผึ้งกินเองอีกด้วย ผึ้งพวกนี้ไม่เป็นอันตรายกับเราถ้าไม่ไปทำร้ายมันก่อน ตอนแรกฉันก็กลัวๆอยู่แต่อยู่ทั้งปีก็ไม่เคยโดนต่อยสักครั้ง เวลาจะเอาน้ำผึ้งทีนึงต้องให้ทุกคนเข้ามาหลบในบ้านก่อนแล้วโฮสต์แด๊ดจะใส่ชุดสีเหลืองคลุมทั้งตัวเหมือนชุดนักอวกาศแล้วเดินไปเปิดลังเองน้ำผึ้งมา แต่ธรรมชาติของเพนซิเวเนียยังคงทำให้ฉันประหลาดใจได้อีกครั้งเมื่อเช้าวันหนึ่งฉันเดินไปเล่นกับแมวชื่อโดมิโน่หน้าบ้านแต่สิ่งที่เจอประชิดหน้ากลับเป็นนกสีสันสดใสตัวเล็กกระพือปีกชมดอกไม้อยู่ มันคือนกฮัมมิ่งเบิร์ด ฉันแทบไม่เชื่อสายตา ฉันรีบวิ่งไปถามโฮสต์มัมที่นั่งอยู่ในห้องครัวเมื่อให้แน่ใจ

    “Yes, it is a hummingbird!” โฮสต์มัมพูดและยิ้มให้ฉันที่ตื่นเต้นจนแทบบินถามนกไปได้


    Looking for friends


    วันไปโรงเรียนวันแรกของฉันไม่ได้เป็นไปตามคาดเท่าไหร่ โรงเรียนของฉันเป็นโรงเรียนที่เล็กมาก มีแค่ประมาณเจ็ดร้อยคนและทุกคนมักรู้จักกันเองอยู่แล้ว วันนั้นฉันเกร็งมาก กลัวทุกอย่างจะไปผิดแผนหมดกลัวจะไม่มีเพื่อนกลัวจะเรียนไม่รู้เรื่อง ฉันนั่งรถบัสไปโรงเรียนพร้อมแอดเดลเล่กับเอลลี่ เอลลี่ทั้งนั่งข้างฉันและเดินพาฉันไปส่งที่ห้องเรียนวิชาแรก แต่ฉันก็ต้องรีบหาเพื่อนใหม่เพราะเที่ยงนี้เอลเล่มีพักคนละช่วงกับฉัน ในตอนนั้นการต้องนั่งกินข้าวคนเดียวเป็นอะไรที่น่ากลัวที่สุด คุณครูสอนวิชาประวัติศาสตร์อเมริกันเป็นผู้ชายหัวโล้นตัวสูง ตอนแรกเขาดูค่อนข้างดุแต่พอเขารู้ว่าฉันเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนคนไทยเขาก็พยายามชวนคุยเรื่องประเทศไทย คงสงสารที่ฉันเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนคนเดียวในโรงเรียน ไม่นานคนก็ทยอยเข้าห้องโดยไม่สนใจอะไรฉันเลย ฉันตกใจมากเมื่อจู่ๆนักเรียนทุกคนก็ยืนขึ้นพร้อมกันเมื่อเพลงชาติอเมริกันดังขึ้น โรงเรียนที่นี่ไม่เคร่งอะไรเลย นักเรียนใส่ชุดอะไรมาก็ได้ถ้ามันไม่โป๊ และไม่มีเข้าแถวการเคารพธงชาติ ทุกคนเพียงแค่ยืนประจำโต๊ะตัวเองซึ่งเลือกนั่งตรงไหนก็ได้อีก(แต่ทุกคนมักนั่งที่เดิมอยู่ดี) พอเพลงจบเขาก็พึมพำคำปฎิญาณ


    “I pledge Allegiance to the flag

    of the United States of America

    and to the Republic for which it stands,

    one nation under God, indivisible,

    with Liberty and Justice for all.


    ข้าขอแสดงความจงรักภักดีต่อธงชาติแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาและต่อสาธารณรัฐ ใต้การปกครองของพระเจ้า พร้อมด้วยอิสรภาพและความยุติธรรม​สำหรับทุกคน”


    ฉันไม่รู้มาก่อนว่าต้องท่องอะไรอย่างนี้ด้วย แต่หลังจากนั้นเพื่อนใจดีคนนึงก็จดลงกระดาษให้ฉันไปจำจนจำได้มาถึงทุกวันนี้

    หลังจากทุกคนนั่งลงแล้วฉันก็พยายามหาเพื่อนคุย ฉันสะกิดคนข้างหน้าและชวนเขาคุยแต่เขากลับตอบมาสั้นๆและหันไปเล่นโทรศัพท์ต่อ คนอเมริกันไม่ค่อยคิดอะไรมากและไม่ใช่ทุกคนที่จะเฟรนลี่คุยกับเราก่อน เรื่องนี้ฉันพอรู้มาก่อนแล้ว แต่พอเจออย่างนี้กับการลองครั้งแรกฉันก็ซึมไปนิดๆ โชคดีที่ไม่นานหลังจากนั้นก็มีผู้หญิงสีผิวคนนึงเดินเข้าห้องมาสายและนั่งหลังฉัน เขาชวนฉันคุยก่อนและไม่นานหลังจากนั้นเราก็ได้เป็นเพื่อนกัน เขาชื่อโนล่า เป็นผู้หญิงสีผิวเพียงไม่กี่คนในโรงเรียนที่เต็มไปด้วยคนผิวขาว หลังจากนั้นเราก็ไปกินข้าวด้วยกันทำให้ฉันรู้จักเพื่อนผู้ชายชื่ออีธาน 

    จริงๆก็มีคนเข้ามาทักมาคุยกับฉันบ้างเพราะแทบทุกคาบเรียนครูประจำวิชาจะประกาศว่าฉันเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน(คนเดียวในทั้งโรงเรียน) จึงมีคนช่างสงสัยมาชวนฉันคุยทำให้ฉันได้เพื่อนใหม่ในแต่ละคาบมามากมาย คำถามของพวกเขาบางทีก็ทำให้ฉันปวดหัวมากมีผู้หญิงคนนึงในคาบอังกฤษถามฉันว่าประเทศไทยอยู่ส่วนไหนของจีน ฉันเลยต้องหยิบโทรศัพท์มาเปิดกูเกิ้ลแมพให้ดู การเรียนที่อเมริกาทำให้ฉันได้พบว่าคนที่นี่ส่วนใหญ่ไม่ได้เรียนเก่งเท่าที่ฉันคาดเท่าไหร่(แล้วแต่โรงเรียนแล้วแต่คนด้วย) วิชาคณิตศาสตร์ที่นี่ฉันทำแบบฝึกหัดเสร็จภายในห้านาทีระหว่างที่เพื่อนคนอื่นใช้เวลาทั้งคาบ ขนาดวิชาที่ฉันไม่เคยเรียนมาก่อนอย่างประวัติศาสตร์อเมริกาฉันยังส่งงานในห้องก่อนเพื่อนแทบทุกครั้ง ฉันว่าคนที่นี่คงไม่จริงจังกับการเรียนมากเกินไปซึ่งฉันว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก ฉันไม่เครียดเหมือนตอนอยู่โรงเรียนที่ไทยเลยและมีเวลาสนใจกิจกรรมอื่นๆ เช่นดนตรี ฉันลงเรียนคอรัสไว้เพราะฉันชอบร้องเพลงแต่ก็พบว่าคอรัสมันไม่ใช่แค่การร้องเพลง มันเป็นการเตรียมเสียงให้พร้อม ประสานเสียงกับคนมากมายให้พร้อมกัน แถมยังต้องฝึกอ่านโน๊ต มันยากกว่าที่ฉันคิดแต่มันก้เป็นโอกาสที่ดีที่ฉันจะได้ทำความรู้จักกับคนที่มีความสนใจในการร้องเพลงเหมือนกัน ฉันได้รู้จักเฮลลี่และลอร่าซึ่งเด็กกว่าฉันปีนึงแต่ฉันกลับรู้สึกสนิทกับพวกเขามากกว่าคนชั้นเดียวกัน ตอนคาบแรกๆ ฉันทำใจหันไปทักลอร่าครั้งแรกทั้งที่ใจเต้นแรงมากๆและกลัวการปฏิเสธสุดๆ แต่ตอนนี้ฉันอยากกลับไปขอบคุณ​ตัวเองในอดีตมากที่กล้าทักคนอื่นจนหาเพื่อนดีๆมาได้หลายคน ถึงจะโดนบางคนเมินใส่บ้าง ในคาบคอรัสมีคนที่ฉันรู้จักอยู่หลายคนแต่ไม่สนิทกันมาก คนเหล่านี้คือเพื่อนของเอลลี่ที่อยู่วงดุริยางด์ด้วยกัน เอลลี่พยายามชวนฉันไปพบพวกเขาและไปปาร์ตี้บ่อยๆแต่พวกเขาโตกว่าฉันตั้งสองปีและฉันก็รู้สึกเกร็งมากเวลาไปปาร์ตี้กับพวกเขา

    หนึ่งเดือนผ่านไป ฉันพอรู้จักคนในโรงเรียนมากขึ้นและมีเพื่อนที่ชอบคุยด้วยในแต่ละวิชาแล้วแต่ก็ยังไม่รู้สึกว่าสนิทกับใครพอที่จะคุยได้ทุกเรื่องจริงๆ เพื่อนนักเรียนแลกเปลี่ยนคนอื่นบางคนที่ฉันคุยด้วยในไลน์ก็มีปัญหาในการสร้างเพื่อนเหมือนกัน พวกเราให้กำลังใจกันและพยายามออกจากคอมฟอร์ทโซน(comfort zone)มากขึ้นถึงมันจะทำให้รู้สึกเหนื่อย เช่นการลองพูดคุยกับคนอื่นที่ไม่รู้จักหลายๆคน การหากิจกรรมทำมากขึ้นจะได้ใช้ปีการแลกเปลี่ยนให้คุ้มที่สุด


    Introduction to Christinity


    ครอบครัวโฮสต์ของฉันนับถือคริสต์โปรเตสแตนต์ เอาง่ายๆเลยคือมันเป็นเวอร์ชั่นของศาสนาคริสต์ที่ชิวร์กว่าและเชื่อว่าสามารถพูดคุยกับพระเจ้าด้วยตัวเองไม่ต้องผ่านนักบวชก็ได้ ถึงอย่างนั้นครอบครัวโฮสต์ก็ยังไปโบสต์ทุกวันอาทิตย์และชวนให้ฉันไปด้วย ฉันคาดหวังว่าจะเจอโบสต์ที่มีสถาปัตยกรรมเริดหรู มีกระจกสี และเสาแกะสลักอะไรประมาณนั้น แต่พอมาถึงฉันกลับพบว่ามันเป็นตึกสีขาวธรรมดาๆ ข้างในกว้างขวางมีทางเดินไปห้องต่างๆ ห้องที่ใหญ่ที่สุดคือห้องสำหรับภาวนาต่อพระเจ้า(Sanctuary)​ เรามักใช้เวลาส่วนใหญ่ในห้องนี้ ตรงท้ายสุดของห้องเป็นเวทีพื้นที่ยื่นขึ้นมาเตี้ยๆและมีไม้กางเขนสีขาวอันใหญ่อยู่ด้านหลัง มีเก้าอี้ยาววางอยู่ทั่วห้องและยังมีชั้นสองสำหรับนั่งชมอีก เอลลี่มักชวนฉันไปนั่งชั้นสองกับเด็กวัยรุ่นคนอื่นแล้วนั่งมองลงมาที่เวทีขณะมีการบรรยายหรือแสดงอะไรบางอย่าง

    กิจกรรมที่ทำในห้องนี้ไม่ใช่แค่การภาวนาไหว้พระเยซูแบบสงบเสงี่ยมอย่างที่ฉันคิด เมื่อถึงเวลาผู้นำบนเวทีกลับเปิดเพลงและชวนทุกคนให้ลุกขึ้นมาเต้นและร้องเพลงสรรเสริญ​พระเจ้า ฉันเห็นคนแก่ยกมือขึ้นสู่ฟ้าพร้อมโยกตัวร้องเพลงอย่างอิ่มใจ เด็กวัยรุ่นข้างๆฉันยืนขึ้นปรบมือพร้อมกับจังหวะ ร้องเพลงถูกทุกคำเหมือนนัดกันมา และเด็กเล็กๆอย่างแอดเดลเล่วิ่งสะบัดริบบิ้นเต้นอยู่หน้าห้อง เป็นภาพที่ทำให้ฉันประหลาดใจมาก​ นี่มันโบสต์หรือคอนเสิร์ต​กันแน่​ ฉันชอบส่วนนี้ของการมาโบสถ์​มาก มันเหมือนทุกคนมาร้องคาราโอเกะ​ให้พระเจ้าฟัง​ บางครั้งเวลาเพลงจบทุกคนก็จะเดินเข้ามากอดกันและอวยพรให้พระเจ้าดูแลเรา​ เคยมีผู้หญิงวัยชราที่ฉันไม่รู้จักที่นั่งใกล้ๆฉันเดินเข้ามากอดฉัน​ ตอนแรกฉันก็ทำตัวไม่ถูกยืนแข็งทื้อ แต่เขาแค่กอดฉันและบอกว่าพระเจ้ารักและจะดูแลฉัน​ ฉันจึงยิ้มให้เขาและบอกเขาว่าเช่นกันค่ะ​ 

    หลังจากนั้นจะเป็นส่วนที่มีบรรยายเรื่องต่างๆเกี่ยวกับพระเจ้า​และไบเบิ้ลนำโดยพาสเตอร์ (Paster​ หรือภาษาไทยเรียกศิษยาภิบาล​ ; ศาสนา​คริสต์​โปร​แตสแตนท์​ไม่มีบาทหลวงแต่มีผู้ถวายตัวรับใช้พระเจ้า เรียกว่า ศาสนจารย์ /ศิษยาภิบาล และผู้ประกาศ) ​ตอนไปแรกๆฉันก็พยายามตั้งใจฟังนะ​ แต่ไม่นานก็เบื่อเพราะมันค่อนข้างนาน​ แต่บางทีก็จะมีเรื่องน่าสนใจมาพูดถึงเช่นกิจกรรมต่างๆที่โบสถ์จัดอย่างมิชชันนารี (Missionary) คือการไปเผยแพร่ศาสนาในพื้นที่ต่างๆโดยมักไปช่วยคนพื้นเมืองในด้านการศึกษาหรือที่อยู่การก่อสร้างด้วย​ บางครั้งการจะมีการพิธีต่างๆด้วย​ เช่น พิธีศีลล้างบาปให้เด็ก​

    ในวันอาทิตย์​ก่อนเข้าไป​ห้อง Sanctuary บางครั้งก็จะมี​โรงเรียนวันอาทิตย์​(Sunday School) มันคล้ายๆคาบเรียนของโรงเรียนเลยแต่เรียนเรื่องไบเบิ้ลประมาณชั่วโมงนึง อ่านท่อนต่างๆตามด้วยแปลและแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นกัน บางทีก็มีเล่นเกมด้วย ทุกคนในห้องสนิทกัน​และรู้จักกันมานาน เอลลี่พยายามแนะนำเพื่อนๆให้ฉันแต่ฉันก็ยังจำคนไม่ค่อยได้ในช่วงแรกเหมือนตอนไปโรงเรียน​ ครูที่สอนจะเป็นผู้ใหญ่​ที่มีส่วนร่วมกับโบสถ์​บ่อยๆ​ มันอาจจะมีตำแหน่งอะไรสักอย่างด้วยฉันไม่แน่ใจ​ โฮสต์​มัมกับแด๊ดก็เป็นครูสอนที่โบสถ์​เหมือนกันแต่พวกเขาทำหน้าที่สอนเด็กเล็กอย่างแอดเดลเล่​ ส่วนฉันกับเอลลี่แยกไปเรียนอีกห้องนึง

    ในตอนนั้นฉันลังเลที่จะเรียกตัวเองว่านับถือศาสนาพุทธอย่างมาก​ การใช้ชีวิตในสังคมพุทธ​มาตลอดเวลาทำให้ฉันเห็นทั้งข้อดีและข้อเสียของศาสนานี้ ยิ่งพ่อแม่บังคับให้ฉันสวดมนต์​ ไปค่าย​ นั่งสมาธิ​ ตั้งแต่เด็กทำให้ฉันมีอคติกับศาสนานี้มากขึ้น กฏเกณฑ์​ที่แข็งยิ่งให้ฉันเกลียดการอยู่ในกรอบ ฉันเริ่มตั้งคำถามกับศาสนาแต่ก็โดนด่าว่าลบลู่อยู่เสมอจนฉันเลิกพยายาม บางทีศาสนาคริสต์​โปรเตสแตนต์​อาจเป็นคำตอบของฉัน​ ไม่มีใครบังคับให้ฉันไปโบสถ์​หรือเข้าเรียนวันอาทิตย์​แต่ฉันพยายามร้องตามเพลงที่ทุกคนร้องและท้ายคาบเรียนฉันมักถามคำถามเกี่ยวกับไบเบิ้ลกับครูสอน​วันอาทิตย์ แต่เขามักพยายามตอบฉันแทนที่จะดุด่ารำคาญ​​


    ​ "Why​ would God put the tree of knowledge in the garden of Eden if he doesn't want Adam and Eve to eat from it? ทำไมพระเจ้าถึงเอาต้นไม้แห่งความรู้ไปใส่ในสวนตั้งแต่แรกถ้าไม่อยากให้อะดัมกับอีฟกินล่ะคะ" ฉันเคยถาม

    ครูสอนผิวสียิ้มและเอามือลงจากการลบกระดาน​ "Because​ he wants them to have free will เพราะท่านอยากให้พวกเขามีอิสระที่จะเลือก"


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in