เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
wild rabbit #jaedohbrxnct
Chapter 30 : The Keegan family murders





  • เจย์เดนคิดว่าหากการทำให้ผู้อื่นตกตะลึงนั้นนับได้ว่าเป็นความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง แดนเนลก็คงเป็นคนที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสามารถพิเศษนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

    เพราะตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมา อีกฝ่ายได้ทำให้เขารู้สึกเช่นนั้นไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ในทุก ๆ ครั้งที่เขาได้รับรู้เรื่องราวอันน่าตกใจเกี่ยวกับอีกฝ่าย ซึ่งเขาก็คิดว่านี่คงเป็นที่สุดและไม่มีเรื่องไหนที่จะทำให้เขาตกใจได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว ทว่าในไม่กี่อึดใจต่อมาเขาก็ค้นพบว่าแดนเนลยังคงมีเรื่องอื่นที่ชวนให้รู้สึกตกใจยิ่งกว่าซ่อนเอาไว้อยู่อีก และมันก็ช่างมีอยู่อย่างมากมายเสียเหลือเกิน

    ราวกับว่าตัวตนที่อีกฝ่ายยินยอมเปิดเผยให้เขาได้ทำความรู้จักเป็นเพียงแค่ส่วนของยอดภูเขาน้ำแข็งที่โผล่พ้นเหนือน้ำเท่านั้น และด้านใต้ของภูเขาน้ำแข็งที่อีกฝ่ายเก็บงำเอาไว้ก็จมอยู่ลึกเกินกว่าที่ใครจะสามารถดำดิ่งลงไปสัมผัสมันได้ เจย์เดนรู้สึกเหมือนยิ่งเขาพยายามเข้าใกล้อีกฝ่ายมากเท่าไหร่ ระยะห่างระหว่างเขากับอีกฝ่ายก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้นมากเท่านั้น

    และมันก็ทำให้เขายิ่งเจ็บใจ

    เพราะตัวตนแท้จริงของแดนเนลที่เขาได้ทำความรู้จักด้วยตัวเองจนเผลอตกหลุมรักไปนั้น มันมีไม่ถึงครึ่งจากที่เขาได้ทำความรู้จักอีกฝ่ายผ่านฐานข้อมูลเลยด้วยซ้ำ

    "นายคิดว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่แดนเนลจะเป็นหนึ่งในสองพี่น้องที่หายสาปสูญไปของครอบครัวคีแกน"

    แม้เจย์เดนจะมีคำตอบที่ค่อนข้างแน่ชัดในใจอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเลือกเอ่ยถามความเห็นจากคนปลายสาย นาทีนี้เขาต้องการความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่ง ว่าสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่นี้มีความเป็นไปได้จริง ๆ ไม่ใช่เพียงแค่ข้อสันนิษฐานที่เขาตั้งขึ้นเองมาอย่างเลื่อนลอย

    [ไม่ใช่แค่มีความเป็นไปได้ แต่ฉันว่าใช่เลยล่ะ] และเทย์เลอร์ก็ให้ตอบที่เป็นไปในทางเดียวกันกับเขา เพราะหลักฐานที่ปรากฎชัดเจนนั้นคือสิ่งที่ยากจะทำให้มีคำตอบอื่นได้ [เว้นแต่ผลดีเอ็นเอจะผิดพลาด]

    ซึ่งพวกเขาทั้งคู่ต่างก็รู้กันดี ว่าข้อมูลดีเอ็นเอที่อยู่บนฐานข้อมูลนั้น—ไม่มีทางผิดพลาด

    "ถ้าลองเทียบระยะเวลาที่เกิดคดีกับอายุของสองพี่น้องดู ตอนนี้คนโตก็น่าจะอายุสามสิบ" เจย์เดนลองคิดคำนวณคร่าว ๆ "ส่วนคนเล็กก็คงยี่สิบแปด"

    [ยี่สิบแปด อืม...เท่ากับอายุของแดนเนลเลย] ปลายสายพึมพำ [และการที่คน ๆ หนึ่งจะหายสาปสูญไป แล้วจู่ ๆ ก็โผล่กลับขึ้นมาพร้อมตัวตนใหม่มันก็มีความเป็นไปได้อยู่แค่ไม่กี่อย่าง...]

    "นายหมายถึงโครงการคุ้มครองพยานงั้นสินะ"

    [อาฮะ ดูท่าแล้วคงเข้าโครงการนี้กันทั้งพี่ทั้งน้องเลยด้วย]

    โครงการคุ้มครองพยานที่ทั้งคู่พูดถึงนั้น เป็นโครงการที่มีไว้สำหรับปกป้องและดูแลความปลอดภัยให้กับพยานสำคัญในคดีใดคดีหนึ่งที่ถูกข่มขู่หรือคุกคามตั้งแต่ก่อน อยู่ในระหว่าง ไปจนถึงหลังการพิจารณาคดี โดยมีหลายหน่วยงานร่วมมือกันรับผิดชอบภายใต้การควบคุมดูแลของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งรูปแบบการคุ้มครองพยานนั้นจะถูกแบ่งออกเป็นสองระดับ คือการคุ้มครองระยะสั้น และการคุ้มครองระยะยาว

    โดยการการคุ้มครองระยะสั้นนั้นจะมีการจัดหาที่พักชั่วคราวและอำนวยความสะดวกในการเข้าร่วมกระบวนการพิจารณาคดีให้กับพยานจนกว่าการพิจารณาคดีเสร็จสิ้น ซึ่งพยานสามารถกลับเข้ามาอยู่ภายใต้โครงการได้ใหม่เรื่อย ๆ เมื่อมีเหตุจำเป็น แม้ว่าการคุ้มครองจะสิ้นสุดลงแล้วก็ตาม ในขณะที่การคุ้มครองระยะยาวนั้นจะเป็นการคุ้มครองไปจนถึงหลังการพิจารณาคดีเสร็จสิ้น ซึ่งในการคุ้มครองระยะนี้โดยมากแล้วจะเป็นการย้ายถิ่นฐาน รวมถึงมีการเปลี่ยนชื่อและตัวตนใหม่ให้กับพยานและครอบครัว

    ขั้นตอนทั้งหมดจะเริ่มต้นขึ้นเมื่ออัยการสูงสุดมีความเห็นว่าพยานสำคัญในคดีมีความเสี่ยงที่จะตกอยู่ในอันตราย สำนักงานอัยการจะส่งเรื่องไปให้กรมบังคับคดี หรือโออีโอพิจารณา เมื่อการพิจารณาเสร็จสิ้นและพยานคนนั้นได้รับการอนุมัติให้เข้าสู่โครงการ เจ้าหน้าที่กรมบังคับกฎหมาย หรือยูเอสมาร์แชลจะเข้ามารับช่วงต่อในการให้ความคุ้มครองความปลอดภัยของพยานและครอบครัว แต่ถ้าหากพยานคนนั้นเป็นนักโทษ หน้าที่คุ้มครองความปลอดภัยของพยานคนนั้นก็จะเป็นของกรมราชทัณฑ์ หรือบีโอพีแทน

    ยูเอสมาร์แชลเป็นหน่วยงานหลักที่มีหน้าที่ในการดูแลและจัดการทุกอย่างให้กับพยานและครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการคุ้มครองพยานระหว่างที่คดีกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา ไปจนถึงจัดหาชื่อและเอกสารเพื่อยืนยันตัวตนใหม่ของพยาน จัดหาที่อยู่ เงินอุดหนุน อาชีพ รวมถึงให้ความช่วยเหลือด้านอื่น ๆ ตามความจำเป็น โดยข้อมูลและเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับพยานหรือบุคคลที่ได้รับการพิจารณาหรืออนุญาตให้เข้าสู่โครงการจะมีนโยบายในการเปิดเผยข้อมูลตามความจำเป็นที่เข้มงวด

    "แต่ในรายงานคดีไม่ได้มีบอกไว้นี่"

    [ใช่ แต่มันก็เคยมีกรณีทำนองนี้อยู่ไม่ใช่หรือไง ที่พยานกลายเป็นบุคคลสาปสูญแต่ความจริงแล้วถูกดึงให้เข้าร่วมโครงการคุ้มครองพยานระยะยาวน่ะ]

    "ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี" เจย์เดนมุ่นคิ้วเล็กน้อย "ว่าทำไมถึงไม่มีเรื่องนี้ในรายงาน มันไม่มีเหตุผลที่ต้องปิดบังเลย"

    [นายจะลองไปคุยกับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบคดีตอนนั้นดูไหมล่ะ] เทย์เลอร์ว่า [เพจน่ะ]

    "เพจ—นายหมายถึงโจชัว เพจ หัวหน้าแผนกคดีฆาตกรรมน่ะเหรอ"

    [อาฮะ เพจคนนั้นนั่นล่ะ ถ้าให้เขาช่วยบางทีอาจทำให้การขอข้อมูลตัวตนใหม่ของเดลตันจากยูเอสมาร์แชลง่ายขึ้นก็ได้นะ]

    "โอเค ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันคุยกับเขาเอง ส่วนเรื่องขอรื้อคดีของครอบครัวคีแกนก็ฝากนายด้วยแล้วกัน"

    [ตามนั้นเลยพวก]




    เจย์เดนต่อสายหาโจชัว เพจ ทันทีหลังจากที่สายของไทรอนถูกวางลง เขากลับมานั่งที่โต๊ะของตัวเองอีกครั้ง ก่อนที่ปลายสายตาจะเหลือบมองไปยังเวลาที่ปรากฎอยู่บนมุมขวาด้านล่างของหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นเวลากว่ายี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วนับตั้งแต่ที่แดนเนลหายตัวไปจากเซฟเฮ้าส์ ทว่าข้อมูลเกี่ยวกับการตามแกะรอยรถทั้งจากทางเอฟบีไอและซีไอเอยังคงเงียบงัน

    เจ้าหน้าที่หนุ่มดูงุ่นง่านไม่น้อยยามนั่งฟังเสียงสัญญาณขณะรอสายดังกล่าว เขาพยายามระบายความกระวนกระวายดังกล่าวออกด้วยการคว้าปากกาบนโต๊ะมากดจนเกิดเสียง คลิ๊ก ๆ ๆ ทว่าน่าเสียดายที่มันไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย

    เขารู้ดีว่าเป็นเพราะตัวเขาเองต่างหากที่ร้อนรน แต่ละวินาทีที่ผ่านไปถึงได้เชื่องช้าจนชวนให้หงุดหงิดใจเหลือเกินอย่างนี้

    เสียงสัญญาณรอสายถูกตัดไป โจชัวไม่ได้รับสายของเขา เจย์เดนกดโทรหาอีกฝ่ายซ้ำเป็นรอบที่สอง...สาม...สี่...แต่ก็ได้รับเพียงสัญญาณรอสายเช่นเดิมตอบกลับมา เจ้าหน้าที่หนุ่มถอนหายใจ พยายามคิดในแง่ดีบางทีโจชัวอาจกำลังติดธุระบางอย่างทำให้ไม่สามารถมารับสายของเขาได้ และหวังว่าอย่างน้อยก็ขอให้อีกฝ่ายโทรกลับมาเมื่อเห็นเบอร์เขาขึ้นอยู่ในสายที่ไม่ได้รับ

    เจย์เดนหันมองไปยังเจ้าหน้าที่ซีไอเอคนอื่นที่จมดิ่งอยู่กับงานตรงหน้า ต่างจากเขาที่พอหน้าที่ประสานงานเสร็จสิ้นแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทำต่ออีก เขาคิดว่าตัวเองกำลังประสาทเสียมากขึ้นทุกที เขาอยากทำอะไรได้มากกว่าการต้องมานั่งรอไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมายอย่างนี้

    และในขณะที่เขากำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้น เขาก็สังเกตเห็นไทรอนที่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของเจ้าตัวหันมากวักมือเรียก สีหน้าของอีกฝ่ายดูเครียดขึ้งไม่น้อย เจย์เดนเลิกคิ้วเล็ก ๆ พลางยกนิ้วชี้นชี้ที่อกตัวเอง และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพยักหน้าตอบกลับมาให้ เขาจึงได้ลุกเดินไปหา

    "มีอะไรงั้นเหรอ"

    เขาเอ่ยถาม และก็ได้ยินเสียงอีกฝ่ายถอนหายใจอย่างหนักหน่วงเป็นคำตอบ

    "ผมเจอคลิปวิดีโอคลิปหนึ่งในแล็ปท็อปของแดนเนล จากที่ดูผมคิดว่าคงเป็นคลิปจากกล้องวงจรปิด" ไทรอนว่า "แต่มันเป็นคลิปเมื่อนานมาแล้ว เป็นสิบปีแน่ะ ความละเอียดของมันเลยค่อนข้างต่ำ แล้วในคลิปก็ค่อนข้างรุนแรงพอควร คุณลองดู"

    เจย์เดนเหลือบมองภาพนิ่งที่ปรากฎอยู่บนจอ มันเป็นภาพถ่ายมุมสูงในห้องรับแขกของบ้านหลังหนึ่งที่มีชุดโซฟาขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้องและมีช่องโค้งที่เชื่อมกับห้องอื่น ๆ อีกสองช่อง ช่องด้านขวาเชื่อมไปยังห้องครัว ส่วนด้านซ้ายเชื่อมกับโถงทางเดินและบันไดขึ้นชั้นสอง

    ไทรอนคลิกเล่นวิดีโอดังกล่าวและเร่งความไวของมันให้ไวขึ้นสองเท่า เขาเหลือบมองวันที่และเวลาตรงมุมซ้ายบนของจอ มันบ่งบอกว่าช่วงเวลาที่มันทำการบันทึกคลิปวิดีโอนี้เป็นกลางดีกของคืนหนึ่งเมื่อสิบสี่ปีที่แล้ว และความละเอียดของภาพนั้นค่อนข้างต่ำอย่างที่อีกฝ่ายว่าไว้จริง ๆ ภาพของมันทั้งแตกและไม่ชัดเจน ต่างจากภาพที่ได้จากกล้องวงจรปิดยุคปัจจุบันลิบลับ

    ความยาวของคลิปอยู่ที่สี่นาทีสี่สิบสองวินาที และในช่วงยี่สิบวินาทีแรกของคลิปก็มีเพียงความสงบนิ่ง ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น จนกระทั่งเมื่อเริ่มมีเงาของบางสิ่งขยับเขยื้อนอยู่ตรงด้านหนึ่งของจอ ไทรอนจึงลดความไวของคลิปให้ช้าลง

    มันเป็นเงาร่างของชายคนหนึ่งที่กำลังถือไม้เบสบอลและค่อย ๆ ย่องออกมาจากซุ้มโค้งด้านขวา ท่าทีระแวดระวัง ด้านหลังของซุ้มโค้งนั้นมีหญิงสาวอีกคนยืนซ่อนอยู่ และเธอชะเง้อคอออกมามองเป็นระยะ ขณะเดียวกันก็กดโทรศัพท์มือถือขึ้นแล้วยกขึ้นแนบหู ดูเหมือนกำลังโทรหาใครสักคน ท่าทีของเธอดูกระวนกระวาย

    คลิปเล่นไปจนถึงช่วงที่ชายคนนั้นก้าวพ้นออกไปจากอีกฟากของจอ ไทรอนซูมหน้าจอเข้าไปยังจุดที่หญิงสาวยืนอยู่ ภาพที่ขยายใหญ่ขึ้นเต็มหน้าจอนั้นแตกออกเป็นพิกเซลสี่เหลี่ยมสีเทาต่างเฉดกัน ไทรอนมุ่นคิ้ว รู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่การแลกที่คุ้มค่าสักเท่าไหร่ ภาพบนจอจึงถูกซูมออกกลับมาเป็นแบบเดิมอย่างรวดเร็ว

    ในตอนนั้นเองที่เจย์เดนสังเกตุเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งเดินลงมาจากบันได ก่อนที่หญิงสาวคนนั้นจะหันไปคุยอะไรบางอย่างกับเด็กหนุ่มพลางใช้มือทั้งสองดันแขนให้เขากลับขึ้นไปด้านบน เด็กหนุ่มก้าวกลับขึ้นไป ท่าทางดูลังเล มุมกล้องสุดที่ชานพักบันได และเขาก็สังเกตเห็นฝ่าเท้าของเด็กชายหยุดอยู่ที่ตรงนั้น

    เวลาในคลิปเริ่มเข้าสู่นาทีที่สอง หญิงสาววางสายโทรศัพท์ลงก่อนจะหันไปคว้าเอารูปปั้นที่วางตกแต่งอยู่บนโต๊ะข้างบันไดมาถือไว้ เธอกลับมาประจำที่เดิม ที่ด้านหลังซุ้มโค้ง และลอบมองสิ่งที่เกิดขึ้นอีกฟากของห้องโดยไม่เขยื้อนกายไปไหน เวลาอีกครึ่งนาทีผ่านไป หญิงสาวที่ยืนนิ่งเงื้อรูปปั้นในมือขึ้น ท่าทีเตรียมพร้อม ก่อนที่อีกฝั่งของจอจะมีเงาร่างของใครบางคนปรากฎขึ้น ดูจากลักษณะโดยรวมสามารถประมาณได้อย่างคร่าว ๆ ว่าเป็นชายรูปร่างสมส่วน ผมเผ้าดูยุ่งเหยิง กล้องวงจรปิดสามารถจับภาพใบหน้านั้นไว้ได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น ก่อนที่มันจะถูกปกปิดด้วยหมวกโม่งที่เจ้าตัวนำขึ้นมาสวมอย่างรวดเร็ว การกระทำดังกล่าว รวมไปถึงปืนสั้นที่อีกฝ่ายกำลังถืออยู่ในมือนั้น ทั้งหมดสามารถบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเจ้าตัวไม่ใช่ผู้มาดี

    เกิดการปะทะขึ้นในทันทีเมื่อผู้บุกรุกก้าวไปถึงช่องโค้ง หญิงสาวที่เงื้อรูปปั้นรออยู่ใช้มันฟาดลงไปในทันที แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไหวตัวทัน แทนที่รูปปั้นนั้นจะกระแทกเข้าที่ศีรษะอย่างจังจึงพลาดเบี่ยงไปกระแทกเข้าที่สะบัก แรงครูดที่เกิดขึ้นทำให้เหลี่ยมมุมของรูปปั้นเกี่ยวเอาคอเสื้อยืดตามลงไปด้วย แต่แรงนั้นก็ไม่ได้มีมากพอที่จะทำให้เกิดการรัดคอ ผู้บุกรุกเซไปเล็กน้อย และความพยายามในการต่อสู้ของหญิงสาวยังคงไม่ลดละ เธออาศัยจังหวะนั้นเงื้อรูปปั้นในมือขึ้น หมายจะฟาดมันลงไปอีกรอบ ทว่าไม่ทันทีเธอจะได้ฟาดมันลงมาอีกเป็นครั้งที่สองก็ถูกอีกฝ่ายใช้ปืนในมือยิงเข้าที่หน้าท้อง เธอตัวงอ ยังคงยืนได้อยู่ แต่ไม่มีแรงจะถือรูปปั้นในมืออีกต่อไป มันร่วงหล่นพื้น

    กระสุนถูกลั่นอีกนัด ครั้งนี้มันพุ่งตรงเข้าไปที่ขา เธอล้มลงแต่ยังคงพยายามที่จะลุกขึ้นสู้ต่อ กระสุนลั่นอีกนัด เข้าที่อก ในที่สุดครั้งนี้เธอก็หงายหลังและกระเสือกกระสนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าของเธอหันมองขึ้นไปบนบันได ฝ่าเท้าของเด็กหนุ่มที่หยุดอยู่ตรงชานพักเมื่อครู่หายไปจากมุมจอแล้ว คลิปเข้าสู่นาทีที่สาม ผู้บุกรุกค่อย ๆ ย่างกรายเข้าไปหาร่างของหญิงสาวที่นอนอยู่บนพื้น เขายกมือซ้ายเอื้อมไปลูบบริเวณสะบักของตนที่โดนรูปปั้นฟาดเข้าเมื่อครู่ ก่อนจะปล่อยกระสุนนัดสุดท้ายให้พุ่งเข้าเจาะกะโหลกศีรษะของเธอ ดับคาที่

    ความชุลมุนดังกล่าวเกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็ว ระยะเวลาตั้งแต่หญิงสาวเริ่มต่อสู้ไปจนถึงวินาทีที่เธอล้มลงสิ้นในนั้นไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำ และในขณะที่ผู้บุกรุกกำลังจะก้าวพ้นซุ้มโค้งเพื่อขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของตัวบ้าน บางสิ่งบางอย่างก็ดึงความสนใจให้จำต้องรีบหันหลังขวับไปสาดกระสุนใส่หนึ่งนัด—และอีกหนึ่งนัด ก่อนที่จะรีบพุ่งตัวออกไปจากห้องนี้ทางข้างระเบียงของบ้าน ไทรอนคลิกเร่งความเร็วของคลิปอีกครั้งจนกระทั่งถึงวินาทีสุดท้ายและจบลง ไม่มีความวุ่นวายใดเกิดขึ้นอีก

    "นี่มัน—" เจย์เดนคอแห้งผากชั่วขณะ รู้สึกยากลำบากในการเอ่ยอะไรออกมาแต่ละคำ "ใช่คลิปจากกล้องวงจรปิดของบ้านคีแกนหรือเปล่า"

    "ผมก็ไม่รู้เหมือนกันแฮะว่ามันเป็นของบ้านไหน" ไทรอนพึมพำ "นอกจากตัวคลิปและวันที่ที่ติดอยู่ในนั้นมันก็ไม่มีข้อมูลอื่นอีกแล้วน่ะ"

    "ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยหาแหล่งที่มาให้ผมหน่อยได้ไหมว่าแดนเนลไปได้มันมาได้ยังไง" เจย์เดนว่า "แล้วก็...ผมขอไฟล์คลิปด้วย คุณช่วยส่งมาให้หน่อยนะ"

    "เรื่องไฟล์ผมแบ็คอัพไว้บนเซิฟเวอร์เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวผมส่งลิ้งก์กับรหัสไปให้ ส่วนเรื่องแหล่งที่มา—" ไทรอนคลิกดูข้อมูลของไฟล์ก่อนจะเริ่มคาดเดา "ดูจากวันและเวลาที่สร้างแล้วเป็นช่วงที่เราบุกเซิฟเวอร์ฟาร์มของพวกดาร์กเว็บ เขาคงได้มันมาพร้อมกับพวกข้อมูลอื่น ๆ นั่นล่ะ"

    "วันนั้นเขาได้บอกอะไรคุณเกี่ยวกับคลิปนี้บ้างไหม"

    "ไม่เลย" ไทรอนปฏิเสธ "เขาคงไม่ได้บอกอะไรคุณเหมือนกันสินะ"

    "อืม...เขาไม่ได้บอกอะไรผมเลยสักนิดเดียว"

    "แล้วบ้านคีแกนที่คุณพูดถึงเมื่อกี้นี่ยังไงกัน"

    "มันเป็นคดีค้างเก่าของเอฟบีไอน่ะ คุณจำเชสเตอร์ที่ตายในห้องเซิฟเวอร์ได้ใช่ไหม" เจย์เดนเริ่มอธิบายอย่างรวดเร็ว "ก่อนหน้านี้เขาเคยติดคุกคดีฆาตกรรมโดโนแวนแล้วเพิ่งจะพ้นโทษออกมา อันที่จริงเขาเกือบจะรอดคุกอยู่แล้วเพราะเขาลบไฟล์กล้องวงจรปิดทิ้งไปได้ แต่บังเอิญลูกชายคนเล็กครอบครัวคีแกนดันไปเจอแล้วแบ็คอัพมันไว้เสียก่อน พอเอฟบีไอได้หลักฐานมาบ้านคีแกนก็ถูกบุกรุก พ่อแม่ตาย ส่วนลูกชายอีกสองคนหายสาปสูญ ไฟล์กล้องวงจรปิดของบ้านก็ถูกลบทิ้งหายไปเหมือนคดีโดโนแวนไม่มีผิด และน่าเสียดายที่ครั้งนี้ไม่ได้โชคดีมีคนแบ็คอัพเอาไว้ให้ จนตอนนี้คดีก็ยังปิดไม่ลง"

    "คุณเลยคิดว่าคลิปนี่คือไฟล์กล้องวงจรปิดที่หายไปงั้นสินะ"

    "ถ้าดูจากช่วงเวลาแล้วก็น่าจะใช่"

    "แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมแดนเนลต้องไปโหลดมันมาด้วย หรือว่าเขามีความเกี่ยวข้องกับบ้านคีแกน" อาจเพราะความสามารถในการเชื่อมโยงของเจ้าหน้าที่ซีไอเอนั้นถือได้ว่าอยู่ในระดับสูงกว่าคนทั่วไปอยู่มาก ในที่สุดแล้วไทรอนจึงสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดเข้าด้วยกันได้อย่างรวดเร็วโดยที่เจย์เดนไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติม และมันก็ช่างแม่นยำจนน่าสะพรึง ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย "หรือว่าลูกชายของครอบครับคีแกน—คือเด็กสองคนในรูปที่คุณเจอนั่น"

    "ใช่ เขาคือหนึ่งในนั้น" เจย์เดนว่า ก่อนจะเอ่ยต่อโดยไม่สนอาการปากอ้าตาค้างด้วยความตกใจของอีกฝ่าย "ดีเอ็นเอของแดนเนลมันไปตรงกับนายและนางคีแกนที่เสียชีวิตไปน่ะ ผมกับคู่หูเลยคิดว่าบางทีเขาอาจจะไม่ได้หายสาปสูญ"

    "งั้นก็แย่ล่ะ..." ไทรอนพึมพำ "พอทุกอย่างมันโยงเข้าหากันหมดแบบนี้ จู่ ๆ ผมก็แอบรู้สึกว่ามันอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ"

    "คุณว่าที่แดนเนลกับริชาร์ดแอบติดต่อกันมาโดยตลอดมันจะเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยไหม—เพราะต้องการแก้แค้น"

    "ผมว่ามีความเป็นไปได้" อีกฝ่ายตอบ "เจอไปตั้งขนาดนั้นถ้าไม่คิดแค้นอะไรเลยเขาก็คงไปบวชเป็นนักบุญแล้วล่ะ"

    ไม่ทันที่เจย์เดนจะได้พูดอะไรต่อ สมาร์ทโฟนในมือของเขาก็สั่นครืดพร้อมกับส่งเสียงดังขึ้น บนหน้าจอแสดงสายเรียกเข้าจากโจชัว เพจ

    เจย์เดนไม่รั้งให้ปลายสายต้องรอนาน เขาพยักหน้าให้กับไทรอนเบา ๆ ครั้งหนึ่งเป็นการบอกว่าไว้เดี๋ยวค่อยคุยกันต่อ ก่อนจะกลับไปยังโต๊ะทำงานของตัวเองและกดรับสายในมือทันที

    [สวัสดี ผมเห็นคุณโทรมาเมื่อครู่เลยโทรกลับน่ะ]

    เสียงทุ้มนุ่มจากปลายสายคือเสียงที่เจย์เดนจำได้แม่นว่ามันคือเสียงของหัวหน้าแผนกสืบสวนพิเศษคดีฆาตกรรมคนปัจจุบัน

    "สวัสดีครับ ผมเจย์เดน จอง จากแผนกอาชญากรรมไซเบอร์"

    [อาชญากรรมไซเบอร์เหรอ โทรมาเรื่องคดีครอบครัวคีแกนสินะ]

    อีกฝ่ายเดาจุดประสงค์ของเขาออกอย่างรวดเร็ว และมันก็ดูรวดเร็วเกินไปจนทำให้เขารู้สึกคลางแคลงใจ

    "เหมือนคุณรู้อยู่แล้วเลยว่าผมจะโทรมาหาคุณเรื่องนี้"

    [มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เดายากหรือเปล่า ในเมื่อช่วงนี้คดีฆาตกรรมที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมไซเบอร์ก็มีแค่คดีเชสเตอร์ ซึ่งมันก็เกี่ยวโยงกับคดีครอบครัวคีแกนที่ผมเป็นคนรับผิดชอบและยังปิดไม่ลง] ทักษะการสันนิษฐานของอีกฝ่ายนั้นช่างสมกับประสบการณ์ทำงานด้านสืบสวนสอบสวนคดีฆาตกรรมนับสิบปีของเจ้าตัว [อีกอย่างโลแกนเองก็เพิ่งจะมาถามผมเมื่อครู่นี้ แต่ว่านะ ทุกอย่างที่ผมรู้เกี่ยวกับคดีนี้ก็อยู่ในฐานข้อมูลหมดแล้ว คุณสามารถไปหาอ่านดูได้]

    "คงไม่ใช่ทุกอย่างหรอกมั้ง ผมมีเรื่องนอกเหนือจากในฐานข้อมูลที่อยากรู้อยู่สองสามเรื่อง และจะยินดีมากหากคุณยอมบอกผม"

    [แล้วเรื่องที่คุณอยากรู้คืออะไรล่ะ ผมตอบคุณได้หมดแหละตราบเท่าที่อยู่ในขอบเขต]

    "ปกติแล้วการทำให้พยานกลายเป็นบุคคลสูญหาย คือหนึ่งในเทคนิคใช้เลี่ยงในกรณีที่ไม่ต้องการระบุในแฟ้มคดีว่าพยานคนนั้นคือคนที่เข้ารับโครงการคุ้มครองพยานถูกไหม และคุณที่เป็นเจ้าของคดีคือคนทำให้สองพี่น้องเข้ารับโครงการนี้" เจย์เดนเอนหลังพิงกับพนักพิงเก้าอี้ทำงาน ขณะดึงรูปถ่ายที่เขาได้จากการค้นโกดังของแดนเนลออกมาจากแฟ้ม "ผมไม่อ้อมค้อมเลยแล้วกัน วันนี้ผมเจอรูปของพี่น้องคีแกนในโกดังเก็บของส่วนตัวของแดนเนล คิม เพื่อนร่วมทีมในภารกิจล่าสุดของผม ในฐานข้อมูลคดีครอบครัวคีแกนมันไม่มีข้อมูลที่เกี่ยวกับเขาเลย และที่สำคัญเลยคือดีเอ็นเอของเขามันไปตรงกันกับของนายและนางคีแกนที่เสียชีวิต"

    [เสียใจด้วยนะเจย์เดน แต่เรื่องนี้ผมคงช่วยอะไรไม่ได้ คุณคงต้องไปหาคำตอบเอาเองแล้วล่ะ] โจชัวตอบปัดอย่างไร้เยื่อใย [เพราะผมก็ไม่รู้เหมือนกัน]

    "งั้นเหรอ น่าเสียดาย..."

    เจย์เดนพึมพำ ขณะใช้ปลายนิ้วโป้งของตนไล้เบา ๆ ไปมาบริเวณกรอบหน้าของเด็กชายที่ตัวเล็กที่สุดในรูปนั้น

    [ว่าแต่ หลังจากนี้คุณพอมีเวลาว่างไหมล่ะ] อีกฝ่ายเอ่ยถามขึ้น [ผมกำลังหาเพื่อนดื่มอยู่น่ะ]

    "ที่ไหนล่ะ"

    เจย์เดนรับรู้ได้ในทันทีว่านี่คือการเปิดโอกาสสำหรับสร้างบทสนทนาที่เป็นส่วนตัว และแน่นอนว่าเขาไม่มีทางพลาดที่จะคว้ามันเอาไว้

    โจชัวเอ่ยชื่อบาร์แห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากสำนักงานสอบสวนกลางออกมา และเขาก็ตอบรับด้วยการบอกอีกฝ่ายว่าตนน่าจะไปถึงที่นั่นในครึ่งชั่วโมง




    เขาสังเกตเห็นโจชัวที่กำลังนั่งดื่มเบียร์อยู่ตรงโต๊ะใกล้ประตูบาร์ทันทีที่เขาไปถึง เจย์เดนรู้จักอีกฝ่ายอยู่แล้ว และเขาก็คิดว่าอีกฝ่ายคงรู้จักเขาจากฐานข้อมูลขององค์กรแล้วเช่นเดียวกัน

    "นั่งสิ"

    อีกฝ่ายเอ่ยเชื้อเชิญ ก่อนจะยกมือขึ้นเรียกพนักงานเสิร์ฟมาที่โต๊ะ

    เจย์เดนสั่งเบียร์ลาเกอร์ที่มีรสชาติและแอลกอฮอล์ที่น้อยกว่า ในขณะที่โจชัวใช้ปลายนิ้วชี้เคาะเบา ๆ ที่แก้วอันว่างเปล่าของตนและชูนิ้วเป็นการบอกกับพนักงานว่าขอแบบเดิมเพิ่มอีกหนึ่งแก้ว

    "เข้าเรื่องกันเลยไหม" คนที่เพิ่งนั่งลงได้ไม่ถึงนาทีกล่าว "พอดีผมค่อนข้างรีบน่ะ"

    "เอาสิ เรื่องของพี่น้องคีแกน ถูกไหม"

    "อาฮะ" เจย์เดนตอบรับเบา ๆ "ผมแค่อยากรู้ว่าการคาดเดาของผมถูกหรือเปล่า เรื่องตัวตนใหม่ของคีแกนคนน้อง"

    "ข้อมูลของบุคคลที่เข้าโครงการคุ้มครองพยานคือความลับ ขนาดตัวผมที่เป็นเจ้าของคดียังไม่ได้รับอนุญาตให้รู้เลย"

    "แต่คุณก็รู้ใช่ไหม"

    "อะไรทำให้คุณคิดว่าผมรู้กันล่ะ"

    "เพราะคุณชวนผมออกมาดื่มที่นี่" เจย์เดนว่า "อันที่จริงผมแค่อยากได้คำยืนยันเพิ่มเติมจากคุณเฉย ๆ"

    "อืม ก็อย่างที่คุณคิดนั่นแหละ"

    "ถ้าอย่างนั้นคุณเองก็ยังสืบคดีนั้นอยู่ใช่หรือเปล่า"

    "ใช่แล้วล่ะ" อีกฝ่ายตอบ "ถึงตอนนี้มันจะไม่ใช่ความรับผิดชอบของผมแล้วก็เถอะ มันกลายเป็นคดีที่ปิดไม่ลงหลังจากสองพี่น้องเข้ารับโครงการคุ้มครองพยานได้ไม่กี่เดือน และตอนนี้คุณก็คงเดาได้"

    "กลายเป็นคดีค้างเก่าไปเรียบร้อยแล้วสินะ"

    "อาฮะ"

    โจชัวพยักหน้า ก่อนจะเงียบไปครู่หนึ่งเพื่อรอให้พนักงานที่เดินถือเบียร์สองแก้วตรงมายังโต๊ะของพวกเขาทำการเสิร์ฟจนเรียบร้อย

    "แล้วคุณคิดว่าโทนี่ อัน จะมีความเกี่ยวข้องกับอะไรคดีครอบครัวคีแกนบ้างไหม"

    เจย์เดนเอ่ยถามหลังจากพนักงานเสิร์ฟคนนั้นเดินจากไปแล้ว ก่อนจะยกแก้วเบียร์สีเหลืองอ่อนใสตรงหน้าตนขึ้นจิบ ทว่ารสขมละมุนบางเบาและกลิ่นสดชื่นจากฮอปส์ที่ถูกหมักบ่มในเบียร์นั้นก็ไม่ได้ช่วยให้ความตึงเครียดของเขาลดน้อยลงเลย

    "แล้วคุณล่ะ มีความเห็นว่าไงบ้าง"

    "ไม่รู้สิ หลักฐานในคดีนั้นมีอะไรบ้างนะ แค่ปลอกกระสุนใช่ไหมในรายงาน"

    "จริง ๆ แล้วยังมีพยานผู้เห็นเหตุการณ์อีกหนึ่งคน แต่พยานยังเป็นแค่เยาวชน แถมยังมีอาการของพีทีเอสดี เลยสอบปากคำอะไรไม่ได้มากนัก"

    "แล้วพยานคนนั้นก็คือ..."

    "คีแกนคนน้องน่ะ" โจชัวตอบ น้ำเสียงของเขาฟังดูเครียดขึ้งมากขึ้น "เห็นแม่โดนยิงต่อหน้าต่อตาเลย"

    "แปลว่าตอนนั้นเขาก็เจอกับฆาตกรน่ะสิ"

    "ใช่แล้วล่ะ แต่เขาไม่ได้เห็นหน้ามันหรอกนะ เพราะว่ามันสวมหมวกโม่งปิดหน้าไว้ พอพ้นเหตุการณ์คืนนั้นมาเขาก็มักจะมีอาการเหม่อลอยอยู่บ่อย ๆ ไม่ค่อยตอบสนองเท่าไหร่ แล้วก็แทบไม่พูดอะไรเลยเพราะอาการพีทีเอสดีนั่น คุณได้อ่านแฟ้มคดีหรือยัง"

    "ยังเลย แต่คู่หูผมสรุปให้ฟังคร่าว ๆ แล้ว"

    "อืม ที่คดีนี้ไปเกี่ยวโยงกับคดีของเชสเตอร์ก็เพราะคีแกนคนน้องเป็นพยานเพียงคนเดียวในคดีของเชสเตอร์" โจชัวว่า "เด็กนั่นมีหลักฐานจากกล้องวงจรปิด คุณคงรู้แล้วใช่ไหมว่าเหยื่อในคดีฆาตกรรมของเชสเตอร์น่ะคือพวกของเราที่ตอนนั้นแฝงตัวไปเป็นภารโรงในโรงเรียนมัธยมเพื่อสืบเรื่องเครือข่ายการค้ายา และแก๊งของเชสเตอร์ก็เป็นแก๊งที่คุมพื้นที่แถบนั้นในตอนนั้น นี่คือแรงจูงใจของคดีเชสเตอร์ มันก็เหมือน ๆ แรงจูงใจส่วนใหญ่ของคดีฆาตกรรมแถวนั้น คือเพื่อฆ่าปิดปาก แต่เชสเตอร์น่ะฉลาดกว่าหลาย ๆ คนตรงที่เขาที่แฮกเข้าไปในระบบความปลอดภัยของโรงเรียนแล้วลบข้อมูลจากกล้องวงจรปิดทิ้งเพื่อทำลายหลักฐาน ทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบและไร้ร่องรอย แต่เขาไม่รู้ว่าก่อนหน้านั้นมีเด็กคนหนึ่งแฮกเข้ามาที่ระบบของโรงเรียนและเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ซึ่งเด็กคนนั้นก็คือเดลตัน คีแกน"

    "เขาเแบ็คอัพหลักฐานจากกล้องวงจรปิดนั่นได้ทันก่อนที่เชสเตอร์จะลบทิ้งเหรอ"

    "ใช่ เป็นเด็กที่มีสติมากเลยใช่ไหมล่ะ ในตอนแรกเขายืนยันว่าต้องการส่งหลักฐานมาให้ทางไปรษณีย์ แต่ผมเป็นคนโน้มน้าวเขาให้นำมันมามอบให้ผมด้วยตัวเอง เพราะผมจะได้ช่วยดูแลความปลอดภัยให้เขาได้ แล้วก็นี่ล่ะ จุดเริ่มต้นของคดีครอบครัวคีแกน"

    "เพราะเขายอมเอามันมาให้คุณด้วยตัวเองสินะ"

    "ข่าวมันหลุดออกไปทันทีผมได้หลักฐานมา อันที่จริงมันน่าจะหลุดไปก่อนหน้านั้นแล้วด้วยซ้ำ พวกนั้นถึงได้ล็อคเป้าไปที่เขาได้ไวขนาดนั้น หมายถึงหลังจากเขาให้หลักฐานผม ในคืนนั้นบ้านของเขาก็ถูกบุกรุกเลย ผมไปถึงที่นั่งทันก่อนที่มันจะเข้าถึงตัวเขา ตอนนั้นผมกำลังจะกลับบ้านพอดีเลยลองแวะไปดูเขาสักหน่อยว่าทุกอย่างโอเคดีไหม แต่ก็นั่นแหละ มันไม่ทันช่วยพ่อกับแม่ของเขาไว้" โจชัวเอ่ย เขาจ้องมองแก้วเบียร์สีน้ำตาลเข้มในมือของตนก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ "ผมติดค้างเขาเอาไว้มากทีเดียว"

    "ก็แปลว่าเป็นคุณน่ะสิที่ปะทะกับฆาตกร"

    "คุณรู้ได้ยังไงกัน ว่ามีคนปะทะกับฆาตกร"

    "ผมเจอคลิปจากกล้องวงจรปิดในคืนนั้นน่ะ" เจย์เดนตอบ "ไม่สิ อันที่จริงคนที่เจอคือแดนเนล ไว้เดี๋ยวผมจะส่งคลิปนั่นให้คุณ มันเป็นหลักฐานชั้นดีได้เลย ถึงภาพจะแตกไปสักหน่อย แต่ก็มากพอที่จะนำไปเข้าโปรแกรมประมวลผลภาพ"

    "แต่คืนนั้นจะเรียกว่าปะทะได้หรือเปล่า มันยิงปืนแม่นมาก ตอนนั้นมันเห็นผมกำลังวิ่งไปที่ตัวบ้าน มันก็เลยยิงผมเข้าที่ขา ผมล้มลงที่ชานบันไดหน้าบ้าน พอจะยิงโต้กับมันก็โดนมันยิงอีกนัดเข้าที่มือ" เจย์เดนเหลือบสายตามองไปที่มือของคู่สนทนา และก็พบกับรอยแผลเป็นจากกระสุนที่ประทับอยู่บนหลังมือซ้ายของอีกฝ่าย มือข้างนั้นค่อย ๆ กำเข้าหากันอย่างช้า ๆ "ผมปล่อยให้มันหนีไปได้"

    "คุณว่าสองพี่น้องคีแกนจะพยายามสืบหาตัวคนทำบ้างไหม"

    "นั่นสิ ผมเองก็นึกสงสัยเหมือนกัน"

    "แล้วคุณรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าเป็นเขา"

    "ก่อนที่เขาจะถูกจับสักพักน่ะ" โจชัวตอบ "เขาเป็นฝ่ายติดต่อมา"

    "หมายความว่ายังไงกัน"

    "เขารู้ว่าผมยังแอบสืบคดีครอบครัวเขาอยู่ อันที่จริงมันก็แทบไม่มีเบาะแสอะไรใหม่ ๆ เพิ่มมาเลย" อีกฝ่ายเริ่มเล่า "แต่สิบกว่าปีมานี้มันก็ทำให้ผมพอจะมีสายในแก๊งอยู่บ้าง เขารู้เรื่องนี้ หมายถึงเรื่องที่ผมมีสายน่ะนะ และเขาก็ต้องการที่จะแฝงตัวเข้าไปในนั้น"

    "คุณเลยช่วยแนะนำให้เขารู้จักกับสายในแก๊งของคุณ ถูกไหม"

    "ไม่ใช่ ผมไม่ได้เปิดเผยตัวตนของใครทั้งนั้น มันคือความปลอดภัยของคนที่เป็นสายน่ะ" อีกผ่ายพูด "แต่เพราะผมมีสายในนั้นอยู่พอสมควร ก็เลยพอจะรู้ช่องทางเข้าร่วมแก๊งอยู่บ้าง"

    "คุณเลยชี้ช่องนั้นให้เขา" เจย์เดนทายออกอย่างรวดเร็ว "ทั้งที่คุณรู้จุดประสงค์ของเขา แต่คุณกลับไม่นึกห้ามเขาเลยเนี่ยนะ"

    "ผมจะเอาอะไรไปห้ามเขาได้ล่ะ" โจชัวเอ่ย "เขาเชื่อไม่เหมือนพวกเรา ผมว่าคุณก็คงพอจะสัมผัสได้บ้างแหละถ้าได้ไปคลุกคลีกับเขา คุณอาจเชื่อในกฎหมายและตัวระบบว่ามันเป็นสิ่งที่สามารถสร้างความยุติธรรมขึ้นมาได้ ผมเองก็เชื่อแบบนั้นอยู่บ้าง เราสองคนเลยยังคงทำงานนี้ต่อไปได้ แต่กับแดนเนลน่ะเขาไม่เชื่อในอะไรแบบนี้อีกแล้ว เขาไม่เชื่อว่าระบบสามารถทำให้เกิดความยุติธรรมได้จริงด้วยซ้ำ"

    "ถ้าอย่างนั้นคุณก็รู้มาตลอดเลยสิว่าเขามีแผนจะทำอะไรบ้าง"

    "ไม่เลย เขาไม่ได้ไว้ใจผมขนาดนั้นหรอก ซึ่งผมก็เข้าใจนะว่าทำไม ถ้าคุณมีแผนจะทำเรื่องผิดกฎหมาย คุณก็คงไม่เอามันออกมาแผ่ให้เอฟบีไอเห็นหรอก ใช่ไหมล่ะ" อีกฝ่ายเล่า "หลังจากที่เขาพอรู้ช่องทางแล้วเขาก็เงียบหายไปพักใหญ่ ไม่ได้ติดต่ออะไรกลับมาหาผมอีกเลยจนกระทั่งผมไปเห็นข่าวเขาโดนจับนั่นแหละ ตอนนั้นข่าวมันดังมาก คุณเองก็น่าจะเห็นเหมือนกันใช่ไหม"

    "อืม คดีเขาเป็นกรณีศึกษาตอนผมเรียนต่อโทน่ะ"

    "อันที่จริงหลักฐานทุกอย่างที่มีก็บ่งบอกชัดนะว่าแดนเนลไม่ได้ทำทั้งหมดนั้นด้วยตัวคนเดียว และคนที่อยู่ในแวดวงแฮกเกอร์ต่างรู้กันดีว่าเขามีริชาร์ดเป็นคู่หู เอฟบีไอเองพยายามจี้ถามเขาเรื่องริชาร์ด แต่แดนเนลกลับไม่รู้ข้อมูลอะไรของหมอนั่นเลยทั้งที่พวกเขาสองคนก็ร่วมงานกันมานาน" โจชัวพูด "อันที่จริงเอฟบีไอมีข้อสันนิษฐานว่าริชาร์ดอาจเป็นเกเบรียล คีแกนคนพี่น่ะ เพราะก่อนหน้านั้นเขาเคยได้ทุนวิศวะคอมพิวเตอร์ที่เอ็มไอที แต่พอเขาเข้าโปรแกรมคุ้มครองพยานเขาก็ต้องหลุดออกจากทุน เลยต้องเปลี่ยนไปเรียนวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่ยูแมส แอมเฮิร์สแทน แต่ก็นั่นล่ะ เราไม่เจอหลักฐานอื่นที่จะสาวไปถึงเขาได้เลย และสองพี่น้องนั้นไม่ได้ติดต่อกันมาเป็นเวลานานมากแล้ว"

    "แล้วตอนนี้พี่ชายของแดนเนลเขาทำอะไรอยู่งั้นเหรอ คุณรู้บ้างไหม"

    "ผมคงต้องขอโทษที่ผมคงบอกคุณไม่ได้ หวังว่าคุณคงเข้าใจ" ในครั้งนี้ โจชัวไม่ปฏิเสธอีกต่อไปว่าตัวเขาไม่รู้ "แต่สิ่งที่ผมพอจะบอกคุณได้ก็คือเราเคยตรวจสอบเขาแล้วหลายต่อหลายครั้ง อย่างละเอียดเลยด้วย แต่ก็ไม่พบความเชื่อมโยงระหว่างเขากับแดนเนลและริชาร์ดสักนิด สุดท้ายตัวตนของริชาร์ดเลยยังเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้"

    "ผมอยากลองตรวจสอบเขาดูใหม่"

    "ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมช่วยคุณขอข้อมูลจากทางยูเอสมาร์แชลให้ ผมที่เป็นคนทำเรื่องส่งเขาเข้ารับโปรแกรมน่าจะของ่ายกว่าการที่คุณไปขอเอง"

    "ขอบคุณมาก"





    [tbc.]

    - Post-traumatic Stress Disorder (PTSD) คือ สภาวะป่วยทางจิตใจหลังจากต้องเผชิญกับเหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง หากอาการเกิดขึ้นในระยะเวลา 1 เดือนแรก จะถูกเรียกว่าอาการ Acute Stress Disorder (ASD) หรือ อาการเครียดเฉียบพลัน
    ***หากมีข้อมูลที่ผิดพลาดประการใดก็สามารถบอกเรามาได้เลยนะ เราจะรีบทำการปรับแก้ให้อย่างเร็วที่สุดค่ะ***

    ________________________________________

    ตอนแรกก็แอบลังเลหน่อยๆว่าจะบอกทุกคนดีมั้ยนะ
    คือเหมือนเราเคยบอกไว้เมื่อสักพักมาแล้วว่าฟิคกำลังเข้าสู่โค้งสุดท้าย
    แต่จนถึงตอนก่อนหน้านี้มันก็ยังดูไม่มีวี่แววว่าใกล้จะจบเท่าไหร่
    เราก็ยังงอกตอนออกมาอีกเรื่อยๆฃนชักรู้สึกว่ามันน่าจะยังไม่จบในเร็วๆนี้แหงเลย
    แต่พอมาถึงวันที่เราเขียนตอนนี้จนเสร็จ
    เราก็เกิดรู้สึกมั่นใจมากขึ้นว่าคงเหลืออีกแค่ไม่กี่ตอนเท่านั้นฟิคเรื่องนี้ก็จะจบ
    โค้งสุดท้ายที่เคยบอกเอาไว้เมื่อน๊านนานมาแล้ว ตอนนี้เราพามันหลุดโค้งออกมาได้แล้วนะคะ
    เลยคิดมาว่าบอกทุกคนไว้ดีกว่า ทุกคนจะได้มั่นใจด้วยว่าฟิคเรื่องนี้มันมีวี่แววจะจบจริงๆ 55555555
    เรามีการแพลนเอาไว้แล้วนะ และก็ไม่ได้จะทิ้งฟิคด้วย(แค่อาจจะเขียนช้าหน่อยแค่นั้น .___.)
    เพราะเอาจริงตอนนี้ทุกปมที่เคยผูกไว้เราก็คลายมันออกใกล้ครบหมดแล้ว
    เหลือแค่เฮือกสุดท้ายแล้วจริงๆ
    เพราะงั้นเรามาฮึบแล้ววิ่งเข้าสู่เส้นชัยไปด้วยกันนะคะ

    ไว้เจอกันตอนหน้าค่ะ
    #ฟิควรบจด

    Note : ฟิคเรื่องนี้เกิดจากจินตนาการของผู้แต่งแต่เพียงผู้เดียว ไม่เกี่ยวข้องกับศิลปิน สถานที่ และเหตุการณ์ใดๆ และไม่ได้มีเจตนาใด ๆ จะทำให้ศิลปินเสื่อมเสียทั้งสิ้น
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in