เมื่อสองสามเดือนที่ผ่านมา เราไปสอบกับ TU-GET กับ CU-TEP มา
เพื่อใช้เป็นคะแนนยื่นของคณะที่จะเข้า เราลงสอบสัปดาห์ติดกันเลยเพราะมันไม่มีวันอื่นแล้ว จริงๆคณะที่เราจะเข้าของจุฬามันต้องสอบSpeakingด้วยแต่เราไม่ลงเพราะงก 555555 เพิ่มค่าสอบมาตั้ง2000แหน่ะถ้าลง กะจะรอสอบIELTSทีเดียวไปเลย อันนี้แค่อยากลองสนามเฉยๆ ก็มีเวลาเตรียมตัวประมาณ3สัปดาห์ เราทุ่มกับTU-GETมากกว่าเพราะมันยากกว่าเลยอ่าน2สัปดาห์ CU-TEPไม่ค่อยจริงจังก็สัปดาห์เดียวพอ
คะแนนที่ออกมาก็เท่านี้ค่า TU-GET ได้ 860/1000 CU-TEP ได้ 103/120
ความต่างของ CU-TEP กับ TU-GET คร่าวๆคือ
1. CU-TEP มีพาร์ทฟัง 30 ข้อ TU-GET ไม่มี
2. พาร์ท Error CU-TEP (ก็คือพาร์ทWritingนั่นแหละ)มี 30 ข้อ แต่ของ TU-GET มีประมาณ13ข้อเอง
3. TU-GET จะเน้นคำศัพท์ มีพาร์ทแยก25ข้อ แต่ของCU-TEP ไม่เน้นเท่าไหร่ จะมีปนๆในคำถามของพาร์ทการอ่านไม่เยอะ แต่ก็ต้องรู้ศัพท์เพื่อเข้าใจบทความอยู่ดี
4. พาร์ทReading TU-GET ยากกว่า ในความคิดของเรา
5.เวลาในการทำTU-GETเหลือเฟือกว่า (3ชั่วโมง100ข้อ) CU-TEP เวลาค่อนข้างกระชั้น
ขอพูดถึงในส่วนของ TU-GET ก่อนเลย
หนังสือที่เราใช้คือ เล่มออฟฟิเชียลเลย
ข้างในมีแบบฝึกหัดเล่มละ6ชุด รวม2เล่มก็12ชุด เราว่าทำแค่สองเล่มนี้ก็เพียงพอ ทำวันละชุดจับเวลา3ชั่วโมง ตรวจเฉลยแล้วดูว่าผิดที่จุดไหนเยอะพอทำไปหลายชุดมันจะเริ่มจับทางได้ว่าข้อสอบชอบเอาแกรมม่าเรื่องไหนมาออก
ข้อแนะนำในแต่ละพาร์ท
- Structure : ประกอบไปด้วย Error ก้บ Sentence Completion อย่างละครึ่งแกรมม่าออกครอบจักรวาลมาก เรื่องท่ี่เราว่าสำคัญคือพวก transition, relative clause, infinitive, noun clause แล้วก็พวกที่ถามว่า verb นี้ต้องตามด้วย infinitive หรือ v.ing เช่น suggest ต้องตามด้วย v.ing
- Vocabulary : ประกอบด้วยพาร์ท Cloze Test กับ Synonyms ก็คือศัพท์ล้วนๆ ค่อนข้างยากด้วย แต่ก็มีบางข้อในพาร์ทsynonymsที่มันเดาความหมายได้จากบริบทในประโยค ไม่จำเป็นต้องรู้ความหมายมาก่อน ถ้าใครไม่ถนัดพาร์ทนี้ก็ควรท่องศัพท์เยอะๆ แล้วก็ต้องรู้วิธีใช้ศัพท์ในcontextที่ถูกต้องด้วย
- Reading : มี 6 แพสเสจ ตัวเลือกส่วนใหญ่จะparaphraseหรือใช้synonym ไม่ใช้คำเดียวกับแพสเสจ
บางคำถามก็ไม่ถามตรงๆ ต้องตีความไปอีกขั้น ถามละเอียดด้วย
ส่วน CU-TEP หนังสือที่เราใช้คือ ของออฟฟิเชียลเช่นกัน
ในเล่มมีแบบฝึกหัด4ชุดพร้อมCD ท่ี่จริงมันมีสองเล่ม เล่มแรกเราไม่เคยทำ แต่ได้ยินมาว่า Listeningของเล่มแรก มันง่ายกว่าเล่มสอง ฉะนั้นถ้าใครมีเวลาเตรียมตัวไม่เยอะ ก็ควรทำเล่มสองมากกว่าเล่มแรก
ข้อแนะนำในแต่ละพาร์ท
- Listening : ควรอ่านพวกสำนวนที่ใช้ในบทสนทนามาด้วย ในเล่ม Practice II มีสรุปสำนวนอยู่ ตอนวันสอบต้องห้ามสติหลุดเลยเพราะเทปเปิดรอบเดียว
- Reading : มี 6 บทความ บทความแรกเป็น Cloze อันที่สองเป็นบทความสั้นๆ ส่วนบทความที่3-6เป็นรีดดิ้งยาวๆ ต้องฝึกทำเยอะๆ ฝึกจับเวลาจริงจัง ต้องเผื่อเวลาฝนอีก ควรแบ่งเวลาให้ดีว่าแต่ละแพสเสจควรทำกี่นาที เช่น แพสเสจที่สองถามสั้นๆ 5ข้อ ก็ใช้เวลาแค่5-7นาทีพอ แล้วแบ่งไปทำแพสเสจที่ยาก
- Writing : เป็นพาร์ทที่รู้สึกว่าไม่ค่อยตรงกับในหนังสือ รอบจริงยากกว่า เพื่อนเราที่สอบรอบอื่นก็บ่นเหมือนกันว่าerrorยาก ทำเกือบไม่ทัน คิดว่าเขาคงปรับให้มันยากขึ้น แต่ยังไงเราก็คิดว่าพาร์ทนี้เก็บคะแนนได้ง่ายกว่าพาร์ทอื่น ลองหาเล่มอื่นมาทำเพิ่มก็ได้ เช่น เล่มเขียวerror
สำหรับใครที่ไม่มีหนังสือแบบฝึกหัดทำแล้ว ก็แนะนำให้ไปลองของสำน้กพิมพ์ TGRE นะคะ ของสำนักพิมพ์นี้เห็นคนทำกันเยอะ มีหลายเล่มด้วย ใครอยากเพิ่มคะแนนพาร์ทไหนเป็นพิเศษ ก็ซื้อเล่มแยกเรื่องมาทำเพิ่มเลย
เราว่าการสอบพวกนี้เหมาะกับคนที่อยากลองสนามก่อนสอบGATด้วย เพราะข้อสอบมันยากกว่า GAT ถัาได้ลองข้อสอบพวกนี้น่าจะช่วยจับจุดตัวเองได้ด้วยว่าเราไม่ถนัดพาร์ทไหน ค่าสมัครก็ไม่แพงมาก TU-GET 500 บาท CU-TEP 900 บาท ผลสอบก็ออกรวดเร็วทันใจ ของรอบเรา TU-GET สอบวันอาทิตย์ วันอังคารผลสอบออกแล้ว เร็วมาก 55555 ส่วนของCU-TEP ในเว็บบอกว่าออกภายใน14วัน แต่จริงๆประมาณ10วันก็ออกแล้ว
หวังว่าบทความนี้จะช่วยหลายๆคนได้ไม่มากก็น้อยนะคะ ถึงไม่แน่ใจว่าจะมีใครมาเห็นบทความนี้มั้ยก็ตาม (จริงๆก็คิดว่าเราควรลงในdek-d แต่เราอยากลงเก็บรวมไว้ในminimoreมากกว่า) ก็ขอให้ทุกคนได้คะแนนเท่าที่หวังไว้กันถ้วนหน้าค่า
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in