Get Out (2017)

 ผู้กำกับ : Jordan Peele

          หนังดังและเป็นประเด็นในตอนนี้คงหนีไม่พ้น Get Out ของ Jordan Peele เรื่องราวเกี่ยวกับคริส วอร์ชิงตัน (Daniel Kaluuya) ตากล้องผิวดำที่คบกับโรส อาร์มิเทจ (Allison Williams) แฟนสาวผิวขาว เธอชวนคริสไปพบกับครอบครัวตนที่บ้านในชนบท และแน่นอนว่าคริสตอบตกลง แม้จะค้านกับคำเตือนของร็อด เพื่อนสนิทของเขา ทว่าเมื่อคริสได้มาสัมผัสกับครอบครัวอาร์มิเทจ เขากลับพบว่ากลุ่มคนเหล่านี้มีอะไรไม่ชอบมาพากล...

           Get Out เป็นหนังที่ให้มากกว่าความตื่นเต้นและระทึกใจ มีรายละเอียดหลายประเด็นทั้งที่แสดงให้เห็นชัดเจนและที่แอบซ่อนไว้อีกมาก หลายคนคงมุ่งไปที่ประเด็นเรื่องการเหยียดผิว (racism) ครั้งนี้เราอาจไม่ค่อยได้พูดถึง แต่จะมาชี้จุดอื่นที่หลายคนอาจมองข้ามหรือไม่ทันได้สังเกตไป

**มี SPOILERS**

          ฉากเปิดของหนังเริ่มด้วยชายผิวดำคนหนึ่ง (เรามารู้ทีหลังว่าเขาชื่อ แอนดรูว์ โลแกน คิง) เดินอยู่เพียงลำพังในหมู่บ้านที่ดูเงียบสงบ ปลอดผู้คนบนท้องถนน ไม่นานนักรถยนต์คันหนึ่งก็ขับตามหลังมา เขาพยายามไม่สนใจแต่ไม่เป็นผล ชายปริศนา (นั่นก็คือเจเรมี่ อาร์มิเทจ) ลงจากรถมาทำร้ายร่างกายและลักพาตัวเขาไปในที่สุด

          ฉากนี้ใช้เพลงประกอบที่ชื่อว่า "Run Rabbit Run" ที่ร้องโดย Flanagan และ Allen ซึ่งประจวบเหมาะกับซีนนี้เป็นอย่างดี ความหลอนของมันปรากฏตัวในรูปแบบของทำนองที่สดใส ไร้พิษภัย แต่เมื่อพินิจดูแล้ว เนื้อหาของเพลงกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพลงนี้เปรียบได้กับสัญญาณเตือนภัยให้กระต่ายรีบหนีจากชาวนาที่กำลังถือปืนไล่ตามมา

          ถ้าหนีไม่พ้นจะเกิดอะไรขึ้น? ก็ตายยังไงล่ะ

Run rabbit – run rabbit – Run! Run! Run!

Run rabbit – run rabbit – Run! Run! Run!

Bang! Bang! Bang! Bang!

Goes the farmer's gun.

Run, rabbit, run, rabbit, run.

          ขยับมายังเครดิตเปิด หลายคนอาจเกิดความสงสัยว่าเสียงคนกระซิบกระซาบกับทำนองคล้ายเพลงชนเผ่านี้กำลังพูดอะไรอยู่ เงี่ยหูฟังเท่าไรก็ไม่เข้าใจ ก็คงไม่แปลกเพราะมันไม่ใช่ภาษาอังกฤษ เพลงนี้ใช้ชื่อว่า "Sikiliza KwaWahenga" เป็นภาษาสวาฮีลีแปลว่า "เชื่อฟังบรรพบุรุษของคุณ" โดยรวมแล้วเพลงนี้มีความหมายว่า สิ่งไม่ดีกำลังเกิดขึ้น ให้รีบหนีไปซะ! เพลงนี้เป็นส่วนหนึ่งในสกอร์ที่ Michael Abels สร้างสรรค์มาให้ขนลุกกันตลอดทั้งเรื่อง

          ขอพูดถึงอีกเพลงที่มีบทบาทสำคัญต่อเนื่องกันมาคือ "Redbone" ของ Childish Gambino จอร์แดนให้สัมภาษณ์ไว้ว่าเขาเลือกเพลงนี้เพราะท่อน ‘Stay Woke’ เพราะนั่นคือสิ่งที่หนังเรื่องนี้บอก แถมทำนองยังแอบหลอนและชวนให้นึกถึงเรื่องราวเก่าๆด้วย

          เรามาเจาะลึกเข้าไปในเพลงนี้อีกนิด Redbone เป็นเพลงเกี่ยวกับความกังวลเคลือบแคลงในความสัมพันธ์ เพลงนี้ถูกเปิดตอนที่เราได้ทำความรู้จักคริสและโรสพอดี ซึ่งมันคงบอกอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่

 Niggas creepin'

They gon' find you

Gon' catch you sleepin'

Ooh, now stay woke

Niggas creepin'

Now don't you close your eyes

เนื้อเพลงบอกให้ตื่นตัวตลอดเวลาถ้าเผลอหลับใหลไปก็จะตกอยู่ในภวังค์

หรือกำมือของครอบครัวอาร์มิเทจนั่นเอง

          ต่อมาคริสและโรสเดินทางไปยังบ้านครอบครัวอาร์มิเทจ แต่ระหว่างทางพวกเขาชนกวางตัวหนึ่งตาย เราจะมาพูดถึงความสำคัญของ "กวาง" ในเรื่องนี้กัน

          กวางตัวนี้ทำให้คริสย้อนกลับไปคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแม่ของเขาตอนถูกรถชน คริสเดินลงจากรถมาดูกวางตัวนั้นอย่างโศกเศร้า เพราะมันตายไปแล้วและเขาไม่สามารถช่วยเหลือมันได้ คริสจมอยู่กับความคิดว่าการตายของแม่เป็นความผิดของตัวเองเพราะเขาไม่ยอมโทรขอความช่วยเหลือเหตุการณ์นี้ทำหน้าที่เป็นลางบอกเหตุของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป

          หลังจากคริสไปถึงบ้านอาร์มิเทจ โรสเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ครอบครัวของเธอฟัง แต่พ่อของโรสกลับบอกว่าเขารำคาญกวางพวกนี้ กำจัดไปเสียบ้างก็ดี เพราะถึงมันตายไปหนึ่งตัว ก็ยังเหลืออีกเป็นล้านให้กำจัด แม้ว่าพ่อของโรสอาจจะพูดแบบนั้นเพราะเขาเกลียดกวางพวกนี้จริง ๆ แต่โดยบริบทและความหมายโดยนัยน์แล้ว เราสามารถบอกได้ว่ากวางในที่นี้หมายถึงคนผิวดำทุกคน ภายใต้สังคมที่เหยียดผิวนี้ คนดำมักตกเป็นเหยื่อของการกระทำผิดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

          เรื่องราวแปลกประหลาดดำเนินไปจนกระทั่งเราพบว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านหลังนี้เป็นส่วนหนึ่งของ "Coagula" กลุ่มที่แรกเริ่มเดิมทีเกิดจากไอเดียของคุณปู่อาร์มิเทจ ผู้มีความสามารถวิ่งมาราธอนเกือบชนะเจสซี โอเวนส์ที่การแข่งขันโอลิมปิก สิ่งที่ทำให้เขาปิ๊งไอเดียการปลูกถ่ายสมองคงเป็นเพราะเรื่องนี้ เขาทั้งเจ็บใจและชื่นชมเจสซี ซึ่งเป็นนักกีฬาผิวดำที่แข็งแกร่งกว่าตน ดังนั้นหากเขาได้ครอบครองร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าแล้ว ทุกอย่างคงจะดีไม่น้อยเลยใช่ไหมล่ะ อีกทั้งดีนเป็นศัลยแพทย์ทางประสาท มิสซีเป็นจิตแพทย์ แถมยังมีลูกสาวสุดสวยกับลูกชายผู้มีพละกำลังอีก แหม...คงไม่มีอะไรเหมาะเจาะในการสร้างวิสาหกิจขนาดย่อมไปมากกว่านี้แล้ว ลูกค้าของกลุ่มนี้ก็มักจะเป็นพวกผิวขาวผู้มีความต้องการแตกต่างกัน บางคนอยากเล่นกอล์ฟให้เก่งขึ้น บางคนต้องการสนองทางเพศ บางคนก็ต้องการแค่ดวงตา แต่ทุกคนมีจุดประสงค์เดียวกันคือต้องการร่างกายที่ดีกว่า ร่างกายที่มี "พันธุกรรม" ที่แข็งแรงกว่า

          Coagula อาจจะมาจาก coagulation ซึ่งเป็นกระบวนการแข็งตัวของเลือด จากเลือดที่เป็นของเหลวค่อย ๆ จับตัวรวมกลุ่มกันและกลายสภาพเป็นลิ่มเลือด จากคนที่อ่อนแอปวกเปียกกลับกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งผ่านการปลูกถ่ายสมอง

          ถ้าลองสังเกตจะเห็นว่า Get Out เล่นประเด็นเรื่องผู้ล่าและเหยื่อตลอดเรื่อง อย่างที่ได้พูดไปว่ากวางเป็นสัญลักษณ์ของเหยื่อ คริสเป็นเหยื่อของอาร์มิเทจ คนดำเป็นเหยื่อของสังคม ส่วนผู้ล่าเราจะเห็นในรูปแบบของตุ๊กตาสิงโตข้างเตียงหรือรูปภาพเสือชีตาร์บนฝาผนังบ้านอาร์มิเทจ มีตอนหนึ่งที่คริสหมุนตุ๊กตาสิงโตให้หันหน้าออกไป ที่ทำแบบนั้นเพราะเขารู้สึกไม่ปลอดภัยรู้สึกเหมือนถูกจับตามอง เพราะกวางตัวไหนกันที่จะไม่กลัวสิงโต ทว่าเมื่อเรื่องดำเนินไปทุกอย่างดันกลับตาลปัตรเพราะผู้ล่า (ครอบครัวอาร์มิเทจ) นั่นแหละที่โดนเหยื่อ (คริส) ทำลายเสียเอง เรื่องตลกร้ายคือคริสฆ่าพ่อของโรสด้วยเขากวางที่เขาเกลียดนักเกลียดหนา ถือเป็นการล้างแค้นรูปแบบหนึ่ง

          อีกประเด็นที่น่าสนใจคือตอนจบ หลายคนอาจเกิดคำถามว่าทำไมคริสถึงไม่ฆ่าโรสให้ตาย ๆ ไปเสีย ทั้งที่โรสทำไม่ดีกับเขาขนาดนั้น เพราะเขายังรักเธออยู่อย่างนั้นเหรอ? ลองมองย้อนกลับไปที่เรื่องแม่คริสอีกครั้ง หลังจากเขาไม่ได้โทรขอความช่วยเหลือ คริสพบว่าแม่ของเขายังไม่ตายทันที แต่นอนเลือดไหลออกจากร่างอย่างทุกข์ทรมานท่ามกลางความหนาวเหน็บและเดียวดายจนกว่าจะสิ้นใจในรุ่งเช้า ทีนี้พอได้ประสานทั้งสองเรื่องเข้าด้วยกันแล้วจึงทำให้คิดว่า ที่คริสไม่อยากจบชีวิตโรสทันทีทันใดเพราะเขาอยากปล่อยให้โรสหมดลมหายใจอย่างทุกข์ทรมานมากกว่า

______________________________________

 ไปพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้ทุกช่องทางเลยนะ

ทวิตเตอร์ : @puroii

เพจ facebook : SPOILER ALERT