เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
diary of wimpy kidemo
// Merry Christmas Mr.Lawrence //



  • Merry Christmas Mr.Lawrence [1983]

    มีอยู่วันนึงเราก็นั่งเล่นโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ แล้วอยู่ดีๆก็ไปสะดุดตากับโพสนึงของ Documentary Club นั่นก็คือ โพสที่บอกว่าจะนำหนังเรื่องนี้เข้ามาฉาย และเราก็เห็นนักแสดงคนนึงในเรื่อง เห้ย นั่นมัน เดวิด โบวี่ นี่หว่า ส่วนตัวเราก็ชื่นชอบผลงานของคุณลุงเดวิด แต่เราไม่เคยทราบมาก่อนว่าเขาเคยเล่นหนัง แถมยังเป็นหนังญี่ปุ่นเสียด้วย

    บวกกับโพสที่เห็นนั้นเขาบอกไว้ว่า เพราะด้วยตัวผู้กำกับที่เป็นคนแปลกๆ ก็เลยอยากจะได้ตัวเดวิดมาแสดง เพราะเดวิดเขาก็เป็นคนแปลกๆคนนึง ฮ่า

    แต่พอไปเช็คเรื่องรอบฉาย มันมีรอบฉายแค่ในกรุงเทพกับเชียงใหม่ หรือไม่ก็โรงใหญ่ๆที่ในจังหวัดเราไม่มี เราก็น้อยใจกับตรงจุดนี้บ่อยๆเพราะเราชอบดูหนังนอกกระแส พลาดโอกาสไปหลายเรื่องเพราะว่าสถานที่ไม่เอื้อนี่ล่ะ

    พอมารอบนี้ เราว่างพอดี ก็เลยคิดว่า เอาวะ ยังไงก็จะต้องไปดูหนังคุณเดวิดให้ได้ 

    เราเลือกไปดูที่ BKKSR (Bangkok Screening Room) เพราะเราไม่เคยได้ยินชื่อสถานที่นี้มาก่อน เลยอยากจะรู้ว่ามันจะเป็นยังไงนะ

    พอไปถึงBKKSRแล้วก็ ว้าว เป็นเหมือนร้านกาแฟ แต่ข้างในมันคือโรงหนังแฮะ เจ๋งดี ในสายตาเรารู้สึกว่าอยากจะมีอะไรแบบนี้เป็นของตัวเองบ้างจัง [ ค่าตั๋วปกติ 300฿ นะ แต่นักเรียนนักศึกษาลดได้ ]

    ก่อนจะพูดถึงหนัง เราเคยได้ยินชื่อเสียงของผู้กำกับมาในเรื่องของการทำหนังสุดฉาว ก็ได้ยินไม่ผิดเลย เพราะเลือกที่จะนำเสนอหนังเรื่องนี้ออกมาในด้านความรุนแรงและความโหดร้ายของกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดตัวเองด้วยซ้ำ สุดยอด พลีชีพอยู่พอตัวเลยนะนี่

    โอเค จะพูดถึงตัวหนังแล้วจริงๆ

     **Spoiler alert**




    ต้องขอบอกก่อนเลยว่า ส่วนตัวเราไม่ใช่คนที่มีความรู้เรื่องสงครามอะไรพวกนี้มากซักเท่าไร ก็เลยกลัวว่าเราจะดูรู้เรื่องเปล่านะ จะเข้าใจที่ผู้กำกับสื่อสารมั้ย


    แต่พอได้เริ่มดูไปเรื่อยๆ เราก็รู้สึกว่า เห้ย เราก็เข้าใจในแบบของเรานี่แหละ ซึ่งหนังมันก็โอเคเลยนะ

    ตัวละครเด่นๆจะมีประมาณ 4 ตัวละคร 

    ก็คือ ผู้พันลอว์เรนซ์ (Tom Conti) / ผู้พันแจ็ค (David Bowie) / กัปตันโยโนอิ (Ryuichi Sagamoto) / สิบเอกฮาระ (Takeshi Kitano)

    เนื้อเรื่องเกี่ยวกับนายทหารคนนึง เขาชื่อลอว์เรนซ์ เป็นนักโทษที่โดนจับมาอยู่ในกองทัพญี่ปุ่น เขาก็จะได้รู้วิถีชีวิตว่าพลทหารของญี่ปุ่นเนี่ย มันมีความโหดร้ายมากเลยนะ มีทั้งฮาราคีรี ทั้งการทรมานตัวเอง การโดนทำร้ายมากมายเลย ซึ่งตัวลอว์เรนซ์ เราคิดว่าเขาก็คงไม่ค่อยพอใจกับสิ่งที่เห็นเท่าไร

    แล้ววันนึงก็มีนักโทษมาเพิ่ม ก็คือผู้พันแจ็คนั่นเอง โดยตัวละครนี้ถือได้ว่ามีความกวนประสาทอยู่มากเลยทีเดียว 


    ซึ่งกองทัพญี่ปุ่นอันนี้ ก็จะมีกัปตันโยโนอิเป็นผู้ประจำการ ตัวกัปตันโยโนอิจะมีบุคลิกที่ขรึมแล้วก็เคร่งกฏระเบียบมาก น่าเกรงขามตามแบบฉบับของทหารญี่ปุ่นในสมัยนั้น 

    เราจะขอพูดถึงเรื่องผู้พันแจ็คกับกัปตันโยโนอิก่อน

    แต่ต้องขอวกกลับไปต้นเรื่องกันซักเล็กน้อยก่อนจะเล่าถึงตรงนี้ ตอนเริ่มเรื่อง ในสมัยนั้นการมีความสัมพันธ์แบบชาย-ชายยังเป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมรับได้ ยิ่งถ้าเกิดในกองทัพที่มีพลทหารนับร้อยแล้วล่ะก็ ยิ่งจะต้องถูกลงโทษขนานหนักเลยทีเดียว

    แล้วความสัมพันธ์ของกัปตันโยโนอิกับแจ๊คเนี่ย มันเป็นสิ่งที่แม้แต่กัปตันโยโนอิเองก็ยอมรับไม่ได้เสียเลย

    จะเห็นได้ว่ากัปตันโยโนอิสปอยล์ผู้พันแจ็คหนักมาก ต้องขอใช้คำว่าสปอยล์เลยเพราะเขาปกป้องทุกทางจริงๆ แต่ด้วยความที่เป็นชายชาติทหาร ความรู้สึกเล็กๆในหัวใจมันไม่ควรจะเป็นแบบนี้ กัปตันแห่งแดนอาทิตย์อุทัยก็เลยเลือกที่จะเป็นพลทหารจอมโหดเหมือนเดิม

    มีฉากที่เราชอบหลายฉากที่เราอยากพูดถึง ตอนแรกเราไม่คิดด้วยซ้ำว่าหนังเรื่องนี้จะทำให้เราเสียน้ำตาได้

    แต่ก็หน้าเปียกออกจากโรงเลย ฮ่า

    จริงๆหนังเรื่องนี้ก็แอบแทรกมุมฮาๆไว้ให้หัวเราะด้วยนะ มันหลายอารมณ์มากเลย


    การที่เราได้เห็นความโหดร้ายทารุณของกองทัพญี่ปุ่น ทำให้เรารู้สึกว่านี่มันบ้ามากๆ ทำไมถึงคิดว่าการทำแบบนี้มันคือสิ่งที่สมควรนะ อย่างเช่นการทำฮาราคีรีเมื่อทหารทำความผิด แถมยังโดนตัดลิ้นบ้าง ตัดนิ้วมือบ้าง

    และความใจร้ายอย่างนึงของกัปตันโยโนอิก็คือ กัปตันแกเรียกทุกคนในกองให้มายืนรวมตัวกัน ซึ่งนั่นรวมไปถึงผู้ป่วยที่นอนพักอยู่ด้วย จังหวะนั้นเราไม่เข้าใจว่าเขาทำไปเพื่ออะไร มันน่าหดหู่ใจมากๆที่เห็นทหารหลายๆคนในสภาพย่ำแย่ต้องมาทนยืนรวมตัวกันกลางแดด

    ส่วนฉากพีคที่เราไม่คิดว่าจะได้เห็นจากสองคนนี้ก็ทำให้เราอึ้งกิมกี่ไปเลย


    จังหวะนั้นเรารู้สึกเอ็นดูกับการล้มทั้งยืนของกัปตันโยโนอิมาก เพราะไอ้ผู้พันแจ็คนี่มันโคตรบ้าสุดเหวี่ยง เดินไปจุ๊บแก้มกัปตันต่อหน้าทุกคนในกองทัพ โอ้ ความแตกต่างทางวัฒนธรรมสุดๆ

    แต่ในฉากสุดท้ายของทั้งสองคนนี้ เราเสียน้ำตาให้กับปมในอดีตของผู้พันแจ็คที่เขาเคยเล่าให้ผู้พันลอว์เรนซ์ได้ฟัง เกี่ยวกับน้องชาย

    ซึ่งเขาก็รู้สึกเสียใจกับเรื่องราวในอดีตตอนนั้น เพราะเขาไม่สามารถกลับไปหาเพื่อฟังน้องชายตัวเองร้องเพลงได้อีกแล้ว

    เขาจินตนาการไปว่าได้กลับไปเจอน้องชายคนเดิมของเขา หยิบดอกไม้ขึ้นมาหนึ่งดอก

    ดอกไม้พันธุ์นี้ มันจะบานทุกๆ5ปี

    เขาสัญญากับน้องเขาว่า 

    "ก่อนดอกไม้ดอกนี้จะบาน พี่จะกลับมา"

    แต่เขาก็ไม่ได้กลับไปหาอย่างที่ได้คิดเอาไว้ 
    ท่ามกลางความอ้างว้างของกองทัพญี่ปุ่น เขาจากไปอย่างสงบ

    เรารู้สึกว่าความสัมพันธ์ของผู้พันแจ็คกับโยโนอิเนี่ย ตัวผู้กำกับไม่ได้ทำให้มันหวือหวา แต่เราสามารถรู้ได้เองว่า สิ่งที่ตัวละครเขากำลังแสดงอยู่ มันคือความรู้สึกแบบไหน และมันไม่ถูกต้องในสมัยนั้น

    ส่วนทางฝั่งของผู้พันลอว์เรนซ์

    เขาก็เป็นพลทหารคนนึงที่เรารู้สึกว่าเขามีความใจเย็นมากๆเลย ดูเป็นคนใจดี แล้วก็รักความยุติธรรม รักความถูกต้อง แต่ถ้าได้ค้าน เขาก็จะเถียงจนหัวชนฝาเลยล่ะ

    และคู่กัดของผู้พันคนนี้ ก็คือสิบเอกฮาระ เป็นพลทหารขี้เมา คอยอยู่ประจำการคู่กับกัปตันโยโนอิ ซึ่งก็เคร่งกฏเหมือนกัน

    แต่ความสัมพันธ์ของสองคนนี้มันคือความสัมพันธ์ที่ออกมาในรูปแบบของเพื่อนที่เป็นมิตรต่อกัน 

    ตอนแรกเราไม่เข้าใจว่า แล้วคริสต์มาสมันเกี่ยวอะไรกับหนังแบบนี้ล่ะ จะฉลองในกองทัพหรือไง

    แต่พอได้ไปดูจริงๆ ก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจกับฉากวันคริสต์มาสอย่างบอกไม่ถูก เหมือนได้เห็นมุมที่อ่อนโยนของทหารญี่ปุ่นหน้าซื่อๆคนนึง กับผู้พันที่แสนจะใจดี

    ในตอนสุดท้ายที่ทั้งสองคนกลับมาเจอกันอีกครั้ง สถานภาพของทั้งสองคนกลับตาลปัตรอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งสองคนปรับความเข้าใจกันเล็กน้อย

    และในวันคริสต์มาสนั้น สิบเอกฮาระก็ได้พูดประโยคเดิมเป็นครั้งที่สอง และเป็นครั้งสุดท้าย

    "Merry Christmas Mr.Lawrence"


    7.5/10

    //

    เพลงประกอบในเรื่องนี้ ถือว่าทัชกับความรู้สึกเรามากๆ มันเหมาะกับตัวหนังมาก และคนแต่งเพลงประกอบนี้ไม่ใช่ใครเลย คุณริวอิจิ หรือกัปตันโยโนอิของเรานั่นเอง เป็นเพลงที่ถ้าได้ยินเมโลดี้ขึ้นมา ก็จะนึกถึงวันคริสต์มาสที่ออกจะหดหู่เล็กน้อย แต่ก็ยังยิ้มได้นะ

    //




    เราอาจจะไม่สามารถวิเคราะห์หนังได้สุดเจ๋งแบบคนอื่น เพราะไม่ได้มีความรู้มากนัก แต่ในความคิดของเรา เราตีความมันออกมาได้ในรูปแบบนี้ และเราก็รู้สึกดีที่ได้มีโอกาสดูหนังที่เราไม่เคยได้ยินมาก่อน ถ้ามีโอกาสได้ดูหนังเรื่องนี้ เราก็ขอแนะนำให้ทุกคนได้ดูนะ


    thank you 

    t.

















Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in