เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Films speak for mepuroii
2016 Film Record
  • 2016 ถือเป็นปีที่ทำให้เราเกิดสปาร์คกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ เป็นปีที่เรารู้สึก เข้าถึงหนังมากขึ้นกว่าที่เคยเป็น ไม่รู้ว่าเพราะว่าง เพราะโตขึ้น หรือเพราะอยากหนีจากโลกความจริงกันแน่ แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร (หรืออาจจะเพราะทั้งหมดนั่นรวมกัน) มันก็เป็นความรู้สึกที่ดีนะ ดีมากๆ เลยด้วย และเราก็มีความสุขกับมันจริงๆ

    ปกติชอบเก็บลิสต์หนังที่ดูไว้ตลอด เพราะเวลาย้อนกลับมาเปิดดู มันชวนให้นึกถึงช่วงเวลาและความรู้สึกตอนนั้น คล้ายๆ กับการฟังเพลงแล้วนึกถึงใครหรืออะไรบางอย่างนั่นแหละ ก่อนอื่นต้องขอบคุณ imdb ที่ทำให้สามารถเก็บรวบรวมหนังที่ดูไว้ได้เป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้ เดี๋ยวเราจะพูดถึงคร่าวๆ แล้วกัน
    - ช่วงต้นปีของทุกปีก็จะได้ดู Sherlock ยังไงล่ะ! (ไม่ได้เรียงไว้อันแรก เพราะเพิ่งมากดเข้าลิสต์ทีหลัง) นับเป็นความฝันที่แฟนๆ ทุกคนรอคอย (จนลืมไปว่าเคยรอ)

    - เดือนแรกๆ ก็จะเป็นช่วงของหนังรางวัล ทั้ง Spotlight, Steve Jobs, The Danish Girl, The Revenant, Room และยินดีกับเฮียลีโอด้วยสำหรับรางวัลออสการ์ครั้งแรกในชีวิตที่รอมาเนิ่นนาน ขอขอบคุณสำหรับมีมทั้งหมดที่เคยมอบให้ เราจะไม่มีวันลืม

    - พูดถึงหนัง Bollywood ปลายปีที่แล้วได้มีโอกาสดู PK แล้วชอบมาก ตัวหนังมันแปลกใหม่ในสไตล์ที่ไม่เคยเห็นในหนังฮอลลีวู้ดมาก่อน รู้สึกว่า เออ...แบบนี้ก็มีด้วยแฮะ เลยเริ่มสนใจหนังบอลลีวู้ดขึ้นมา และด้วยความที่ชอบ Aamir Khan จาก PK เลยไปเจอกับหนังเรื่อง 3 Idiots เข้าพอดี ซึ่งไม่ทำให้เราผิดหวังอีกเช่นกัน เป็นหนังที่ดีและอยากให้ทุกคนได้ลองดูสักครั้ง ต่อจากนี้ก็อยากดูหนังบอลลีวู้ดให้มากขึ้นอีก มันมีอะไรน่าสนใจเยอะเหมือนกัน

    - ไปดู BvS แล้วคิดขึ้นมาได้ว่าไม่ค่อยรู้จักแบทแมนดีเท่าไร เลยไปหา Batman trilogy มาดู พอดูไป 2 ภาคก็นึกขึ้นได้ว่า อ้าว...เคยดูแล้วนี่ 555555 (เป็นคนรู้สึกตัวช้า)

    - ต่อจากนี้เป็นช่วงของการดำดิ่งไปกับ psychological thriller เริ่มตั้งแต่ 10 Cloverfield Lane (ชอบมาก), Shutter Island, We Need to Talk About Kevin, Memento, American Psycho เหมือนจะเริ่มค้นพบหนทางของตัวเอง (...)



    "Hope is a good thing, maybe the best of things, and no good thing ever dies." 

    - The Shawshank Redemption, 1994


    - ช่วงหลังนี้เริ่มมาติด The Godfather สารภาพก็ได้ว่าไม่ได้ดูภาค 3 เพราะกลัวความชอบสองภาคแรกลดลง (หนูขอโทษ) แต่ยังไงก็เป็นหนังที่เราชอบมากๆ ชอบที่ทำให้เราเห็นชีวิตของมาเฟียในรูปแบบที่ต่างออกไปจากหนังมาเฟียอื่น มันทำให้เห็นสายใยของแก๊ง ของครอบครัว และเขาแสดงให้เห็นตัวละครสีเทาที่ดูก็รู้ว่าทำสิ่งที่ไม่ดีและผิดกฎหมาย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเคารพและอยากเอาใจช่วยต่อไป อีกอย่างการแสดงของทุกคน ดี-มาก-มาก

    Sing Street นอกจากบทเพลงเพราะๆ ก็ได้เรียนรู้ทั้งแง่มิตรภาพ ครอบครัว ความรัก ความฝัน เหล่านักแสดงหน้าใหม่ทั้งหลายก็น่าจับตามองมากๆ เป็นกำลังใจให้เติบใหญ่กันไปในอนาคตนะหนูๆ

    Oasis : Supersonic เป็นสารคดีที่เปลี่ยนมุมมองชีวิตเราเหมือนกัน จากคนที่ไม่ได้ชอบโอเอซิสเลย ได้ยินมาก็แต่ชื่อเสียง (ทั้งทางที่ดีและไม่ดี) จนได้ดูสารคดีนี้ (ที่ไม่รู้เหมือนกันว่าไปดูทำไม) ถึงได้เข้าใจว่าบางอย่างมันก็ meant to be จริงๆ และรวมถึงการที่เราได้มารู้จักกับพวกเขา บางทีมันก็อาจจะ meant to be เหมือนกัน ขอบคุณที่สร้างแรงบันดาลใจหลายๆ อย่างให้เรา

    - อีกเรื่องที่อยากให้เอาเข้ามาฉายในไทย คือ Swiss Army Man หนังที่ได้ยินเรื่องย่อครั้งแรกแล้วต้องอุทานออกมาว่า WTF แต่ใครจะไปรู้ว่ามันแฝงปรัชญาชีวิตและทำให้เรามองเห็นความสวยงามของชีวิตได้อย่างไม่น่าเชื่อ เป็นอีกเรื่องที่ดีใจที่ได้ดู

    - Fantastic Beasts and Where to Find Them หลังจากนั่งนับถอยหลังและโปรโมทมาเรื่อยๆ ร่วมปีจนเพื่อนจะเลิกคบ ในที่สุดก็ได้ดูสักที! รู้สึกอบอุ่นที่ได้รู้จักโลกที่คุ้นเคยของ J.K. Rowling อีกครั้ง และได้เห็นการแสดงของเอ็ดดี้ในบทบาทที่ต่างออกไปจากเดิม เป็นความรู้สึกที่อิ่มเอมจริงๆ

    - Psycho เรื่องนี้รักมากๆๆๆ รักรายละเอียดทุกอย่างในหนัง รัก Hitchcock รักมากจนต้องเอามาทำ Film Journal เก็บไว้ดูทีหลัง ความประณีตของฮิตช์ค็อกเป็นสิ่งที่ทำให้รู้ว่าเขาใส่ใจและให้เกียรติผู้ชมมากแค่ไหน เหมาะกับการเก็บไว้เป็น reference ในการศึกษาหลายประเด็น


    “You cannot say 'no' to the people you love, not often. That's the secret. And then when you do, it has to sound like a 'yes'. Or you have to make them say 'no.' You have to take time and trouble.”

    - The Godfather, 1972  



    เรารู้สึกโชคดีที่ได้รู้จักกับสื่อภาพยนตร์และก็ไม่เคยรู้สึกเสียดายเวลาที่ใช้ไปกับมันเลย ในขณะที่หลายคนอาจมองว่ามันเป็นแค่สื่อบันเทิงชนิดหนึ่ง เรากลับคิดว่ามันคือการศึกษา ก็ถูกที่มันคือสื่งบันเทิง และถ้าใครจะมองแค่นั้นก็ไม่ผิด แต่ลึกลงไปในจอภาพ การแสดง บทพูด การตัดต่อ การกำกับ มันแฝงอะไรมากกว่านั้น ถ้าเรามองลึกลงไป จะเห็นรายละเอียดอีกเยอะแยะมากมาย กว่าที่มันจะมาประกอบกันเป็นภาพใหญ่ๆ บนจอให้เราได้เห็น มันเป็นศาสตร์ที่เหนื่อย ลงทุนลงแรง และต้องใช้ความอดทนกว่าจะได้ผลออกมา 

    เราเลยรู้สึกไม่ดีตอนไปดูหนังเรื่องหนึ่งไม่กี่ชั่วโมง แล้วมีคนเดินออกมาพูดว่า “ห่วย” แค่คำเดียว ทุกคนมีสิทธิแสดงความเห็นแหละ ไม่มีอะไรถูกหรือผิด ทุกอย่างมันเป็นศิลปะ ขึ้นอยู่กับรสนิยม ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัว แต่เรานับถือความพยายามและความตั้งใจจริงของทุกคนนะ เพราะเรายังอยากเห็นพัฒนาการของทุกคน ไม่อยากให้ใครต้องท้อแท้แล้วล้มเลิกที่จะทำในสิ่งที่ชอบไป เรายังอยากให้ทุกคนได้ทำในสิ่งที่เราไม่มีโอกาสได้ทำ เพราะมันมีความหมายกับเรามาก เลยอยากให้ทุกคนลองวิจารณ์หนังในแง่ที่ก่อประโยชน์กับตัวผู้จัดทำและทีมงาน ลองพูดในแง่ที่สร้างสรรค์ อะไรที่ดูไม่เวิร์ค ควรปรับแก้ตรงไหนดี คิดว่าทำยังไงถึงจะออกมาดีกว่านี้ เพราะคอมเม้นท์ที่ดีสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้มากเลยนะ (ถ้าเขารับฟัง) ไม่ต่างอะไรกับนักร้อง นักเขียน หรือนักวาดเลย ทุกคนก็อยากรู้ว่าควรจะพัฒนายังไง แต่ทุกคนไม่ต้องการณ์คำด่าทอที่ไม่ก่อประโยชน์หรอก 

    เรานับถือและเป็นหนี้บุญคุณคนกลุ่มนี้มาก ขอบคุณพวกคุณทุกคนที่สร้างสิ่งดีๆ มาให้เราได้ดูและขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนสร้างผลงานดีๆ ออกมาต่อไป 

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in