ฮ่องกงนอกจากจะเป็นเมืองหว่องแล้ว ยังเป็นฮ่องกงเมืองโจ๊กอีกด้วย โจ๊กในที่นี้ไม่ได้หมายถึง Joke ที่แปลว่าตลกขบขัน แต่เป็น Congee หรือ Rice porridge นั่นเอง คนที่นี่ออกเสียงว่า "จุ๊ก" คล้าย ๆ กับบ้านเรา แต่เรื่องรสชาติก็ต้องยอมฮ่องกงเลย เป็นเมืองที่โจ๊กอร่อยแทบทุกร้านจริง ๆ ข้าวเนื้อเนียนนุ่ม นวลละเอียดจนเป็นเนื้อครีม หอมกรุ่น อร่อยจนไม่อยากให้หมดชาม ยิ่งถ้าเป็นหน้าหนาว ระดับความฟินจะพุ่งไปสูงสุดเลยจริง ๆ นึกถึงเพื่อนสนิทของฉันคนหนึ่งเคยบอกว่า
"ตั้งแต่ได้ลิ้มรสโจ๊กฮ่องกง ก็ทานโจ๊กไทยไม่อร่อยอีกเลย"
โจ๊กมีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน เป็นระยะเวลา 2,000 ปีมาแล้ว ฮ่องเต้หวงตี้ ปฐมจักรพรรดิของจีน คือบุคคลแรกที่ทรงทำอาหารประเภทโจ๊กด้วยการใส่ข้าวฟ่างเป็นส่วนผสม ใส่น้ำผสมกับข้าว มาถึงในสมัยราชวงศ์ชิง เกิดภัยแล้งครั้งใหญ่ ฮ่องเต้หย่งเจิ้นให้ทางการทำโจ๊กแจกจ่ายให้แก่ราษฎร แต่เจ้าหน้าที่คอร์รัปชัน กักเก็บข้าวไว้เสียเองส่วนหนึ่ง ที่เหลือก็เติมน้ำลงไปในข้าวทีละมาก ๆ แล้วแจกจ่ายให้แก่ราษฎร เมื่อฮ่องเต้หย่งเจิ้นทรงทราบ ก็ได้ทรงบัญญัติมาตรฐานการต้มโจ๊กว่าต้องมีความข้นมากพอ เมื่อปักตะเกียบลงไป ตะเกียบยังตั้งตรงอยู่ได้ แต่หยวนเหมย (Yuan Mei) ปราชญ์สมัยราชวงศ์ชิง บรรยายมาตรฐานการปรุงโจ๊กว่า "หากกล่าวถึงโจ๊กที่เยี่ยมยอดสัดส่วนของน้ำและข้าวต้องระวังให้สมดุลกัน น้ำและข้าวต้องประสานเป็นเนื้อเดียวกัน โจ๊กที่มีน้ำมากเกินไปและข้าวที่น้อยเกินไป ไม่จัดเป็นโจ๊กที่เยี่ยมยอด โจ๊กที่มีข้าวมากเกินไปและน้ำที่น้อยเกินไป ก็ไม่จัดเป็นโจ๊กที่เยี่ยมยอดได้เหมือนกัน ส่วนน้ำ ที่ใช้ในการปรุงโจ๊กก็สำคัญ ไป๋ จู ยี่ (Bai Ju Yi) นักกวีที่มีชื่อเสียงในอดีตของจีนเคยกล่าวไว้ว่า น้ำที่ใช้ต้มโจ๊กต้องมีคุณภาพ โดยใช้น้ำของฝนแรกในฤดูใบไม้ผลิ น้ำจากหิมะในช่วงกลางฤดูหนาวซึ่งมีสรรพคุณทางยา อุณหภูมิในการปรุงนั้นก็สำคัญ ต้องระวังไม่ใช้ไฟต่ำหรือไฟแรงจนเกินไปด้วย นี่ยอมแพ้ตั้งแต่น้ำที่ใช้แล้วแม่
ปัจจุบัน "โจ๊ก" เป็นอาหารเช้าที่ได้รับความนิยมมากในมณฑลกวางตุ้ง ทางตอนใต้ของจีน ชาวจีนกวางตุ้งจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการปรุงโจ๊ก และฮ่องกงซึ่งรับวัฒนธรรมอาหารกวางตุ้ง จึงมีร้านโจ๊กเจ้าเด็ดอยู่มากมายไปทั่วเกาะ คนฮ่องกงชอบทานโจ๊กเนื้อ โจ๊กเครื่องใน ที่ฮ่องกงจะมีเมนูโจ๊กหลายหลาก ทั้งโจ๊กหมูชิ้น โจ๊กหมูสับ โจ๊กเครื่องใน โจ๊กปลา บางร้านไม่มีเมนูภาษาไทยมาให้ ก็ต้องชี้รูป บางร้านไม่มีรูปก็ชี้ตามโต๊ะข้าง ๆ ไม่ได้ตามที่สั่งก็โจ๊กกันไป มีปาท่องโก๋ฮ่องกงหรือที่เรียกเป็นภาษากวางตุ้งว่า เหย่า จา ไกว๋ ลักษณะจะไม่เล็กสั้นเหมือนบ้านเรา แต่ตัวยาวเท่าศอก เอามาตัดให้พอดีคำเมื่อนำมาเสิร์ฟ ถ้าใครอยากจะสั่งไข่เยี่ยวม้าเพิ่มก็บอกคุณลุง คุณป้าไปว่า เผ่ย ต๋าน จั๊ก แต่ถ้าใครไม่ชอบกลิ่นของไข่เยี่ยวมา แนะนำว่าอย่าสั่ง เพราะกลิ่นฉุนรุนแรงกว่าบ้านเราหลายเท่านัก ฉันยอมเอาตัวเองพิสูจน์มาแล้ว ได้แต่บอกตัวเองว่าไม่ควรเลย
มีร้านโจ๊กอยู่ 3 ร้านที่เป็นร้านในดวงใจ มาฮ่องกงทีไรก็ต้องพุ่งมาเจิมมื้อแรกด้วยโจ๊ก แขกไปใครมาฮ่องกงก็จะแนะนำ 3 ร้านนี้ ร้านแรกคือ Hung lee ในตำนาน เป็นร้านดังฝั่งจิมซาโจ่ย จากที่ลองชิมมา เมนูที่อร่อยมากคือ ปาท่องโก๋ตัวยาว กรอบนอกนุ่มใน ตัดมาเป็นชิ้นขนาดไม่พอดีคำ ของทานเล่นอย่างเกี๊ยวกุ้งทอดร้อน ๆ ก็เด็ดดวง แป้งเกี๊ยวกรอบ ฟู เบา กุ้งก็เต็ม ๆ เน้น ๆ อร่อยมากจนอยากจะห่อกลับเมืองไทย เป็นเมนูที่มาทีไรต้องสั่งประจำ ส่วนโจ๊กหมู หมูก็หนานุ่ม เต็มปากเต็มคำ โจ๊กเป๋าฮื้อก็อร่อยใช้ได้เลย ที่ Hung Lee มีเมนูภาษาไทยด้วย แต่คนละราคากับเมนูภาษาจีนนะคะ พนักงานพูดไทยได้นิดหน่อย พอสื่อสารได้เข้าใจ ร้านนี้เป็นร้านที่คนไทยรีวิวไว้ด้วยสกอร์สูง ๆ ไม่ต้องแปลกใจถ้ามาแล้วจะเห็นคนไทยนั่งทานเต็มร้าน ทาน ๆ อยู่อาจจะน้ำตาไหลคิดถึงเมืองไทยบ้านเกิด
Hung Lee
ข้ามมาฝั่งฮ่องกงกันบ้าง ร้านต่อมา คือร้าน Chee kei (ฉี่ เก) โจ๊กเจ้าดังมีหลายสาขาทั่วฮ่องกง แต่วันนี้พามาสาขาคอสเวย์ เวย์ ถนน Percival Street ใกล้ ๆ ที่พัก เดินมาไม่ไกล ร้านตั้งอยู่เยื้องกับห้าง Lee Theater ซึ่งละแวกนั้นสตรีทฟู้ดและร้านต่าง ๆ เลื่องชื่ออยู่พอควร ร้านนี้เป็นร้านที่คนไทยแนะนำมาเหมือนกัน เมนูแนะนำคือโจ๊กปู หรือ Crab Congee ที่พี่ไทยบอกว่าเด็ดสะระตี่ต้องมาลองให้ได้ เอาวะ ไทยเชื่อไทย มาลิ้มลองโจ๊กปูชามละ hkd72 กัน โจ๊กปูไข่ทะเลของร้านนี้เสิร์ฟมาในถังไม้ขนาดเท่าชามข้าวทั่วไปแต่ก้นลึกกว่า ตัวถังเก็บความร้อนได้ถึงคำสุดท้าย ปูตัวขนาดไม่เล็กแต่ไม่ใหญ่ ไข่และเนื้อแน่นหวาน รสชาติกลมกล่อม ไข่ปูที่ผสมปนกับโจ๊ก ทำให้โจ๊กมีสีเหลืองคล้าย ๆ โจ๊กผสมข้าวโพด รสชาติหวานมันอร่อยมาก ฟาดซะเกลี้ยงชาม อยากจะสั่งอีกแต่ก็เกรงใจเงินในกระเป๋า เลยสั่งชาเย็นมาดูดแก้เขิน
Chee Kei
ร้านสุดท้ายคือร้าน Law Fu Kee (หลอว ฟู เก่) ร้านโจ๊กแสนอร่อยย่านเซ็นทรัล เป็นร้านที่ฉันชอบมากที่สุด เมื่อหลายปีก่อนเจอร้านนี้ครั้งแรกด้วยความบังเอิญ เพราะลงรถไฟใต้ดินแล้วออกผิดทางออก ไปโผล่ตรงไหนไม่รู้ เดินไปเดินมา อยู่ดี ๆ ก็คิดว่าอยากกินโจ๊ก เงยหน้ามาเจอร้านนี้พอดี เป็น Perfect Timing มากเลยค่ะ เจอแบบนี้ก็ต้องเข้าแล้วค่ะพี่น้อง แล้วก็ไม่ผิดหวัง โจ๊กหมู หมูก็เด้งแบบเนื้อแน่น ๆ ส่วนโจ๊กปลาก็อร่อยมาก เนื้อข้าวเนียนละเอียด ทานไปก็แอบชมอาแปะที่ยืนต้มโจ๊กอยู่ในทุกคำที่เคี้ยว ทีเด็ดเป็นเนื้อท้องปลา นุ่มจนแทบละลายในปาก หอมน้ำมันงา ปลาไม่คาวเลย ขิงและผักชีหั่นฝอยก็ช่วยชูรสชาติให้หอมอร่อยยิ่งขึ้นไปอีก อร่อยน้ำตาจิไหล จูยองอ้ปป้าชอบโจ๊กหมูเด้งที่นี่มาก บอกว่าอร่อยกว่าที่เกาหลี ก็แหงสิคะ โจ๊กฮ่องกงนี่ต้นตำรับนะคะพี่ แต่สิ่งที่ทำให้ประทับใจมากที่สุดคือคุณลุงและคุณป้าเจ้าของร้าน คุณลุงแม้จะสาละวนอยู่หน้าเตา แต่ก็กวาดตามองลูกค้าในร้านด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ อย่างคนใจดี เห็นใครทานอย่างเอร็ดอร่อยคุณลุงก็จะยิ้มดีใจ หากหันมาสบตาพอดี คุณลุงก็จะยิ้มแล้วก้มศีรษะให้ ความน่ารักและเป็นกันเอง เป็นเสน่ห์ของร้านนี้ อบอุ่นเหมือนมาทานข้าวบ้านญาติผู้ใหญ่ที่เคารพรัก เวลาว่าง หากลูกค้านิ่งแล้ว คุณลุงก็จะออกมานั่งปั้นเกี๊ยว เป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือนอย่างแท้จริง คุณป้าก็น่ารัก จะเดินมาถามว่าโอเคไหม ถ้ามีอะไรตกหล่นไป คุณป้าก็ไม่ปล่อยผ่าน หลังจากฉันชิดเก้าอี้ เช็คความเรียบร้อยของโต๊ะ ไม่ทิ้งเศษอาหารหรือกระดาษชำระให้เป็นภาระใคร หันไปขอบคุณคุณลุงที่ทำของอร่อยให้ทาน คุณลุงกล่าวขอบคุณเช่นเดียวกัน และแน่นอนว่ายิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม คุณป้าที่คอยเดินมาบริการ ตามออกมาส่งถึงนอกร้าน เราเลยถ่ายรูปคู่กันเป็นที่ระลึก เป็นเครื่องเตือนความจำว่า ครั้งหนึ่งเราเคยพบกัน
Law Fu Kee
รสมือจะเป็นที่จารจำ ก็เพราะว่าความใส่ใจ แม้เพียงรายละเอียดเล็กน้อย ร้านอร่อยมีมากมายเหมือนกันไปหมด แต่ร้านที่ทำให้รู้สึกดี ๆ มีไม่กี่ร้านที่ควรค่าแก่การนึกถึง แม้จะไม่ใช่ร้านที่มิชลินมอบดาวให้ แต่ฉันก็แอบให้ดาวในใจ ให้มากกว่ามิชลินด้วยซ้ำ (ขิงมิชลินก็ได้นะคนเรา)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in