งานเลี้ยงรุ่นเป็นเหมือนแท่นวางถ้วยรางวัลขนาดใหญ่ของรุ่นเรา ใครที่โดดเด่นก็เหมือนมีสปอตไลท์ส่อง เขาหัวเราะเสียงดัง ยิ้มปากกว้างดวงตายิบหยีด้วยอารมณ์ที่ดี รองเท้าหนังมันปลาบ เข็มขัดมียี้ห้อเสื้อเชิ้ตรีดเรียบกริบและกลิ่นน้ำหอมผู้ชายที่ดูมีรสนิยมแม้ว่าจะชวนให้เวียนศีรษะอยู่บ้าง
สปอตไลท์ไม่ได้มีแค่ดวงเดียวถ้ามีสปอตไลท์เพียงดวงเดียวในงานก็ออกจะใจร้ายไปหน่อยแล้ว
สปอตไลท์มีหลายดวง ใหญ่บ้างเล็กบ้าง ต่างกัน แต่ทุกดวงล้วนส่องสว่างจนแสบตากวนให้ความรู้สึกคันยิบๆในใจรุนแรงยิ่งขึ้น
ผมเรียกมันว่าความอิจฉา
อิจฉาเขาล่ะสิ ทำไม่ได้อย่างเขาน่ะ
ตัวผมเองนี่ เมื่อมองกลับไปตั้งแต่อนุบาลแล้วก็พบว่าตัวเองเป็นคนกลางๆมาตลอด
เล่นกีฬากลางๆ
เรียนกลางๆ
มีมนุษย์สัมพันธ์กลางๆ
เข้าเรียนมหาวิทยาลัยรัฐบาลในคณะกลางๆ
จบมาด้วยเกรดกลางๆ
และ ทำงานในองค์กรขนาดกลาง ตำแหน่งงานกลางๆ
เงินเดือนก็ยังกลางๆด้วย
แม้กระทั่งเสื้อเชิ้ตที่ใส่อยู่ก็เป็นแบรนด์กลางๆ
แต่กระดุมเบี้ยวไปด้านข้างเล็กน้อย ไม่กลางเท่าไหร่
ผมไม่ใช่ตัวปัญหาของอาจารย์ที่ไหน และไม่ใช่คนโปรดของใครด้วย
เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่คุณอาจจะจำไม่ได้ในห้องเรียนหรือใครสักคนที่คุณคุ้นหน้าในที่ทำงานที่คุณอาจจะต้องใช้เวลานึกนานสักหน่อยก่อนจะนึกออกในที่สุดแต่คุณก็จะยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่า จะอธิบายเกี่ยวกับตัวผมว่าอย่างไร
คำที่อ่อนหวานที่สุดเท่าที่มีคนเคยชื่นชมผมก็คือ
พี่เป็นคนใจดีนะคะ
นั่นก็คือเด็กฝึกงานคนหนึ่งที่อยู่ในความดูแลของผมเป็นคนพูด
ผมคิดว่านั่นไม่ใช่คำชมอะไรเลย แต่ก็รู้สึกขอบคุณและดีใจอยู่ดีที่ได้ยินอาจจะเพราะไม่ค่อยมีคนชมผมบ่อยนัก
ผมวางแก้วเบียร์ในมือลง
รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยกับเรื่องของการเทเบียร์ให้ไร้ฟอง เบียร์ควรจะมีฟอง
ผมกระพริบตา รู้สึกง่วงเล็กน้อยสมองคิดไปถึงงานที่ยังคั่งค้างที่อาจจะต้องเร่งทำให้เสร็จในคืนนี้
ผมมองชายหนุ่มในสปอตไลท์อีกครั้ง
เขาสว่างสดใสจริงๆ
ผมอิจฉาที่ผมไม่เคยรู้เลยว่า พวกเขามีวิธีการอย่างไรในการใช้ชีวิต ทำไมพวกเขาถึงมีบุคลิกที่น่าเข้าหาแบบนั้นและทำไมพวกเขาถึงก้าวไปเร็วยิ่งกว่าผมขนาดนั้น
ผมอิจฉานักดนตรีเครื่องสายคนหนึ่งในรุ่นเขาเป็นคนเรียนห่วยแตกบัดซบยิ่งกว่าใครๆ แต่มีพรสวรรค์เพียงอย่างเดียวคือการเล่นดนตรี
การมีพรสวรรค์นั้นดี
แน่ล่ะมันทำให้คุณสามารถเล่าเรื่องน้ำลายแตกฟองเกี่ยวกับเวียนนาได้อยู่นี่อย่างไรเล่า
ไม่ใช่ทุกคนจะมีพรสวรรค์
ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีบุคลิกโดดเด่น
พวกเขาเป็นดาวฤกษ์
ถ้ามีดาวฤกษ์ ก็คงต้องมีดาวเคราะห์
ไม่งั้นถ้าทุกคนเป็นดาวฤกษ์หมด ดาวฤกษ์ก็คงไม่โดดเด่นแล้ว
นั่นคงเป็นสีสันอย่างหนึ่งของจักรวาลแน่ๆ
ผมนึกสงสัยขณะมองฟองอากาศในแก้วเบียร์
บรรดาคนกลางๆเขารู้สึกอย่างไรกันนะเขาจะรู้สึกอึดอัดคับข้องใจกับความกลางๆของพวกเขาแบบผมไหมเขาจะรู้สึกอิจฉาริษยาอย่างไอ้ขี้แพ้แบบผมหรือเปล่า
ผมรู้ว่าไม่มีอะไรที่ได้มาโดยง่ายนักดนตรีที่เวียนนาคนนั้นซ้อมเป็นพันๆชั่วโมงกว่าเขาจะฉายแสงผมเองเรียนไปพร้อมกับเขา
แต่ในขณะที่เราเรียนไปพร้อมกัน เขาวิ่งผมเดิน
พรสวรรค์ทำให้เขาวิ่งได้เร็ว แน่นอนว่าการวิ่งย่อมเหนื่อย แต่มันก็เร็ว
ผมไม่เคยชอบงานเลี้ยงรุ่น
นั่นอย่างไรเล่า พวกเขาเริ่มคุยกันเรื่องที่ทำงานแล้ว
การทำงานของผมไม่ได้แย่นักหรอกไม่ใช่ในแบบที่คุณได้ยินแล้วจะนึกสงสัยว่าสิบปีที่ผ่านมาผมทำอะไรอยู่
สิบปีที่ผ่านมาผมทำงานอย่างหนัก เดินอย่างเชื่องช้าในความเร็วกลางๆแต่ก็มาถึงในที่ที่เวลาพามาถึง
ถึงอย่างนั้นผมก็ยังอิจฉาพวกเขาเหล่านั้นในสปอตไลท์อยู่ดีพวกเขาดูมีความสุข ส่องสว่าง
แต่ผมกลับรู้สึกการที่ผมนั่งอยู่หลังคอมพิวเตอร์ค่อยๆเดินหน้าไปอย่างเชื่องช้านี่ทำให้ผมรู้สึกหายใจไม่ออก อากาศในออฟฟิศหนักเสมอ
ไม่แน่ใจว่า การหายใจกับการฟังหัวหน้าว่ากล่าวแบบไร้เหตุผลอันไหนยากลำบากกว่ากัน
ผมรู้สึกว่าการทำงานมันยากขึ้นทุกที ทั้งที่จริงๆแล้วมันก็เหมือนเดิมตัวผมเองนี่แหละที่ทำให้มันยากขึ้นเรื่อยๆ
ผมไม่อยากตื่นนอนในตอนเช้า
ทำไมเวลากลางคืนไม่ยาวกว่านี้อีกนิด
เวลาช่างใจร้ายเหลือเกิน ไม่รู้หรือว่ากว่าผมจะถึงบ้านนั้นก็ดึกแล้วกว่าจะอาบน้ำจัดการตนเองจนเสร็จเรียบร้อยนั่น
ผมก็มานั่งอยู่บนเตียงอย่างว่างเปล่าในตอนกลางดึกเล่นโทรศัพท์มือถืออย่างไร้จุดหมายแล้วก็นอน
...ภาวนาให้พรุ่งนี้ไม่มาถึง
ผมไม่รู้ว่าชอบอะไรในเวลากลางคืน ผมอาจจะชอบที่ได้อยู่คนเดียวเงียบๆหายใจเพียงคนเดียว แต่ผมก็เกลียดความรู้สึกที่ว่าพรุ่งนี้เช้าจะมาถึงในอีกไม่ช้า
พระอาทิตย์จะต้องขึ้น
และผมก็จะต้องไปทำงานอีกครั้ง
ทำงานที่จริงๆแล้วก็จะว่าสำคัญก็สำคัญแต่จะไม่สำคัญนั่นก็ไม่สำคัญเอาเสียเลย
เป็นต้นว่า ถ้าผมไม่ทำงาน ผมก็ไม่มีเงินกินข้าว ...นั่นสำคัญ
ถ้าผมไม่อยู่บนโลกนี่แล้ว พวกเขาก็หาคนใหม่มาแทนได้ในวันรุ่งขึ้น...นั่นคือไม่สำคัญที่ว่า
ผมยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบดึงตัวเองออกมาจากการครุ่นคิดถึงค่ำคืนอันชืดชาของตนเองมองพวกเขาที่หัวเราะอีกครั้ง
ผมหันไปยิ้มและพูดคุยกับคนข้างๆอย่างเชี่ยวชาญ
สิบปีทำให้คนเราเข้าสังคมได้ดีเยี่ยมอยู่แล้ว
แต่จะชอบหรือไม่นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ผมคิดว่าคนที่มีสปอตไลท์ส่องแสงนั้น พวกเขามีกองไฟกองหนึ่งอยู่ข้างในกองไฟที่จะทำให้วิ่งไปด้านหน้า
แต่ผมเกิดมาพร้อมกองไฟมอดๆกองหนึ่ง
ผมเกลียดการใช้ชีวิตไปวันๆ แต่ก็ใช้ชีวิตไปวันๆ
เกลียดความเป็นคนกลางๆ แต่ก็คร้านจะลุกขึ้นมาทำอะไรให้มันใหญ่โต
ผมนี่ช่าง...
ผมรู้สึกหมั่นไส้ตนเองชอบกล
เฮ้อ ผมอิจฉาเหล่าดาวฤกษ์จริงๆ
ผมคิดขณะจิบเบียร์ในมือ หัวเราะกับมุกตลกชืดๆของเพื่อนร่วมรุ่นพอเป็นมารยาท
ผมกระพริบตา รู้สึกตาแห้งและตาพร่าเล็กน้อยคิดที่ที่นอนอันแสนสงบและคิดถึงงานในวันรุ่งขึ้น
ผมคิดไปแล้วว่าตอนเช้าพรุ่งนี้ผมจะทำงานอะไรก่อน...
เมื่อสิบปีก่อน ตอนผมเริ่มทำงาน คนสัมภาษณ์งานถามผมว่าอีกสิบปีข้างหน้าผมเห็นตนเองเป็นอย่างไร
คำถามนี้ยากมากสำหรับผม
แต่ผมก็ตอบไปตามที่สมควรจะตอบ ผมเห็นตนเองมีการงานมั่นคงทำ
และตอนนี้สิบปีต่อมาผมก็มีการงานมั่นคงจริงๆ
แต่ผมรู้สึกตั้งแต่ปีแรกที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ผมคิดว่าผมไม่เหมาะกับสิ่งเหล่านี้เอาเสียเลย
ผมเบื่อ ผมรู้สึกเหมือนถูกฆ่าตายด้วยมีดเย็นชืดอยู่เบื้องหลังคอมนี่
และผมไม่อยากจะนั่งอยู่ตรงนี้ไปอีกสิบปี...หมายถึง โอเคตำแหน่งอาจจะเลื่อนบ้าง แต่ผมไม่อยากทำงานแบบนี้ไปจนเกษียณ
นั่นดูจืดชืดเกินไป
ผมหลุบตามองเบียร์ที่นอนนิ่งอยู่ในแก้วอีกครั้งกลิ่นของมันคุ้นเคยแต่ไม่ทำให้ผมสงบลงได้
ผมไม่อยากทำงานประเภทนี้แล้ว แต่ก็ไม่รู้จะไปทำงานไหน
ผมมันคนกลางๆ
ความฝันอะไรก็ไม่เคยมี
ผู้คนมักจะถามเสมอว่าตอนเด็กๆอยากเป็นอะไร
ผมอยากเป็นนักบินอวกาศ ก่อนจะเรียนรู้ในไม่กี่ปีถัดมาว่าอาชีพนักบินอวกาศน่ะไม่อะแวละเบิลในประเทศนี้
นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว
ชีวิตคนเรานี่ช่างจืดชืดได้อย่างน่ากลัวจริงๆ
ผมมองดาวฤกษ์ส่งยิ้มสดใสข้ามโต๊ะมาให้ แน่นอนเขาคงไม่ได้ยิ้มให้ผมหรอก
ผมแน่ใจว่าดาวฤกษ์ก็คงมีปัญหาแบบดาวฤกษ์
และดาวเคราะห์ก็มีปัญหาแบบดาวเคราะห์
แต่อย่างไรเป็นดาวฤกษ์มันก็ดีกว่า
แต่ก็เป็นดาวเคราะห์มาทั้งชีวิตแล้วนี่หว่า
คุณอาจจะมองว่าผมน่ะเป็นไอ้ขี้แพ้
อืม ก็คงใช่...มั้ง
เพราะถึงผมบ่นอยู่แบบนี้ แต่ผมก็ยังคงจะตื่นเช้าพรุ่งนี้ไปทำงานและในอีกสิบปีข้างหน้าก็คงจะยังอยู่หลังคอมพิวเตอร์แบบนี้ แค่อาจจะย้ายที่เล็กน้อยเงินเดือนเพิ่มอีกนิดหน่อย
หวังว่าคุณจะเป็นดาวฤกษ์
หรือไม่ก็ดาวเคราะห์ที่สว่างกว่าผมนะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in