"แล้ว..." เวลาผ่านไปหลายอึดใจทีเดียวกว่าที่เจย์เดนจะควานหาเสียงของตัวเองพบ เขารู้ว่าเขาควรจะมีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับคู่สนทนาไปสักอย่าง อะไรก็ได้ที่แสดงให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเขากำลังฟังอยู่ ทว่าความตกใจจากการรับรู้เรื่องราวอย่างกะทันหันนั้นทำให้สมองของเขาถึงกับหยุดทำงานไปชั่วขณะหนึ่ง และเมื่อความตกใจนั้นเริ่มลดลง เขาจึงรีบดึงสติตัวเองกลับมา "นายรู้ไหมว่าใครเป็นคนดูแลคดีนี้"
[โลแกนกับวินเซนต์]
ชื่อที่เทย์เลอร์เอ่ยออกมานั้นเป็นชื่อที่เจย์เดนคุ้นหูดี โลแกน หว่อง และ วินเซนต์ ต่ง เป็นเจ้าหน้าที่จากแผนกสืบสวนพิเศษคดีฆาตกรรมของเอฟบีไอ แม้ว่าพวกเขาจะอยู่กันคนละแผนก และอัตราการข้องเกี่ยวกันระหว่างคดีอาชญากรรมไซเบอร์กับคดีฆาตกรรมนั้นมีจำนวนน้อยเสียจนทำให้พวกเขาไม่เคยโคจรมาพบกันสักครั้งขณะปฏิบัติงาน แต่เพราะชื่อเสียงด้านการไขคดีของโลแกนและวินเซนต์เป็นที่เลื่องลือในหมู่เจ้าหน้าที่ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากเจย์เดนจะเคยได้ยินชื่อของคนทั้งสองผ่านหูมาบ้าง
"อ้อ แสดงว่าคดีเป็นของเรา" น้ำเสียงที่เอ่ยตอบกลับไปนั้นเจือแววโล่งอกอยู่เล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าคดีนี้อยู่ในมือของเอฟบีไอด้วยกัน อย่างน้อยนั่นก็น่าจะทำให้เขาประสานงานง่ายกว่าการที่มันตกไปอยู่ในมือของแอลเอพีดี "แล้วนายล่ะ มีส่วนร่วมในคดีนี้หรือเปล่า?"
[ถามอะไรแปลก ๆ ก็ต้องมีสิ ผู้พบศพไง นั่นแหละส่วนร่วมของฉันในคดีนี้ พวกนั้นเอาแต่ถามฉันเกี่ยวกับการบุกค้นนี่ ฉันรู้สึกอย่างกับตัวเองถูกสอบสวนยังไงยังงั้น]
"แล้วนายบอกพวกเขาไปว่าไง เรื่องการบุกค้นนั่นน่ะ"
[ก็ไม่ว่าไง ฉันบอกพวกนั้นไปว่ากำลังทำคดีหนึ่งอยู่และทำการบุกค้นที่นี่เพื่อหาหลักฐาน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติของเราอยู่แล้ว]
"ถ้าอย่างนั้นนายก็สามารถติดตามผลการสืบสวนนี้ได้ใช่ไหม?"
[ใช่ ตอนนี้พวกนั้นกำลังจัดการกับที่เกิดเหตุกันอยู่ โลแกนดูหัวเสียไม่น้อยตอนที่เข้ามาแล้วเห็นพวกซีไอเอกำลังนั่งค้นข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ พวกนั้นไม่สนใจสักนิดว่ามันจะเป็นการทำลายสถานที่ เชื่อเลยไหมล่ะ]
เจย์เดนเข้าใจความไม่พอใจของเจ้าหน้าที่ในทีมสืบสวนคดีฆาตกรรมดี การที่คนนอกเข้ามายุ่มย่ามกับสถานที่เกิดเหตุก่อนเจ้าหน้าที่จะมาถึงนั้นอาจทำลายหลักฐานหรือวัตถุพยานได้ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีเจ้าหน้าที่สืบสวนคนไหนชอบใจในเหตุการณ์แบบนี้ ทว่าเขาก็กล่าวโทษอะไรไทรอนไม่ได้เช่นกัน เพราะเขาเข้าใจดีว่าไทรอนต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้สำเร็จลุล่วงแข่งกับเวลา เพื่อให้เขาและแดนเนลที่กำลังคอยอยู่อีกฟากหนึ่งของเมืองสามารถบุกจับริชาร์ดได้อย่างทันท่วงทีก่อนที่มันจะไหวตัวทัน
แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่พวกเขาคว้าน้ำเหลว ริชาร์ดนั้นรอบจัดกว่าที่เขาคิดเอาไว้เยอะ แม้จะน่าเจ็บใจกับความผิดพลาดครั้งนี้แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับแล้วเดินหน้าหาวิธีอื่นต่อ
[อีกไม่นานศพคงถูกย้ายไปสถาบันนิติเวช ฉันคิดว่าการผ่าชันสูตรน่าจะเริ่มพรุ่งนี้ นายจะมาดูไหม? เผื่อมันเกี่ยวกับเรื่องที่นายกำลังทำอยู่]
"อืม ฉันไป ไว้ใกล้ถึงเวลานั้นนายค่อยโทรมาบอกฉันแล้วกัน"
[ได้ แต่ให้ตายเถอะ นายรู้ไหมว่าโยนาธานช็อกแทบบ้าตอนเปิดประตูห้องควบคุมเข้าไปแล้วเจอศพนั่นนอนกองอยู่กับพื้น ตั้งใจจะเข้ามาหาข้อมูลกันแท้ ๆ ใครจะรู้ล่ะว่าจะได้มาเจอศพแทน นายก็รู้ใช่ไหมว่าวัน ๆ หมอนั่นน่ะทำงานอยู่แต่กับคอมพิวเตอร์ ชีวิตนี้เคยจับปืนจริงกี่ครั้งฉันว่านับด้วยมือข้างเดียวยังพอ โคตรน่าเห็นใจเลย] เทย์เลอร์บ่นเสียยาวเหยียดก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่เจย์เดนได้ยินเสียงใครสักคนเรียกชื่อเทย์เลอร์แว่วลอดมาตามสายสนทนา [ให้ตาย โลแกนมันเรียกฉันไปคุยอีกแล้วว่ะ แค่นี้ก่อนนะ ได้เรื่องยังไงเดี๋ยวฉันจะโทรไปใหม่]
"โอเค ขอบใจมากนะเทย์เลอร์"
[เปลี่ยนเป็นเบียร์อีกสองขวดแล้วกัน]
เทย์เลอร์วางสายไปแล้ว สายโทรศัพท์ถูกตัดไปพร้อมกับทิ้งความรู้สึกหนักอึ้งบางอย่างไว้ในใจของเจย์เดน อันที่จริงความหนักอึ้งที่ว่าเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่เขาได้ยินเทย์เลอร์บอกว่าพบศพอยู่ภายในห้องเซิฟเวอร์นั่นแล้ว และมันก็ทำให้ภายในหัวของเขาเต็มไปด้วยความคิดที่พากันหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุดหย่อน เจ้าหน้าที่หนุ่มลดสมาร์ทโฟนในมือของตนลงขณะเหลือบสายตามองร่างผอมโปร่งที่ยืนอยู่ข้างกาย และพบว่าอีกฝ่ายเองก็กำลังมองมายังเขาอยู่เช่นกัน
ขณะนี้ทีมสืบสวนคดีฆาตกรรมยังไม่มีใครรู้เรื่องที่พวกเขาแอบลักลอบเข้าไปยังห้องเซิฟเวอร์นั้นเมื่อคืน และเขาก็มั่นใจว่าทีมสืบสวนคงไม่มีโอกาสรู้เรื่องนี้ได้ง่าย ๆ เหตุผลที่ทำให้เขาคิดอย่างนั้นเป็นเพราะว่าเมื่อคืนพวกเขาทั้งสามคนไม่มีใครทิ้งร่องรอยใด ๆ เอาไว้ให้เป็นที่น่าสงสัย และซีไอเอคงไม่มีทางรายงานเรื่องภารกิจเมื่อคืนให้เอฟบีไอรับรู้อย่างแน่นอน
ซึ่งนั่นก็ทำให้เจย์เดนกลายเป็นเจ้าหน้าที่จากเอฟบีไอเพียงคนเดียวที่รับรู้สถานการณ์ของทั้งสองฝั่งไปโดยปริยาย เขาไม่ได้อยากด่วนตัดสินใจเพราะรู้ดีว่าการสืบสวนคดีฆาตกรรมนั้นเพิ่งเริ่มต้นขึ้น ทว่าเมื่อเขานำข้อมูลที่ตัวเองมีอยู่มาปะติดปะต่อกัน เขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าในตอนนี้แดนเนลได้กลายเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งในใจของเขาเสียไปแล้ว
แดนเนลปกปิดเขาเรื่องรอยชกที่มือนั่น และศพนั้นเองก็มีร่องรอยของการต่อสู้ มันมีความความเป็นไปได้ไม่น้อยเลยว่าเมื่อคืนแดนเนลอาจถูกจับได้และอาจมีการปะทะเกิดขึ้นในช่วงที่เขาคลาดสายตาไปจากอีกฝ่าย
ทว่าท่ามกลางคำตอบของข้อสงสัยที่ดูเหมือนจะลงล็อกดีเหล่านั้นกลับแฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ขัดแย้งกันลึก ๆ อยู่ภายในใจของเขา ซึ่งหากเปรียบการสรุปคดีเป็นเครื่องจักรชนิดหนึ่ง ข้อมูลและคำตอบของข้อสงสัยที่เขามีก็คงเป็นเฟืองที่หมุนให้เครื่องจักรทำงาน และในขณะเดียวกันไอ้ความรู้สึกขัดแย้งนั่นก็ทำให้เครื่องจักรที่กำลังทำงานอยู่ส่งเสียงกึงกัง ราวกับเฟืองที่กำลังหมุนอยู่เหล่านั้นมันไม่พอดิบพอดี และมันก็กำลังร้องเตือนเขาว่าอาจจะมีอะไรสักอย่างที่เขาเผลอมองข้ามไป
เจย์เดนรู้ว่าเรื่องนี้จะต้องสร้างความลำบากให้กับตัวเองในอนาคตอย่างแน่นอน ทั้งเรื่องที่เขามีข้อมูลของคดีฆาตกรรมนั้นอยู่ในมือแต่ไม่ยอมเปิดเผยออกไปให้ทางเอฟบีไอรับรู้ รวมไปถึงเรื่องที่เขาสงสัยว่าแดนเนลอาจเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมนั้นด้วย
"คุณ...มีอะไรหรือเปล่า?"
ในที่สุดก็เป็นแดนเนลที่เอ่ยถามอะไรสักอย่างขึ้นมาก่อน เมื่อเจ้าตัวเห็นว่าคนตรงหน้าเอาแต่จ้องเขาตาไม่กระพริบ และในขณะเดียวกัน ท่าทีที่คล้ายกับอยากจะถามบางสิ่งบางอย่างทว่าไม่ยอมเอ่ยอะไรออกมาเลยสักคำ ไปจนถึงความเงียบของเจย์เดนนั้นก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นบรรยากาศที่ชวนให้คนทั้งคู่รู้สึกอึดอัด
เป็นอีกครั้งที่เจย์เดนรู้สึกเหมือนตัวเองถูกแดนเนลผลักให้มายืนอยู่กลางสามแยกแห่งการตัดสินใจที่เขาไม่อาจถอยหลังกลับไปได้ ทว่าครั้งนี้ไม่ใช่การเลือกระหว่างหน้าที่หรืออุดมการณ์ แต่เป็นการเลือกว่าเขาควรจะบอกเรื่องศพนั่นกับอีกฝ่ายดีไหม หรือว่าไม่ควรกันแน่...
แทบดูไม่ออกเลยว่าภายใต้ความนิ่งสงบนั้น ในหัวของเขากำลังเผชิญกับความลังเลใจที่ถาโถมเข้ามาอย่างหนักหน่วงมากเพียงใด
"ทีมบุกค้นของเอฟบีไอพบศพในห้องเซิฟเวอร์"
และในที่สุดเขาก็ตัดสินใจที่จะบอกแก่อีกฝ่ายไป อย่างน้อยการให้แดนเนลได้ยินเรื่องนี้จากเขาที่อยู่ด้วยกันตลอดเวลานั้นน่าจะดีกว่าการที่ให้อีกฝ่ายไปได้ยินมาจากไทรอน เพราะนั่นจะยิ่งทำให้อะไรต่อมิอะไรยากขึ้นไปอีก
ร่างผอมโปร่งที่ยืนอยู่ข้างกายเขานั้นนิ่งอึ้งไปชั่วขณะหนึ่งเมื่อได้ยิน และมันเป็นชั่วขณะเดียวกันกับที่เขาได้สบสายตาเข้ากับดวงตากลมของอีกฝ่าย พยายามค้นหาบางสิ่งบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ในนั้นเพื่อนำมันมาช่วยยืนยันข้อสงสัยของตน ทว่าก็ไม่พบ
เขาไม่เคยพบความผิดปกติใด ๆ จากแดนเนลเลยสักครั้ง
"ห้องเซิฟเวอร์ที่เราลักลอบเข้าไปเมื่อคืนน่ะเหรอ?"
"ใช่" เจย์เดนตอบ "เมื่อคืนนี้น่ะ...คุณได้ทำอะไรที่นอกเหนือไปจากการเจาะระบบไหม?"
"ไอ้อะไรที่นอกเหนือไปจากการเจาะระบบของคุณน่ะคืออะไร คุณคิดว่าผมทำอะไร? นี่คุณสงสัยกำลังผมอยู่งั้นเหรอ?"
น้ำเสียงของแดนเนลฟังดูแข็งกระด้างขึ้นทันใด ความรู้สึกอึดอัดโรยตัวอยู่รอบกายของคนทั้งคู่ และมันก็เพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าทวีเมื่อเจย์เดนตัดสินใจที่จะไล่เบี้ยคนตรงหน้าต่อ
"แล้วใช่คุณหรือเปล่า? รอยช้ำที่มือของคุณน่ะมาได้ยังไงกันแน่ แดนเนล ผมไม่คิดว่าที่มันช้ำขนาดนี้เพราะปัดไปโดนตู้แร็คหรอกนะ"
"หึ นี่คุณกำลังสอบสวนผมอยู่สินะ"
อีกฝ่ายแค่นหัวเราะ ชั่ววูบนั้นเจย์เดนสัมผัสได้ถึงความรู้สึกผิดหวังจากคนตรงหน้า และมันก็ได้ทิ้งความรู้สึกผิดลึก ๆ ที่ไร้ที่มาที่ไปไว้ภายในใจของเขา
"คุณจะคิดอย่างนั้นก็ได้ แต่ผมแค่ต้องการความกระจ่าง เพื่อที่ผมจะได้ทำงานร่วมกับคุณต่อได้อย่างสนิทใจ"
"คุณยังหวังว่าเราจะสนิทใจกันได้อยู่อีกเหรอในเมื่อคุณกำลังคิดว่าผมเป็นฆาตกร คุณนี่มัน...สุด ๆ ไปเลย" แดนเนลมองหน้าเขาด้วยสายตาเหลือเชื่อเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาเอ่ยออกมา "คุณพูดถูกเรื่องที่มือผมมันไม่ได้ปัดไปโดนตู้แร็ค ผมชกพื้น มันคือวิธีระบายอารมณ์แบบโง่ ๆ เวลาที่ผมควบคุมไม่อยู่ นั่นแหละคือสิ่งที่เกิดขึ้น"
คำตอบนั้นไม่ได้เกินความคาดหมายของเจย์เดนเท่าไหร่นัก รอยช้ำหนักขนาดนี้หากไม่ได้ชกเข้ากับผนังหรือพื้นห้องก็ต้องเป็นอะไรที่แข็งแรงเทียบเท่า แน่นอนว่ากะโหลกศีรษะของมนุษย์ก็ถือเป็นหนึ่งในนั้น สิ่งที่แดนเนลบอกนั้นอาจเป็นความจริง หรือไม่ก็อาจเป็นคำโกหกซ้ำสอง ความเคลือบแคลงสงสัยที่ลากยาวมาตั้งแต่เมื่อคืนนั้นทำให้เจย์เดนไม่กล้าที่จะเชื่อใจอีกฝ่ายเต็มร้อย เขายังคงเผื่อใจเชื่ออยู่ว่าแดนเนลอาจต่อสู้กับใครสักคนจนทำให้คน ๆ นั้นถึงแก่ชีวิต ก่อนจะลากศพไปซ่อนไว้ที่ห้องควบคุมแล้วรีบกลับมานั่งเจาะระบบที่หน้าเครื่องเซิฟเวอร์
ทว่าเมื่อเจย์เดนนึกสถานการณ์มาถึงตรงนี้ เขาก็จำต้องหยุดชะงักเมื่อมีสิ่งหนึ่งผุดวาบขึ้นมาในหัวของเขา ใช่...ในที่สุดเขาก็ควานหาเฟืองชิ้นที่ไม่พอดิบพอดีนั้นเจอ เฟืองชิ้นที่ทำให้เครื่องจักรของเขาไม่สมบูรณ์นั่น
เฟืองชิ้นที่เรียกว่าเวลา
ระยะเวลาที่เขาคลาดสายตาจากแดนเนลไปนั้นมันมากพอที่จะให้แดนเนลคลำหาห้องเซิฟเวอร์ ฆ่าคนตาย แล้วก็มานั่งเจาะระบบต่อได้อย่างหน้าตาเฉยจริง ๆ น่ะหรือ?
เจย์เดนสามารถให้คำตอบได้ในทันทีเลยว่าไม่ ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด
ทั้งตอนที่เขาจำเป็นต้องแยกกันกับแดนเนลแล้วซ่อนตัวอยู่ใต้บันได ไปจนถึงตอนที่เขาได้รับความช่วยเหลือจากไทรอนเรื่องกล้องวงจนปิดที่ทำให้เขาไม่ต้องเสียเวลากับการงมหาห้องเซิฟเวอร์นานจนเกินไปนั้นกินเวลาไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ แม้แต่ตัวเขาเองยังทำเรื่องทั้งหมดที่ว่ามานั่นด้วยเวลาเพียงเท่านั้นไม่ได้เลย
ระยะเวลาของเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นผิดเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็นอยู่มาก และมันก็กระชั้นชิดเกินกว่าที่แดนเนลจะทำทุกอย่างได้ทัน ซึ่งเขาไม่เคยนึกสงสัยในเรื่องนี้เลยจนกระทั่งเขานึกถึงขั้นตอนการซ่อนศพขึ้นมา
เจย์เดนนึกโกรธตัวเองที่ด่วนสรุปและไม่ยอมตั้งสติไล่เรียงลำดับของเหตุการณ์ให้ดีตั้งแต่ต้น และมันก็ส่งผลให้ความสัมพันธ์กับแดนเนลที่เขาค่อย ๆ สร้างมันขึ้นมาอย่างยากลำบากพังทลายลงในชั่วพริบตา ความรู้สึกผิดหวังที่ถูกส่งมาจากอีกฝ่ายเมื่อครู่ทำให้เขารู้ว่าตอนนี้ ตัวเขาในสายตาของแดนเนลนั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรกับพวกคนที่ตัดสินเจ้าตัวจากเรื่องในอดีตเลยสักนิด
"ถ้าอย่างนั้นทำไมตอนที่จอห์นนี่ถามคุณถึงไม่ยอมบอกเขาไปตามตรง คุณโกหกเขาทำไม"
"แล้วทำไมผมต้องเที่ยวไปบอกใครต่อใครว่าผมกำลังรู้สึกอะไรหรืออยู่ในอารมณ์แบบไหนด้วยล่ะ มันไม่ใช่เรื่องที่พวกคุณจำเป็นต้องรู้เลยสักนิด"
เจย์เดนสัมผัสได้ถึงกำแพงแห่งความห่างเหินที่ขวางกั้นระหว่างเขาและคนตรงหน้า แต่ในเขาไม่สามารถหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้ได้ เพราะนี่อาจเป็นเพียงโอกาสเดียวที่เขาจะสามารถหาคำตอบของทุกคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจของเขาได้ด้วยการถามอีกฝ่ายออกไปตามตรง และเขาจะไม่ยอมปล่อยให้มันสูญเปล่าเด็ดขาด
"จำเป็นสิ เพราะนั่นหมายความว่ามันต้องมีใคร หรืออะไรสักอย่างที่ทำให้คุณโมโหจนต้องระบายอารมณ์ด้วยการใช้กำลัง คำถามของผมคือทำไมคุณถึงได้โมโห แล้วริชาร์ดรู้ได้ยังไงว่าคุณทำอะไร คุณเจออะไรในห้องเซิฟเวอร์นั่นกันแน่"
"นี่คุณรอเวลาที่จะได้สอบสวนผมมาตลอดเลยสินะ ตั้งแต่เมื่อคืนเลยถูกไหม?" แดนเนลย้อนถาม สายตาของอีกฝ่ายที่มองมายังเขาในตอนนี้ไม่หลงเหลือความรู้สึกสนิทใจใด ๆ อีกต่อไป "ผมไม่รู้ว่าเขารู้ได้ยังไง แต่เมื่อคืนน่ะผมไม่เจอใครในห้องเซิฟเวอร์นั่นเลยนอกจากคุณ มีคำถามอะไรอีกไหม?"
ถ้าหากว่าโอกาสที่เขาได้รับในครั้งนี้มันต้องแลกมาด้วยความรู้สึกดี ๆ ระหว่างเขากับแดนเนล เขาก็อยากให้โอกาสที่ว่านั่นเกิดขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียว แค่ในครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น
"ผมเชื่อคุณได้ใช่ไหม?"
"ผมคิดว่าคุณได้คำตอบนั้นตั้งแต่ตอนที่คุณสงสัยในตัวผมแล้วเสียอีกนะ เจย์เดน"
[tbc.]
- LAPD ย่อมาจาก Los Angeles Police Department หรือก็คือกรมตำรวจลอสแอนเจลิส
***หากมีข้อมูลที่ผิดพลาดประการใดก็สามารถบอกเรามาได้เลยนะ เราจะรีบทำการปรับแก้ให้อย่างเร็วที่สุดค่ะ***
________________________________________
ลูคัส หว่อง - โลแกน หว่อง
ต่งซือเฉิง - วินเซนต์ ต่ง
พังงง ตีกันจนฟิคพังพินาศไปหมดแล้วจ้าาา
ใครที่รอเขารักกันอยู่ก็ช่วยอดใจรอต่อไปอีกสักนิดนะคะ
ยังไงเขาก็ต้องรักกันแน่ค่ะ เพราะว่านี่น่ะ...นี่น่ะ...
นี่น่ะมันคือฟิคสืบสวนแจโด!
ฉากที่เราอยากเขียนมาก ๆ ในตอนที่แล้ว
ก็คือฉากที่แดนเนลคุยกับริชาร์ดค่ะ
มีคนทายถูกหลายคนเลย แต่ไม่มีรางวัลอะไรจะให้หรอกนะ แหะๆ
แล้วเจอกันตอนหน้านะคะทุกคน
#ฟิควรบจด
how to comment ใน minimore
Note : ฟิคเรื่องนี้เกิดจากจินตนาการของผู้แต่งแต่เพียงผู้เดียว ไม่เกี่ยวข้องกับศิลปิน สถานที่ และเหตุการณ์ใดๆ และไม่ได้มีเจตนาใด ๆ จะทำให้ศิลปินเสื่อมเสียทั้งสิ้น
ตื่นเต้นที่จะได้เห็นวินเซนต์กับโลแกนทำงานด้วยกันด้วยค่ะ หึๆ