สามสี่วันมานี้เปิดโซเชียลทีไรก็เจอแต่โพสต์ย้ำให้ social-distancing อยู่บ้าน อย่าออกไปไหน หลีกเลี่ยงที่แออัดคนเยอะ ๆ ตั้งแต่น้ำท่วมปี 54 ก็มีปีนี้เนี่ยแหละที่เหตุการณ์ร้ายแรงอย่างโรคระบาดกระทบคนทุกหย่อมหญ้า ใคร ๆ ต่างก็บ่นอิดออดปนกับอาการแพนิคว่าฉันติดโควิดยัง? อดไปเที่ยวแน่ปีนี้ หรือฉันจะโดน leave without pay ไหม?
โดยเฉพาะปี 4 เทอมสุดท้ายที่กำลังเอนจอยกับการเรียนกับกิจกรรมสุดเข้มข้นจัดหนักก่อนส่งท้ายชีวิตนักศึกษา ก็ถูกเจ้าโควิด-19 มากดพอสทุกอย่างไว้ ทิ้งให้เรางงกันทั้งฮอลล์ว่าอ่าว ชีวิตถัดจากนี้พวกเราจะทำยังไงกัน ทั้งเรียนเอย สอบเอย หางานล่ะ หรือเราควรพักช่วงนี้ เทคแกปเยียร์กันก่อนดีนะ ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย สิ่งที่ปลุกสติให้กลับมาคือ การเรียน การบ้าน และสอบ และ การวางแผนกิจวัตรประจำวันใหม่อย่าง productive ให้ตั้งรับกับ insecurity ในใจ
Online Study: Expectation vs. Reality
นึกแล้วฉันเองก็เคยมีความคิดแบบ what-if เกี่ยวกับการเรียนออนไลน์ในมหาลัยก็ตอนที่ไป work and travel เมื่อสองปีก่อน ฉันทำงานอยู่ที่สวนน้ำแห่งหนึ่งในรัฐแถบ midwest ของเมกา พาร์ทเนอร์ต่างชาติแต่ละคนล้วนมีวัยไล่เลี่ยกัน คำถามยอดฮิตในการทำความรู้จักคนต่างชาติย่อมหนีไม่พ้นเกี่ยวกับเรื่องวัฒนธรรม ฉันก็ถามเด็กเมกา(นามสมมติ T) ว่าที่คอลเลจเธอเรียนยังไงบ้าง T ก็ตอบว่าเทอมซัมเมอร์เรียนออนไลน์หมดเลย มีโปรแกรมไว้คุยงานกลุ่มกับเพื่อน หรือจะปรึกษาอาจารย์ก็เน้น video call ทำให้เธอมีเวลามาทำงาน part-time แบบนี้ พอได้ยินก็ได้แต่ทึ่ง ได้แต่จินตนาการว่าถ้ามหาลัยเรามีการเรียนออนไลน์คงประหยัดเวลาการไปมอ แถมมีสมาธิในการเรียนมากกว่าเดิม เพราะไม่ได้ยินเสียงเพื่อนในห้องคุย แต่ก็ปล่อยให้เป็นความฝัน เพียงแค่ระบบลงทะเบียนมหาลัยยังไม่เอาไหนเลย นับประสาอะไรกับการเรียน ความคิดเรื่องเรียนออนไลน์เลยล่องลอยหายไปกับสายลม
แต่ก็ไม่คิดว่าเจ้าไวรัส covid-19 จะสานฝันให้ฉันอย่างไม่ทันตั้งตัว สัปดาห์ที่ผ่านมา มหาลัยประกาศสายฟ้าแล่บให้มีการเรียนออนไลน์ทันที พร้อมเปลี่ยน syllabus ทั้งหมดของทุกวิชา ทั้งงงทั้งดีใจที่ไม่ต้องเบียดเสียดกับคนเสี่ยงไวรัส แล้วก็ไม่ต้องเดินทางนาน ๆ เพื่อเข้าเรียนอีก ครั้งนี้แหละที่จะมาพิสูจน์ว่าเรียนออนไลน์จะดีกว่าในคลาสจริง ๆ หรือไม่
ซูม ผู้สนับสนุนหลักในการท่องเที่ยวทิพย์ที่ป่าไผ่ Arashiyama (ฮ่า)
แรกเริ่มการเรียนค่อนข้างทุลักทุเลทั้งตัวอาจารย์และฉันเอง ไม่ใช่ทุกคนที่มีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง หรือมีสัญญาณที่เสถียร ประกอบกับหลายคนเองต้อง mute เสียง เพราะวันดีคืนดีอาจจะได้ยินเสียงหมาเห่า นกร้อง ฝนตก พายุเข้า แม่เรียกให้ไปกวาดบ้าน ทำให้มีปัญหาในส่วนของ discussion กับการตอบคำถาม เลยต้องปรับตัวกันอยู่สักพัก แต่ด้วยแพชชั่นในการเรียนของแต่ละคนที่แรงกล้า (อยากเรียนจบว่าง่าย ๆ) การเรียนเลยผ่านได้ฉลุย
การที่ต้อง study from home นี้เพื่อนหลายๆ คนทั้ง extrovert เอย introvert ก็บอกว่ายากลำบากกว่ามาเรียนที่มหาลัยเองมาก ปัญหาสำคัญอยู่ที่การจดจ่อ โฟกัสกับการเรียนโดยที่ไม่เผลอเปิดซีรีส์อย่างอื่นดู หนักกว่านั้น เรียนๆ ไปก็เหมือนผู้ป่วยติดเตียง มาเปิดโปรแกรมเสร็จแล้วนอนต่อ (เอ๊ะ) พอถึงคราวต้องทำงาน assignment ต่าง ๆ คนที่ติดร้านกาแฟ ชอบออกไปข้างนอก หรือโปรดัคทีฟเวลาอยู่ท่ามกลางผู้คน ก็จะเจอกับภาวะ burnout คือ อยู่บ้านแล้วไอเดียตัน คิดไม่ออก เพราะต้องอุดอู้ในห้องสี่เหลี่ยมตลอดทั้งวัน จริง ๆ พวกนี้ไม่ได้เป็นข้ออ้าง หรือการอดทนไม่เก่งอย่างที่ผู้ใหญ่บอกกันเลย ไลฟ์สไตล์ที่ต้องเปลี่ยนฉับพลันเนี่ยแหละที่ท้าทายวิถีชีวิต ทำให้หลายคนยังไม่ชินกับการเรียนหรือทำงานในพื้นที่แบบนี้กันสักพัก ต้อง take time throughly and seriously กว่านี้กันมาก
เราเองไม่ได้มีปัญหาที่ต้องเรียนหรือทำงานในห้องเท่าไร เพราะปกติเป็นคนติดบ้านมาก แทบไม่ออกไปข้างนอกอยู่แล้ว พอเจอเหตุการณ์นี้ก็สบายไป แต่ที่เจอเหมือนทุกคนคือหลุดโฟกัสกับการเรียน ชอบไปทำอย่างอื่นนอกเหนือจาก priority ที่ตั้งไว้ หรือทำงานอยู่ดี ๆ จู่ ๆ ก็แพนิคเรื่อง covid กังวลจนไม่ได้ทำอะไรต่อ ฯลฯ ดีที่เป็นแบบนี้ได้แปปเดียว ไหวตัวทัน เลยอยากจะมาแชร์การไม่ประสาทกินตอนที่ต้อง social-distancing แล้วแถมได้งาน ได้ดูซีรีส์อีกด้วย
Time-boxing, To-do lists, etc.
พระเอกของเราในการวางแผนชีวิตคือแอป Calendar ในโทรศัพท์นี่เอง เราก็จะใช้ฟังก์ชั่น time-boxing ในหมวด Week ในการกำหนดกิจกรรมโดยคร่าวของอาทิตย์นี้ (อย่ายัดเกินสามอย่างต่อวันนะ) ว่าวันนี้เราจะทำอะไรบ้าง แยกสีให้ชัดเจน สมมติว่า สีแดง เกี่ยวกับการเรียน (e.g. งานที่ต้องส่ง, สอบ, วางแผนการอ่านหนังสือ) สีฟ้า เกี่ยวกับจ็อบเสริม (e.g. สอนพิเศษ, ตัดต่อวิดีโอ) สีเขียว เกี่ยวกับการอู้ (ดูหนัง ซีรีส์ เล่นเกม ดู youtube)
หน้าตาของ Calendar เราที่ใส่รายละเอียดได้ด้วยว่างานด่วนงานเร่งไหม
ใครที่เบื่อ time boxing ก็มาทำวิธีเบสิกอย่าง to do list เขียนสิ่งที่จะทำในแต่ละวัน ไม่ต้องกดดันตัวเองว่าต้องทำครบทุกอัน แค่เตือนตัวเองไม่ให้ลืมงานสำคัญเฉย ๆ เท่านั้นเอง
พอทำแบบนี้มาสัปดาห์นึง ก็รู้สึกโปรดัคทีฟขึ้นนะ งานเสร็จเร็วขึ้น มีเวลาเหลือไปนั่งนอนโง่ ๆ แล้วก็ช่วยลด distraction จากโซเชียลได้ดีเลย time boxing จะชี้ให้เห็นกรอบเวลาแล้วก็บังคับเราภายในตัวว่าต้องทำเสร็จก่อนเวลานี้ (หลักการคล้าย ๆ pomodoro ที่ทำงานให้เสร็จภายใน 25 นาที) แล้วค่อยพัก เลยไม่ค่อยไปยุ่งกับโซเชียลมีเดียเท่าไร อาการคิดมากแพนิคเรื่องไวรัสเลยลดลงไปหน่อยนึง เป็นการตั้งสติที่เวิร์คในสถานการณ์แบบนี้
Stay Positive, ดูซีรีส์, ทำอาหาร!
จริง ๆ แล้วพอไม่ต้องเดินทางนาน ๆ เหมือนแต่ก่อนเลยได้มีเวลามาดู Netflix ซักทีเลยมีซีรีส์เกาหลีน่าสนใจอยู่หลายเรื่องเหมือนกัน แล้วก็สูตรอาหารน่าทำหลายอย่าง ทั้งอาหารคาว ของหวาน แล้วก็เครื่องดื่มที่เป็นเทรนด์อยู่ตอนนี้ Dalkona Coffee 달고나커피 ไว้ขอไปลองทำก่อน ได้ผลยังไงมาดูกัน
ขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพ ทำใจให้ปลอดโปร่ง แล้วหาอะไรทำสนุก ๆ ช่วงนี้ไปก่อน รู้ว่าเครียดกัน แต่ยังไงมันก็ผ่านไปนะ This shall too pass :->
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in