เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Once in Glacier National Parkleedeepk
Orientation Day
  • หลังจากถึง Columbia Falls เราและโจเช็คอิน เตรียมเข้าไปเก็บของก่อนจะรีบออกไปกินข้าว เราเลือกร้านอาหารไว้บ้างตั้งแต่เริ่มแพลนทริปที่ไทย โดยปักหมุดร้านพิซซ่าและร้านอาหารจีนไว้ ตอนนั้นเป็นเวลา 9 โมงเช้าซึ่งยังไม่มีร้านไหนเปิด แต่ซูชิและไอศกรีมเหลวที่กินมาบนรถไฟนั้นย่อยอย่างรวดเร็ว ไม่ได้การล่ะ ต้องได้กินอะไรสักอย่างจริง ๆ นะ... 

    เอ๊ะ ได้ยินเสียงคนไทย
    ต้นทางเป็นเสียงผู้หญิงไทย 3 คน รุ่นราวคราวเดียวกับเรา พี่ ๆ มา WAT ที่เกลเช่อเหมือนกันและมีปฐมนิเทศในวันพรุ่งนี้

    เยี่ยมเลย!

    พวกเราชวนพี่ ๆ ทั้ง 3 ไปกินข้าวด้วยกัน โดยนัดหมายเวลาเรียบร้อย เรากับโจรีบเก็บของเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อออกมาหาพี่ ๆ ตามนัด เราตัดสินใจพาทุกคนเดินไปร้าน Nite Owl & Back Room ที่อยู่หลังโรงแรม ร้านนี้เป็นร้านขายอาหารเช้าและมีอาหารสไตล์อเมริกันให้เลือกมากมาย เราเลือกเบคอนและไข่ไป ส่วนโจและพี่ ๆ เลือกเมนูที่มีแฮชบราวน์ประกอบ 

    เป็นคนไทยต้องกินคาร์บ
    โจเคยบอกเราไว้

    เราโตมากับประโยคที่ว่า 'ฝรั่งเขาสูงใหญ่กันเพราะบ้านเขากินแต่นม' เลยอยากลองสั่งนมมาชิมสักแก้ว 

    " Hi, I also want to order 1 glass of milk. "
    " What would you like to have for today, whole milk or skim milk? "

    อิหยังว่า skim milk ไอแพดก็ไม่ได้เอามา มันแปลว่าอะไรวะ อะ ลอง ถือว่าสำรวจโลกค่ะ
    " skim milk please "

    นม 1 แก้วมาเสิร์ฟอยู่ตรงหน้า 
    เอาละเว้ย นมอเมริกัน ไหนลองซิ
    อหหหหหหหหหหหหห จืดมาก เหมือนนมละลายน้ำ ทำไมกินอะไรรสชาติแบบนี้กัน ไม่นัวแบบที่คิดเลย แล้วทำไมชั้นไม่สั่งมิลค์เชคเหมือนนางเอกหนังรอมคอมให้มันจบ ๆ กรี๊ด

    กรรมการอึ้ง... ไม่กล้าบอกใครด้วยว่าไม่อร่อย เลยต้องฝืนดื่มนมแก้วนั้นให้หมด
    ไม่เอาแล้ววววววววว
    (เพิ่งทราบหลังจากนั้นไม่นาน ว่า skim milk คือนมพร่องมันเนยบ้านเรานี่แหละ มันเลยไม่นัวแบบที่คิด)

    หนังท้องตึง หนังตาเริ่มหย่อน เราเริ่มรู้ตัวว่าจะไม่ไหวแล้ว เลยรีบชวนทุกคนไปซื้อของในซูเปอร์มาร์เกตของเมือง ได้ของใช้ติดไม้ติดมือมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นครีมอาบน้ำกลิ่น Cocoa Butter & Shea หรือเครื่องสำอาง E.l.f. และลิปมันกลิ่น Creme Brulee (สมัยนั้นยังไม่เข้าไทยสักอย่าง เจอของแปลกหรืออะไรหอม ๆ เราหยิบไม่เลือกเลย) ก่อนกลับไม่ลืมหยิบอาหารแช่แข็งมา 2 กล่อง เราเลือกสเต็กเนื้อ ส่วนโจเลือกสปาเกตตี้มาเตรียมอุ่นกินเป็นมื้อเย็น ในไทยแทบจะไม่ได้กินอาหารพวกนี้เลยเพราะมีร้านลุงร้านป้าให้ฝากท้องอยู่ตลอด มองดูหน้าปกกล่องอาหารก็ได้แต่คิดถึงเมนู TV Dinner ในเกมเดอะซิมส์ที่เราชอบเล่น วันนี้เราได้ลองมากินจริง ๆ แล้ว

    ไม่มีใครรู้จักร่างกายของเราเท่าตัวเราเอง
    ประโยคนี้ถือว่าไม่เกินจริง หลังจากแยกย้ายกับพี่ ๆ ที่ล็อบบี้โรงแรม เราและโจต่างแยกย้ายกันเข้านอน ใช่ค่ะ เพิ่งบ่ายโมงของที่นั่น สะดุ้งตื่นมาอีกทีตอนพระอาทิตย์กำลังจะตก ข้างนอกเริ่มไม่มีแสงแดดแล้ว โจไม่อยู่ในห้อง อ้าว ไปไหนอีกแล้ว

    สักพักได้ยินเสียงคนเดินรอบห้อง เห้ย ห้องอยู่ชั้น 1 ด้วย ใครมาเดินอีก น่ากลัวนะเนี่ย 

    เราทำใจดีสู้เสือเดินไปเปิดม่านหน้าต่างดู
    อ่อ อีโจ เดินเหยียบลูกสนอยู่
    หัวใจตกไปอยู่ตาตุ่มแล้ว

    เราตามออกไปครู่เดียวแล้วกลับเข้าห้อง อากาศข้างนอกเย็นยะเยือก เย็นกว่าสมัยอยู่แถวตีนดอยมช. พลันคิดได้ว่า ในเมืองยังขนาดนี้... ในอุทยานจะขนาดไหนกันนะ เด็กเกลเช่อจะมีไลน์กลุ่มเอาไว้สื่อสารกัน เพื่อนที่มาถึงก่อนหน้านั้นพิมพ์ไว้ในไลน์ว่า 'ไม่หนาวมาก' เราจึงค่อนข้างวางใจว่าคงหนาวกว่านี้ไม่มากล่ะมั้ง

    คืนนั้น เพื่อนคนเดิมส่งรูปโรงอาหารพนักงานเข้ากลุ่มมาให้พร้อมบอกว่า
    ' ของกินเหลือเฟือ อุดมสมบูรณ์แน่นอน '
    ในรูปที่เพื่อนส่งมา เป็น fountain soda ที่กดได้ไม่อั้น น้ำอัดลมหลากหลายชนิด ตู้นม (มีทั้ง whole milk และ 2% milk) และตู้ซีเรียลหลากสี 

    หวานกรุบ! รอดแล้ว!

    เราและโจกินอาหารกล่องแล้วเตรียมเข้านอนเพื่อเตรียมปฐมนิเทศในวันรุ่งขึ้น

    สถานที่ปฐมนิเทศอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมมากนัก ทำให้พวกเรามีเวลากินข้าวเช้าที่ห้องอาหารโรงแรม แม้จะคุ้นเคยกับการปิ้งขนมปังแต่โรงแรมนี้ให้เราทำวาฟเฟิลเอง โดยโรงแรมจะวางแป้งที่ผสมแล้วไว้ให้ เรามีหน้าที่ราดแป้งนั้นลงบนเครื่อง พลิก และสามารถเปิดเช็คได้ว่าสุกหรือยัง ตื่นเต้นไปหมด ทุกอย่างใหม่มากสำหรับเด็กแบบเรา เนย แยม นมสด รสชาตินัว ๆ เหมือนที่คาดหวังไว้ทำให้เรามีความสุขกับมื้อเช้าที่นี่มาก 

    พวกเราและพี่ ๆ ทั้ง 3 คนเดินมาลงทะเบียนและรับป้ายชื่อ จากนั้นนายจ้างคนดีคนเดิมที่บินมาสัมภาษณ์เราที่กรุงเทพเดินมาปรากฏตัวและได้กล่าวทักทายพวกเราอย่างเป็นมิตรเสมือนรู้จักกันมานาน นายจ้างชี้แจงกฎต่าง ๆ พร้อมกับคอนเฟิร์มตำแหน่งและโลเคชั่นที่พวกเราจะได้ไปทำงาน

    " Leedee, you will be a dishwasher at Lake McDonald. "
    " Joe, you too. "

    หลากหลายความรู้สึก ล้างจานที่อเมริกาจะเป็นยังไงวะ...
    ภาพร้านส้มตำคอหมูย่างเจ้าประจำแถวมหา'ลัยแว้บเข้ามาในหัว นี่กูต้องอยู่กับกะละมังแล้วก็นั่งยองล้างจานจริง ๆ หรอ ไม่น่ามั้ง คงมีซิงค์ล้างจานให้ยืนล้างสวย ๆ เหมือนที่บ้านล่ะมั้ง แต่ก็กลัวจะได้อุปกรณ์เป็นสายยางและกะละมัง เพราะเราเคยช่วยงานร้านอาหารไทยแถวบ้านมาก่อน หากว่างจากงานเสิร์ฟก็จะไปช่วยพี่หลังร้านล้างจาน กะละมังเป็นสิบใบกับจานชามถ้วยอีกราวร้อยใบกองอยู่หลังร้าน กลับบ้านมาทีไรมือเปื่อยทุกที

    อีกความรู้สึกนึงคือ เยส เลคแมค! ที่เดียวกับเพื่อนเราที่ไปมาปีที่แล้วเลย ค่อยโล่งใจหน่อยเพราะเพื่อนเคลมว่ากินหรูอยู่สบาย (สไตล์อุทยาน) ซึ่งโลเคชั่นนี้จะอยู่ใกล้เมืองที่สุดทำให้สะดวกในการเดินทาง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมีคนพาขับรถออกไปอยู่ดี เพราะว่า Lake McDonald และเมืองใหญ่อย่าง Kalispell ที่มี Walmart และ SSO center ห่างกันราว 1 ชั่วโมง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเดินไปเองหรือหารถสาธารณะไป นอกจากจะ hitch hike (โบกรถ) รถแถวนั้น ซึ่งนายจ้างแจ้งแล้วว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง

    หลังจากสับสนกับสถานการณ์ไปหนึ่งกรุบ เราและโจก็พบว่าต้องแยกกับพี่ ๆ ทั้ง 3 คนแล้ว เพราะพี่ ๆ โดน assign ให้ไปอยู่ที่ Many Glacier ซึ่งห่างกับเราประมาณ 2 ชั่วโมงได้

    " ไว้เจอกันนะคะพี่ "

    เราหอบกระเป๋าขึ้นรถคุณลุงคนเดิมพร้อมกับโจ อุทยานกับตัวเมืองที่ใกล้ที่สุดอย่าง Columbia Falls ก็ยังไกลในระยะที่ไม่สามารถเดินออกมาเองได้อยู่ดี ทำให้พวกเราต้องวางแผนการซื้อของกันใหม่เพราะรู้ว่าไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ออกมาในเมืองแต่ละที 


    เกือบชั่วโมง
    พวกเรามายืนอยู่ตรงหน้า Lake McDonald Lodge โรงแรมที่เราจะได้มาใช้ชีวิตอยู่ตลอด 3 เดือนนี้ บรรยากาศเหมือนที่พักร้อนโซนหิมะในเดอะซิมส์ภาควัยรักพักร้อนไม่มีผิด โรงแรมไม้ มีเตาผิงหิน ตกแต่งด้วยเขาสัตว์ เฟอร์นิเจอร์ยุคเก่า และแชนเดอเลียร์ขนาดใหญ่ ด้านหลังโรงแรมคือ Lake McDonald กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา 

    ก่อนจะได้สำรวจรอบ ๆ คุณลุงพาเราและโจเดินไปส่งที่ห้อง Location Manager

    บ๊อบ ผู้จัดการเลคแมคโดนัลด์ นั่งรอพวกเราอยู่ในห้องทำงาน 
    คุณลุงกลับไปแล้ว ทิ้งพวกเราไว้กับบ๊อบ โดยบ๊อบชี้แจงพวกเราว่าจะมีหอพักพนักงานอยู่ โจจะอยู่ตึกผู้ชาย เราจะอยู่ตึกผู้หญิง โดยพวกเรามาค่อนข้างช้าแล้ว คนอื่นมากันตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม ทำให้เราได้ห้องที่มีคนอยู่แล้ว รูมเมทเราเป็นสาวรัสเซียชื่อริน่า ส่วนรูมเมทโจเป็นหนุ่มโดมินิกันชื่ออลิสัน หลังจากบ๊อบมอบกุญแจให้พวกเราเรียบร้อย บ๊อบยกหูโทรศัพท์เรียกใครสักคนเข้ามาหาพวกเรา

    ไม่กี่นาที ชายหนุ่มผมหยักศกสีน้ำตาลดูเป็นมิตรเดินเข้ามาหาพวกเรา ยูนิฟอร์มของเขามีรอยแป้งทำให้พอเดาออกว่าคนนี้ทำงานในครัวแน่นอน บ๊อบแนะนำให้รู้จักกับเชฟสตีฟ Location Chef ของที่นี่ 

    อ้อ หัวหน้าเรานี่เอง

    เชฟพาเราไปแนะนำให้คนในครัวรู้จักก่อนจะเริ่มงานในวันพรุ่งนี้ ทางเข้าครัวอยู่ไม่ไกลจากล็อบบี้โรงแรม ซึ่งเราต้องมา clock in และ clock out ที่หน้าห้องบ๊อบก่อนเสมอเพื่อลงเวลาเข้า-ออกงาน เดินเข้ามาในครัว บรรยากาศไม่ได้ตึงเครียดเหมือนรายการทำอาหารที่เคยดูมาเท่าไรนัก มีเด็ก WAT หลายคนที่มาเริ่มงานก่อนเรากำลังทำงานอยู่ในครัวแล้ว หันไปสบตากับหนุ่มหน้าหวานคนนึง เอ... คนไทยบ่นิ ไม่กล้าทักใครเลยเพราะรู้ว่าเด็ก WAT จะมาจากหลายประเทศ มองเห็นเด็กผู้หญิงสองคนโบกมือให้เราไกล ๆ หน้าคุ้น ๆ เหมือนเคยเรียนโรงเรียนเดียวกันกับหนึ่งในนั้น แต่ก่อนจะนึกออก เชฟพาเราเดินไปเจอสิ่งหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในหัวแต่แรก

    เครื่องล้างจานขนาดใหญ่!

    เออ ทำไมไม่คิดถึงสิ่งนี้นะ กะละมัง ซิงค์อะไรเล่า โว้ย 
    ก่อนได้จะดูวิธีการทำงานของ Dishwasher ไปมากกว่านี้ เชฟก็พาเราออกมาจากครัวแล้วบอกว่าไว้เจอกันพรุ่งนี้ พร้อมพาไปดูตารางทำงานของสัปดาห์นี้ โจและเราได้เข้ากะ 14.00-22.00 น. ไปตลอดทั้งอาทิตย์ โดยพวกเราจะได้ทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์พร้อม 2 day-off แต่กว่าเรากับโจจะมาก็วันพฤหัสบดีแล้ว และเชฟจะอัปเดตตารางให้ทุกอาทิตย์ ทำให้เรายังไม่ทราบ day-off ของตัวเอง

    เดินกลับมาขนของไปที่ห้องพักแบบงง ๆ พร้อมนัดโจว่าเดี๋ยวอีกสักชั่วโมงเจอกันที่โรงอาหารพนักงานนะ (ที่นี่จะเรียกว่า EDR ย่อมาจาก Employee Dining Room) ที่พักเป็นอาคารไม้เก่า ๆ สองชั้น โดยชั้นสองกว่าครึ่งถูกจับจองโดยพี่สาวชาวโดมินิกันหมดแล้ว เราพักห้องตรงข้ามกับห้องน้ำ-ห้องอาบน้ำ ซึ่งนับว่าค่อนข้างสะดวกเหมือนกันเพราะเป็นห้องน้ำรวม เกิดลืมของหรือฉุกเฉินจริง ๆ ก็ถือว่าใกล้ห้องพักมาก ข้อเสียคือช่วงหัวค่ำจะเสียงดังมากเพราะทุกคนเข้ามาอาบน้ำแปรงฟันพร้อมกันหมด 

    เอาล่ะ จะไขกุญแจแล้วนะ

    ห้องพักเราแคบมาก มีเตียงสองชั้น ผ้าปู ผ้าห่ม หมอน ฮีตเตอร์ และตู้เสื้อผ้าคนละตู้ (ต้องพับเท่านั้น แขวนไม่ได้เลย) แต่ขนาดห้องก็ยังสามารถเปิดกระเป๋าใบยักษ์ได้อยู่ รูมเมทเราเก็บของไว้ที่ใต้เตียงอย่างเรียบร้อยทำให้เราจัดการกับข้าวของเครื่องใช้ของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว 

    ยังพอมีเวลาก่อนจะออกไปเจอโจ
    เราจัดแจงปูที่นอนและปีนขึ้นไปนอนเล่นบนเตียงชั้นสองของเรา (ใช่สิ คนมาทีหลังมันจะไปได้เตียงล่างได้ยังไง ฝันไปเถิด)

    หลับ (อีกแล้ว)

    This chapter is dedicated to Bob, our beloved location manager. We miss you so much. 
    We had a great time there. Rest in peace.
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in