วิคทอเรีย พาร์ค...ปอดของฮ่องกงเกอร์
ฉันมักมาวิ่งจ็อกกิงที่นี่ทุกเช้า-เย็น ตามแต่ความขยันและเวลาจะเอื้ออำนวย เหตุผลที่สามารถมาได้บ่อยตามที่ต้องการ นั่นเพราะอพาร์ตเมนต์อยู่ห่างจากวิคทอเรีย พาร์ค เพียงไม่กี่ร้อยเมตร ไม่น่าเชื่อว่าคอสเวย์ เบย์ (Causeway Bay) แหล่งรวมศูนย์สรรพสินค้า ย่านที่ผู้คนพลุกพล่านจอแจ เพียงแค่ข้ามฝั่งถนนมาไม่กี่สิบเก้าเรากลับพบกับความร่มรื่นเขียวขจีของต้นไม้สูง สวนสาธารณะที่เป็นปอดของชาวฮ่องกง
วิคทอเรีย พาร์ค ตั้งชื่อตามพระราชินีวิคทอเรีย แห่งสหราชอาณาจักร มีรูปปั้นของพระนางอยู่ตรงทางเข้าหลัก พื้นที่ตรงนี้แต่เดิมเป็น Causeway bay Typhoon shelter เป็นที่หลบพายุของเรือประมงและเรือยอชท์ในฤดูมรสุม แต่เมื่อสวนสาธารณะแห่งนี้ถูกสร้างขึ้น Typhoon shelter ก็ถูกย้ายไปอยู่ทางทิศเหนือ ฉันเคยไปยืนถ่ายรูปบนนั้น ลมเย็น ๆ พัดมากับแสงไฟจากตึกสูงสวย ๆ โรแมนติกอย่าบอกใคร
ในทุก ๆ วันที่สวนสาธารณะแห่งนี้ จะมีผู้คนทุกช่วงอายุมาวิ่งออกกำลัง และทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน ที่นี่มีสนามเด็กเล่น สนามเทนนิส สนามบาสเก็ตบอล มีสระว่ายน้ำ สนามฟุตบอล มีลู่วิ่งจ็อกกิง มีพื้นที่ให้รำไทเก๊ก ซึ่งบางทีฉันก็ชอบไปวาดลวดลายรำตามอากง อาม่า อยู่ข้างหลังสุด แต่พอจัังหวะกลับตัวปุ๊บหายนะมาปั๊บ กลายเป็นว่าต้องมาอยู่หน้าสุด ก็บันเทิงกันไปล่ะค่ะทีนี้ อากงก็จะงงหน่อย กับท่าทางรำประหลาดของคนที่อยู่หน้าสุด ก่อนที่อากงจะสรรเสริญอะไรไปมากกว่านี้ ฉันก็สี่คูณร้อยไปไกลลิบแล้ว บางทีการคิดถึงหน้าตาประเทศก็เป็นสิ่งสำคัญ
ที่นี่มักจะมีคนงานชาวฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียมาพักผ่อนหย่อนใจในวันที่พวกเขาหยุดงาน เอาเสื่อมาปู นั่งทานของว่างที่เตรียมมาร่วมกัน พูดคุยหัวเราะให้แก่กัน ฉันว่ามันเป็นความสุขที่ดูเรียลและเรียบง่ายสำหรับชีวิตในต่างแดนเช่นนี้ หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามาทั้งอาทิตย์ พวกเธอต่างละทิ้งบ้านเกิดเมืองนอน มาทำงานใช้แรงงานยังต่างถิ่น เพราะรายได้นั้นสูงกว่าที่บ้านเกิดของพวกเธอเป็นเท่าตัว ฉันอดคิดไม่ได้เลยว่าที่ ๆ พวกเขาพักอาศัยอยู่จะเป็นแบบไหน ในเมืองที่พื้นที่ถูกจำกัด และที่พักราคาโหดแสนโหดขนาดนี้ ครั้งหนึ่งฉันเคยนั่งดูภาพถ่ายของช่างภาพชาวอังกฤษ Brian Cassey เขาได้เดินทางไปเยี่ยมบ้านลูกกรงที่ทั้งคับแคบและแออัด คนที่มีรายได้น้อยส่วนมากจะอยู่กันแบบนี้ ไม่น่าเชื่อว่าเมืองอันมั่งคั่งเฟื่องฟูจะมีความเหลื่อมล้ำได้มากมายเท่านี้ แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกว่าการอยู่บ้านแบบนี้ ดีกว่าการนอนตามทางเท้าเป็นไหน ๆ สภาพอันแออัดของที่อยู่อาศัย ช่างขัดแย้งกับความเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดจริง ๆ
ในช่วงฤดูหนาว แดดอุ่นยามเช้าทอแสงเป็นประกาย มีลมพัดโชย เบาบ้าง พัดแรงบ้าง สลับกันไปให้พอกระชับเสื้อกันหนาวให้แน่นเข้า หลังจากไปวิ่งออกกำลังแล้ว ฉันแวะร้านโจ๊กเจ้าประจำเยื้อง ๆ กับอพาร์ตเมนต์ ดื่มน้ำเต้าหู้อุ่น ๆ กับปาท่องโก๋ฮ่องกงตัวยาวแสนอร่อยเหมือนเคย แน่นอนว่าแถมโจ๊กเนื้อเนียนละเอียดไปอีกชามใหญ่ มีอากงนั่งตรงข้ามจิบน้ำชาร้อน ๆ บนโต๊ะตัวเดียวกัน คนที่นี่แชร์โต๊ะกันเป็นเรื่องปกติ เมื่อมาอยู่ที่นี่ตอนแรกฉันก็รู้สึกเคอะเขินที่ต้องนั่งโต๊ะร่วมกับคนแปลกหน้า แต่พี่เสี่ยวลี่ พี่สาวชาวฮ่องกงบอกกับฉันว่า เมืองเล็ก ๆ ที่มีประชากรหนาแน่นขนาดนี้ พื้นที่ก็จำกัดจำเขี่ยแบบนี้แหละ เขาไม่สนด้วยซ้ำว่าจะต้องไปนั่งร่วมโต๊ะกับใคร ก็แค่กิน ๆ เข้าไปเพื่อให้มีแรงไปหาเงิน เอามาใช้จ่ายในการดำรงชีพ ฟังแล้วก็หดหู่อยู่ในใจเงียบ ๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันคิดถึงประเทศไทยขึ้นมาจับขั้วหัวใจ เป็นความคิดถึงที่ประทุขึ้นมาในใจจนอยากนั่งลงร้องไห้ อย่างน้อยที่บ้านของเรา ก็ยังมีพื้นที่ให้ใช้ชีวิตเนิบช้าได้ตามอำเภอใจ แม้แต่ในเวลาที่ต้องนั่งละเลียดมื้ออาหาร ก็ถือว่าเป็นความสุนทรีย์อย่างหนึ่งของชีวิต ไม่ใช่เพียงเพื่อหาอะไรใส่ท้องให้อิ่ม แล้วก็ออกไปใช้แรงงานแลกเงิน
มีคนเคยบอก บางครั้ง...
การเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาใช้ชีวิตอยู่ต่างถิ่นอันห่างไกล
ก็ทำให้เราเข้าใจความหมายของคำว่าคิดถึงได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้นจริง ๆ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in