เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Dancing with Hustlersenigma
แมว


  • เวรเอ๊ย

     

     

     

    เดือนนี้เขาจะเอาค่าเช่าที่ไหนไปโปะละวะ ชายหนุ่มผมสีน้ำผึ้งนั่งขยี้ผมอย่างไม่เกรงว่าหัวจะล้านก่อนวัยอันควร เขาอัดควันบุหรี่เข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนเดินกระสับกระส่ายอยู่ในห้องเช่า ไม่สิจะเรียกว่าห้องเช่าก็ไม่ถูก มันคือบ้านเช่า บ้านเช่าราคาถูกที่หาได้แถวย่านชานเมืองอันล้มเหลวเชิงเศรษฐกิจ

     

     

     

    ไม่น่าเชื่อว่าการลงทุนที่ผิดพลาดแค่เสี้ยวพริบตาเดียวจะทำให้เขาตั้งหลักไม่ได้มาจนถึงป่านนี้ พระเจ้าของเขาคือเชอร์ล็อก โฮล์มส์ และนั่นน่าจะเป็นพระเจ้าที่ต้องการทดสอบศรัทธาของเขามากเลยทีเดียว ถ้าหากยุคนี้จะไม่ใช่ยุคที่โคเคนเป็นของผิดกฎหมายล่ะก็นะ

     

     

    โจนาธาน เชสลุกขึ้นย่ำไปย่ำมาบนพื้นพรมเก่าบางที่แถมมากับบ้านเช่า เขาคงเดินย่ำไอ้พรมนี่มาเป็นล้านๆ ครั้งแล้วเพราะมันเริ่มจะเปื่อยเป็นรอยทางเดิน เขาเลี้ยวไปที่เคาน์เตอร์โล่งที่มีขวดแก้วใส่วิสกี้อยู่ค่อนขวด เขากระดกจากขวดนั้นโดยไม่เสียเวลาหาแก้วสักนิด ราวกับว่าถ้ายังไม่ได้น้ำสีอำพันมารดไฟคงจะสุมทรวงจนป่นเป็นผงธุลี จังหวะที่เขายกแขนเสื้อขึ้นเช็ดมุมปากก็เป็นจังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์ดังขึ้นมา

     

     

    เขารับสายอย่างไม่ค่อยจะรีบร้อนนัก จะมีใครได้นอกจากเจ้าของบ้านที่โทรมาทวงค่าเช่า ที่ควรจะจ่ายเมื่อเดือนก่อนแล้วนู่น มันกรีดร้องเหมือนจะขาดใจเมื่อเขากระดกเอือกที่สาม เห็นแก่อนาคตเถอะ โจนาธานรับโทรศัพท์ที อาจเป็นดีบีโทรมาหรือโรงเรียนโทรมา

     

     

    "ฮัลโหล" เขากรอกเสียงเนือยๆ ลงไป เตรียมรับมือกับเจ้าของบ้านที่อาจจะกราดเกรี้ยวกับสัญญาปลิ้นปล้อนของเขาเมื่อเดือนก่อน

     

     

    "ที่นี่คือสำนักงานนักสืบโจนาธาน เชสหรือเปล่าคะ ดีบีแนะนำว่าคุณรับสืบคดีและเป็นนักสืบที่เก่งมาก" เสียงตามสายเป็นของผู้หญิง ไม่น่าจะสาวแล้วเพราะความสั่นพร่าและจังหวะหายใจเป็นแบบคนที่มีอายุ เสียงค่อนข้างดังและสูงเกินสำหรับจะคุยโทรศัพท์ ขอเดาว่าหูหล่อนคงไม่ค่อยดีและน่าจะทำอาชีพค้าขาย เขาหยุดวิเคราะห์คนในสายทันทีเมื่อได้ยินประโยคถัดไป

     

     

    "ฉันมีคดีอยากให้คุณช่วย" หล่อนหยุดเหมือนลังเล เพราะเขายังไม่ตอบรับสักแอะ เหมือนสายหลุดไปเฉยๆ แล้วไอ้บ้านี่จะเป็นนักสืบจริงหรือเปล่า หล่อนก็ยังไม่แน่ใจ

     

     

    "ฮัลโหลๆ คุณยังอยู่ในสายหรือเปล่า"

     

     

    "ครับคุณนาย ผมยังอยู่ ไม่ทราบว่าคุณนายแมวหรือสุนัขหายหรือว่าส้วมเต็มละครับ ผมมีเบอร์ช่างประปาและเจ้าหน้าที่เทศกิจ คุณลองติดต่อไ..." เขาพลิกหน้ากระดาษที่แปะไว้บนเคาน์เตอร์

     

     

    "อย่ามาเรียกฉันว่าคุณนายนะยะ แมวฉันหายจริงแต่ฉันคิดว่ามันมีเงื่อนงำที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ถ้านายอยากจะมีค่าเช่าบ้านเดือนนี้ล่ะก็ ย้ายก้นมาที่ถนนแอนเดอร์สันตัดกับเวสต์วูดเดี๋ยวนี้!"

     

     

    คุณนายตะโกนเสร็จก็กระแทกหูใส่เขา เขาได้ยินเสียงสัญญาณและความเงียบในบ้าน เหมือนฟ้าผ่าแสกกลางกบาล คุณนายตัวแสบ เขาคิดอยู่สองสามนาทีก่อนวางหูแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ

     

     

    โจนาธานถอดเสื้อเชิ้ตเหม็นเหงื่อและกางเกงโสโครกที่ใส่เขลอะกรังมาห้าวันลงบนพื้น ถอดไปพร้อมกับกางเกงในสีเทา ที่แน่นอนว่าก็ไม่ได้เปลี่ยนมาหลายวัน เขาไม่ชอบใส่เสื้อกล้าม เมื่อถอดกางเกงไปแล้ว ก็เปลือยเปล่าไปทั้งตัว เขาคว้านหาแปรงสีฟันและสิ่งสำคัญของลูกผู้ชายที่เรียกว่ามีดโกนหนวด แต่พวกมันก็เหมือนยูนิคอร์น แปลว่ามันมีอยู่แค่ในตำนาน

     

     

    หลังคาร์บิเนตกระจกเงามีไหมขัดฟันและแปรงสีฟันเด็ก เขาต้องเลือกระหว่างฟังก์ชั่นและศักดิ์ศรีของผู้ใหญ่ แต่ความขี้เกียจชนะ เขาจึงอมน้ำกลั้วปากแล้วบ้วนทิ้งไป ทำอยู่หลายครั้งจนคิดว่ากลิ่นมันน่าจะพอให้อภัย เขาจะไม่เข้าใกล้คุณนายมหาประลัยนั่นเกินสองหลา เขาตั้งปณิธานไว้

     

    มองในกระจกดีๆ เขาน่าจะลองไว้หนวดมาตั้งนานแล้ว นี่ขนาดไม่ได้โกนมาแค่สี่ห้าวันยังขึ้นรุงรังขนาดนี้ ถ้าปล่อยเอาไว้สัก 2 เดือน บารมีและรังสีอำมหิตคงทำให้อัลคาโปนร้องไห้อย่างแน่นอน คิดได้ดังนั้น โจนาธานก็คิดว่าช่างหัวมีดโกนหนวดนั่นปะไร แทรกตัวเข้าไปหลังม่านก่อนจะครางอย่างพอใจเมื่อเจอน้ำอุ่น นี่เขาจะไปตามหาแมวหายอีกแล้วเหรอเนี่ย

     

    มันไม่มีอะไรจะเสียแล้วนี่วะ

     

    +++

     

    เขาขยับตัวอย่างอึดอัดเพราะสายตาจ้องเอาจ้องเอาของคุณนายเจสที่ปราดมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า หล่อนถลึงตามองเขาอยู่ 1 นาทีเต็มๆ ช่วงเวลาแห่งการถูกตัดสินยาวนานเหมือน 1 ชั่วโมง หล่อนยู่ปากเหมือนอยากจะบ่นอะไรยาวๆ หรือไม่ก็บ่นเรื่องกลิ่นปากของเขา แต่สุดท้ายหล่อนก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าแนะนำตัวง่ายๆ

     

    “ฉันชื่อเจสซี่ เจส เรียกฉันว่าเจส ดีบีแนะนำฉันให้โทรศัพท์หาคุณ”

     

    “ครับคุณนายเจส ผมโจนาธาน เชส ยินดีที่ได้พบคุณ” เขายื่นมือออกไปแต่หล่อนหันหลังไปหยิบรูปจากเคาน์เตอร์ โจนาธานเก็บมือข้างนั้นลงกระเป๋ากางเกงและไม่คิดจะเอาออกมาให้โลกนี้เห็นอีกเลย

     

    เขาสังเกตภายในห้องนั้น มันคือร้านขายขนม ถ้าจะให้เจาะลงไป มันคือร้านขายขนมโฮมเมด “เจสแอนด์มาร์ติน” ขนมจำพวกลูกกวาดหวานๆ ที่คอยทำร้ายฟันน้อยๆ ของเด็กๆ เขาเองก็เคยตกเป็นเหยื่อสังเวยฟันน้ำนมไปหลายซี่ นอกจากนั้นยังมีขนมปังและคุกกี้กระจุกกระจิก ร้านอยู่หัวมุมถนนเวสต์วู้ดตรงกับถนนแอนเดอร์สัน ถ้าตรงไปเรื่อยๆ จะเป็นย่าน “คนรวย” ที่เขาไม่คิดว่าชีวิตนี้จะถูกจัดหมวดหมู่ว่าเป็นคนรวยกับเขา นอกจากแก๊งกระจอกตามถนนแล้ว  ย่านนี้ก็ไม่ได้พลุ่กพล่านอะไร แต่ก็ไม่ได้ร้างจนเปล่าเปลี่ยวหัวใจ

     

    ร้านสีเขียวอ่อนดูสบายตา ติดจั่วหลอกแบบขนมปังขิง หน้าร้านเป็นกระจกวาดดอกทิวลิปเล็กๆ สีชมพู สีแดง สีเหลือง แต่ตอนนี้มันแตกเป็นเสี่ยงๆ เขาใช้เท้าเขี่ยเศษกระจกไปมา มีชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ปนๆ กัน ทุบครั้งเดียว แรงซะด้วย ดิสเพลย์ที่เป็นกระจาดขนมและโหลใสมากมายกลิ้งกระจัดกระจาย ไม่มีโหลแตก ไม่สิ มีโหลเดียวที่ฝาเปิด กลิ่นน้ำตาล น้ำหวาน และแป้งอวลฟุ้ง ถ้าแค่หายใจเข้าแล้วอ้วน ตอนนี้เขาน่าจะเป็นเบาหวานได้แล้ว

     

    คุณนายเจสเป็นหญิงชราร่างท้วม เรือนผมสีขาวรวบเป็นม้วยไว้ที่ท้ายทอย ท่าทางยังกระฉับกระเฉง แต่หูตาน่าจะไม่ค่อยดี เพราะหล่อนเอาแต่ถลึงตาและพูดเสียงดังๆ เสื้อผ้าเป็นแฟชั่นสมัยคุณย่าคุณยายยังสาว ให้ตายสิโจนาธาน หล่อนน่าจะอายุ 60 ได้แล้วมั้ง จะให้หล่อนใส่ส้นสูงหรือไง ไม่มีเครื่องประดับ ของมีค่าสุดบนตัวอาจเป็นสร้อยทองคล้องล็อกเกต …แต่ในร้านอาจมีสมบัติเก่าแบบตั้งแต่สมัยก่อนสงครามก็ได้

     

    หล่อนกลับมาพร้อมรูปถ่ายในมือเป็นรูปเก่าแล้วที่ยังไม่เป็นสีด้วยซ้ำ แต่สภาพยังดีมาก เขาเขม้นมองรูปนั้นโดยไม่ออกความเห็นอะไร แต่สายตาของคุณนายเจสดูเหมือนอยากจะให้เขาพูดอะไรสักอย่างกับรูปนี้ เขาจึงพูดสิ่งที่ชัดเจนที่สุดออกไป

     

    “มันคืออะไรครับ” โจนาธานอยากพูดใหม่ ถามสิ่งที่เห็นอยู่ทนโท่ทำไมวะเนี่ย เขาเห็นหล่อนขมวดคิ้ว แต่มันก็คลายออกรวดเร็วเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น

     

    “หน้าร้านของฉันเอง ดิสเพลย์ข้างหน้าไม่เคยเปลี่ยนมาเป็น 10 ปีแล้ว” หล่อนแกว่งแผ่นกระดาษตรงหน้า “จนมาเมื่อวันเสาร์นี้เอง ฉันจัดดิสเพลย์ใหม่หมด ขยับโหลนั่นนี่ พอตกดึก ก็มีคนทุบกระจกหน้าร้าน”

     

    “มีของหายไหมครับ” พอรู้ว่าไม่ต้องไปตามหาแมวที่หายไป เขาก็เริ่มคิดว่ามันน่าสนใจ

     

    “ของมีค่าฉันอยู่ครบทุกอย่าง เมื่อคืนวันนั้น ฉันลืมล็อกลิิ้นชักเก็บเงินด้วย ไม่มีอะไรหายไปเลย”

     

    ถ้าไม่มีของหายก็ไม่มีคดี แล้วเขามาที่นี่ทำไม

     

    โจนาธานคงจะคิดเสียงดังเกินไปหน่อย เพราะคุณนายเจสแหวขึ้นมาว่า “ตำรวจน่ะแค่ลงบันทึกประจำวัน บอกว่ามีคนก่อกวนทำลายข้าวของ ไม่แม้แต่จะขับรถมาดูสถานที่เกิดเหตุด้วยซ้ำ คิดว่าฉันอาจจะมีศัตรู หญิงชราอ่อนแอและบอบบางอย่างฉันจะไปสร้างศัตรูได้ที่ไหนกัน”

     

    ชายหนุ่มยังฉลาดพอที่จะหุบปาก

     

    “แม้ว่าพวกเด็กแสบแถวนี้จะเข้ามาขโมยขนมบ้างแต่ฉันก็หลับตาข้างเดียว เหมือนแจกขนมให้เด็กวันฮาโลวีนน่ะคุณเข้าใจมั้ย” หล่อนยกมือทาบอก เขาคิดว่าท่านี้น่าจะเป็นท่าสากลของคุณยายทุกคนเพราะยายของเขาก็ชอบทำเวลาที่อยากให้หลานเข้าใจความรู้สึกอันละเอียดอ่อน “แต่ฉันคิดว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้น คิดดูสิ 10 ปีเชียวนะที่ดิสเพลย์ของฉันไม่เคยเปลี่ยน แล้วมาวันดีคืนดีที่ฉันเปลี่ยนอะไรนิดหน่อย ร้านของฉันก็พังงั้นเรอะ”

     

    “อืม…” ความจริงคดีนี้ก็น่าสนใจถ้าในร้านมีของหรือทรัพย์สมบัติอะไรหายไปบ้าง แต่แบบนี้เขาจับมือใครดมไม่ได้ แม้แต่เลือดสักหยดก็ไม่มีเห็น ก็จะโกรธตำรวจไม่ได้หรอกนะ คนก็น้อย คดีก็เยอะ อย่างเก่งก็มีบันทึกประจำวัน อาจไม่ได้ถ่ายรูปประกอบด้วยซ้ำไป “ผมไม่ได้เห็นด้วยกับตำรวจหรอกนะครับคุณนายเจส แต่ผมอาจต้องถามว่าเด็กแสบพวกนั้นเคยทำความเดือดร้อนอะไรให้คุณบ้างหรือเปล่า เช่น ด่าทอคุณว่าเป็นยายแก่ปากร้ายอะไรประมาณนั้นน่ะครับ คือผมสมมติขึ้นมาน่ะครับ ผมคิดว่าเด็กๆน่าจะว่าคุณอย่างนั้น”

     

    โจนาธานกระแอมเสียงเบาก่อนจัดปกเสื้อ คุณนายเจสเลิกคิ้วโก่งกว่าเดิมและตาเกือบถลนออกมานอกเบ้า

     

    “สรุปว่าคุณจะรับงานนี้หรือเปล่า หาคนทุบกระจกหรืองัดเข้ามาในร้านฉันหรืออะไรก็แล้วแต่”

     

    “ผมเกรงว่ามันอาจไม่คุ้มกับค่าจ้างและเวลาอันมีค่าของคุณนายนะครับ คำแนะนำฟรีของผมก็คือ ฟ้องพ่อแม่ของพวกเด็กแสบน่าจะปิดคดีได้ไวกว่า และผมแนะนำร้านซ่อมกระจกให้คุณนายได้ เขาเป็นช่างเก่งที่สุดในเมืองเลยละครับ” เขายิ้มแหยงๆ ชี้ไปทางกระจก

     

    คุณนายเจสหรี่ตา “100 เหรียญ บวกค่าเดินทาง 50 เหรียญ ถ้าหาคนร้ายเจอ ฉันจ่ายให้อีก 200 เหรียญ”

     

    “ครับคุณนายเจส! ผมคิดว่าคุณนั่งพักสักหน่อยก็ได้ ผมขอเริ่มงานทันทีครับ ขอผมสำรวจพื้นที่รอบๆ” โจนาธานรีบควักสมุดปกหนังและปากกาคู่ใจออกมา เขาเปิดหน้าว่างขึ้นมาหน้าหนึ่ง เขียนวันที่ ชื่อลูกค้า ที่อยู่ จุดประสงค์การว่าจ้าง และเขียนคำว่า “เบาะแส” ไว้กลางหน้ากระดาษ เยส! เขาพร้อมแล้ว โจนาธาน เชสมาแล้ว

     

    “เดี๋ยว...ฉันมีเงื่อนไขอีกข้อ”

     

    “เชิญบัญชามาได้เลยครับคุณนาย” เขาแทบจะผายมือและโค้งตัวคำนับเหมือนนักแสดงละครจากฝรั่งเศสพวกนั้นทำ  

     

    “คุณต้องตามหามิกกี้ให้ฉัน ถ้าเจอเขาฉันจะเพิ่มให้คุณอีก 200 เหรียญ”

     

    “เขาเป็นใครครับ” อาจเป็นชื่อเด็กเกเร ผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง ชายหนุ่มจดชื่อมิกกี้ลงไปในหน้าว่างอีกหน้าหนึ่ง อาห์...ชักจะฮึกเหิมซะแล้วสิ อย่างน้อยคดีนี้ก็ไม่ใช่คดีหมาหลงแมวหาย เขาจะได้แสดงฝีมือนักสืบให้คุณนายเจสได้หงายตะลึง

     

    “แมวของฉันเอง”

     



    TBC



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
firefliesfic (@firefliesfic)
อะไรยังไงไม่รู้ล่ะ แต่อิตาเชสนี่...ซกมกชะมัด! นึกภาพตามแล้วก็ได้แต่ร้องยี้เป็นระยะ แล้วดูจากพฤติกรรมช่วงต้นแล้ว มั่นใจเลยว่าไม่ต้องถึงมือลูกกวาดหวานๆ พี่ท่านก็เสียฟันน้ำนมไปหลายซี่ได้ไม่ยากเลย ดีไม่ดี ฟันแท้ก็จะตามไปด้วยนะคะ! ="=

เปิดมายังไม่มีเสียงหัวเราะกร๊าก แต่ถ้าหัวเราะหึๆ หัวเราะเหอะๆ ด้วยความละเหี่ยใจ เจือความเป็นห่วงเป็นใยในชีวิตของคุณเชสแล้วละก็ มีให้ประปรายมาจนถึงท้ายตอนเลย โถ.......พ่อคุณ... สุดท้ายก็ไม่รอดคดีหาแมว 555555 ขอให้เชสสู้ ตามหามิกกี้ให้เจอเพื่อ 200 เหรียญ! พร้อมท่องไว้ว่าคิดจะพัก คิดถึงภาระ!

ป.ล. แวะมาเจิม และรอตอนต่อปายยยย :P
ป.ล.2 พบ typo ประปรายฮะ
ป.ล.3 เหมือนไม่ได้อ่านตัวละครช่างประชดประชันแบบนี้มานาน คิดถึง.