26 November 2020
การขึ้นเครื่องบินรอบนี้ไม่สนุกเลย
จริงๆ แล้วการขึ้นเครื่องบินเพื่อกลับไปเมืองทะเลทรายรอบไหนก็ไม่สนุกทั้งนั้นแหละ ยกเว้นรอบแรกที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ เพราะตอนนั้นเรายังเต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นกับการเดินทางเพื่อเข้าสู่เส้นทางชีวิตใหม่
จะว่าไปแล้ว เผลอแปบเดียวก็ครบรอบห้าปีที่ย้ายมาอยู่ที่นี่แล้วนะ เหมือนเรื่องราวดังกล่าวเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง เวลามันหมุนเวียนเปลี่ยนผันและวิ่งผ่านเราไปเร็วพอสมควรเลยเนอะ
และพอมานึกถึงเหตุการณ์วันนั้นในตอนนี้ ขณะที่นั่งจ่อมจ๋อยอุดอู้อยู่บนที่นั่งภายในเครื่องบิน (แถมโดนคุณลุงข้างๆ ขโมยที่วางแขนไปอีก) พร้อมๆ กับพยายามสะกดใจตัวเองไม่ให้รู้สึกเศร้า ซึ่งก็ทำได้ยากยิ่งเพราะอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโหวงๆ เคว้งในใจอย่างไรก็บอกไม่ถูก
เราพูด (จริงๆ คือเขียน) ไว้หลายครั้งในหลายวาระโอกาสแล้วว่าการย้ายมาอยู่ที่นี่ต้องอาศัยความใจกล้าประมาณหนึ่งเลยนะ กับการตัดสินใจลากกระเป๋าเดินทาง ย้ายมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ รวมถึงผ่านซีนอารมณ์กับฉากบอกลาซ้ำๆ ที่ไม่ว่าจะผ่านมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งกี่หนก็ยังไม่อาจทำใจให้ชินได้เลย
หากนี่เป็นการเขียนบันทึกถึงการเดินทางกลับไปเมืองทะเลทรายอย่างครั้งก่อนๆ
แน่นอนว่าเนื้อหาจะเต็มไปด้วยความหม่นหมอง การจากลา และหยาดน้ำตาที่สนามบิน แต่การกลับไปเมืองทะเลทรายในครั้งนี้ของเรานั้นแตกต่างออกไปจากเดิมเล็กน้อยก็ตรงที่ว่า การกลับมาบ้านในครั้งนี้มันไม่ใช่การกลับมาพักผ่อนและเที่ยวเล่นเหมือนอย่างเคย แต่เป็นการกลับมาเพื่อหาคำตอบให้แก่คำถามที่ค้างคาใจเกี่ยวกับอนาคตของตัวเองในหลายๆ เรื่อง
กล่าวคือ ตั้งแต่ก่อนที่เราจะเริ่มทำอาชีพนี้ เราคิดอยู่เสมอว่าอาชีพนี้เป็นงานที่เราไม่สามารถทำไปได้ตลอดชีวิต วันใดที่ร่างกายถดถอยโรยรา แรงกำลังมันไม่มีเท่าเดิมแล้วก็ต้องเลิกทำ ฉะนั้นเราควรหาลู่ทางในการเบนเข็มไปทำมาหาเลี้ยงชีพอย่างอื่นต่อไป
แต่ด้วยความที่งานนี้ ถ้าจะให้พูดกันตรง ๆ คือในแต่ละเดือน เราทำงานได้เงินในจำนวนที่มากและรวดเร็ว ทำให้หลงลืมการวางแผนชีวิตไปบ้าง ใช้ชีวิตตามใจตัวเองมากจนเกินไปหลายต่อหลายครั้ง และคิดชะล่าใจว่าเมื่อสิ้นเดือน ไม่ว่าเราจะใช้เงินไปมากเท่าไร อย่างไรเสียก็ได้เงินจำนวนที่เท่ากันกลับมาอยู่ดีโดยลืมนึกไปว่าวันเวลาที่กำลังกายและกำลังใจเริ่มลดน้อยถอยลงมันค่อยๆ วิ่งไล่หลังมาเป็นเงาตามตัว
และมันก็วิ่งมาทันเราพอดิบพอดีในปีนี้
ปีที่เราหยุดวิ่งและต้องอยู่เฉยๆ
ทุกๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดปีนี้ เป็นจุดพลิกผันสำคัญที่ทำให้กลับมาฉุกคิดถึงอนาคตของตัวเองมากขึ้น และในบางครั้งก็มาเกินไปจนนึกท้อใจ เพราะเรามองไม่เห็นทางจริงๆ ว่าตัวเองจะไปหยิบจับทำงานอะไรได้ต่อ ด้วยเหตุว่าอายุของเราก็เพิ่มมากขึ้นทุกวันแถมประสบการณ์การทำงานก็ใช่ว่าจะมีมาก ครั้นจะให้ไปทำงานออฟฟิศก็รู้สึกว่าจะไม่ใช่สิ่งที่เราอยากทำ และหากจะหางานตรงสายกับที่ทำมาก็ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร เนื่องจากการท่องเที่ยวและงานบริการก็หยุดชะงักกันไปหมดเกือบทุกภาคส่วน
ในช่วงที่อยู่ในเมืองทะเลทราย
เราใช้เวลาในแต่ละวันหมดไปกับการเขียนนู่น ทำนี่ และเรียนคอร์สออนไลน์ต่างๆ ซึ่งเหตุที่ทำไปก็ไม่ใช่เพราะอยากเพิ่มพูนความรู้ พัฒนาสกิล หรือเพราะไม่อยากให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์เหมือนอย่างที่เราพยายามบอกตัวเองหรือแสดงให้คนอื่นเห็นทั้งทางตรงและทางอ้อมผ่านโซเชียลมีเดีย แต่จริงๆ แล้วเป็นเพราะเรากลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นอนาคต
เราคิดว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ไม่มีความสามารถเพียงพอ และสร้างความภาคภูมิใจปลอมๆ ด้วยการเขียนนู่นโพสต์นี้ว่าตัวเองนั้นช่างสุดแสนจะเป็นคน productive เพื่อเป็นเกราะในการป้องกันตัวเองและปลอบประโลมใจว่าอย่างน้อยๆ เราได้ลงมือทำอะไรบางอย่างที่เห็นว่าเกิดประโยชน์ต่อตนเองและสร้างความเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงานหรือชีวิตโดยรวมขึ้นมาบ้าง ซึ่งการกระทำที่สุดแสนจะดันทุรังดังกล่างนี้รั้งแต่จะทำให้สุขภาพใจของเราแย่ลง
ความยอมรับนับถือในตัวเองของเราลดลงอย่างน่าใจหาย กลายเป็นคนที่ไม่มั่นใจในผลงานของตัวเอง ไม่คิดว่ามันดีพอ เจ๋งพอ จนกว่าจะได้รับคำชมจากคนอื่นๆถึงจะหายแคลงใจ แต่ก็ยังมิวายคิดว่าเขาชมตามมรรยาท ซึ่งความคิดดังกล่าวเหล่านี้ทำให้ตัวตนของเราหดเล็กลงกว่าเดิมมาก หลักๆ เลยก็มาจากแรงกดดันที่เราเป็นคนสร้างขึ้นมาเองนี่แหละ
เราแบกเอาก้อนแห่งความไม่สบายใจดังกล่าวใส่กระเป๋ากลับมาด้วย
และใช้เวลาตลอดหนึ่งเดือนครึ่งไปกับการค่อยๆ กระเทาะก้อนที่กัดกินใจนั้นออกโดยการไปทดลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่เราสนใจ ซึ่งทำให้พบว่าตัวเราเองสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คิด ทั้งเรื่องเซิร์ฟ เรียนสีน้ำ เข้าเวิร์คชอปทำน้ำหอม ทดลองเรียนปั้นเซรามิก และไปเรียนฟรีไดฟ์ โดยเฉพาะเรื่องหลังนี้ที่เราภูมิใจมากๆ ว่าเราสามารถใช้ความพยายามและแรงใจพาตัวเองก้าวข้ามขีดจำกัดของร่างกายได้ในที่สุด
ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานี้ทำให้เราค้นพบความสนใจใหม่ๆ จนคิดอยากเรียนรู้เพิ่มเติมให้ลึกซึ้งและพัฒนาต่อยอดไปเรื่อยๆ ให้ได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นผลดีเพราะช่วยทำให้แรงกดดันที่เรากดตัวเองไว้ค่อยๆ ผ่อนลงอย่างช้าๆ และสิ่งที่ได้กลับมาคืดเป้าหมายในใจที่เป็นแรงผลักดันทำให้เราอยากก้าวเดินไปข้างหน้า เหมือนมีดวงดาวนำทางที่คอยเตือนใจให้คิดได้ว่าเพราะอะไรเราถึงต้องกลับไปเมืองทะเลทราย
เพราะเรามีหน้าที่ มีความรับผิดชอบ
มีสิ่งที่ต้องสานต่อให้สำเร็จลุล่วงเพื่อที่จะก้าวต่อไปสู่สิ่งใหม่ที่เราใฝ่ฝันคิดอยากจะลองทำ
และนี่คือคำตอบว่าเราจะทำอะไรต่อไปในอนาคต อาจดูเหมือนตอบแบบกำปั้นทุบดินว่าก็จงทำในสิ่งที่คิด สิ่งที่อยากทำต่อไปนั่นแหละ และจากนี้ต่อไป ทุกๆ วันคือการเรียนรู้ คือการเติบโต คือการมีชีวิตอยู่เพื่อเป้าหมายที่ใฝ่ฝันไว้ในวันข้างหน้า
ถามว่าเรายังคงกลัวอนาคตอยู่หรือเปล่า ลึกๆ แล้วเรากลัวนะ กลัวว่าสิ่งที่เราวาดฝันและตั้งใจลงมือทำอยู่ในขณะนี้จะไม่สำเร็จอย่างที่หวังไว้ แต่เราก็เชื่อในความพยายามของตัวเองว่าหากเราเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงโดยไม่ย่อท้อ และใจกล้าให้เท่ากับหรือมากกว่าวันแรกที่ตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่เมืองทะเลทราย สิ่งที่เราคิดฝันไว้จะต้องสำเร็จเป็นจริงได้อย่างแน่นอน
นับจากวันนี้ เราจะพบเจอกับเรื่องที่ไม่ชอบ ไม่พอใจ หรือเจอกับเหตุการณ์ที่ชวนท้อแท้ หมดแรง หมดกำลังอีกมาก ก็อยากให้ตัวเราเองในวันหนึ่งที่อาจย้อนกลับมาอ่านข้อความนี้ ให้พึงระลึกไว้เสมอว่าทางเดียวที่จะผ่านเวลาอันชวนหงุดหงิดน่ารำคาญใจเหล่านี้ไปได้ คือ กลั้นใจแล้วเดินหน้าชนมันไป เพราะไม่ว่าเราจะพยายามหลบเลี่ยงมันแค่ไหน สุดท้ายวันหนึ่งเราก็ต้องวนกลับมาสะสางมันอยู่ดี สู้ลงมือทำมันให้จบไปตั้งแต่วันนี้ดีกว่า
ก็เหมือนกับการขึ้นเครื่องบินในวันนี้นี่แหละ หากไม่กลับเมืองทะเลทรายในวันนี้ วันหน้าก็ต้องกลับมาอยู่ดี และแม้ว่าจะเลื่อนตั๋วไปเป็นเดือนหน้า ก็ไม่ได้ช่วยทำให้ความรู้สึกเศร้าลึกๆ ในใจที่มีอยู่ในขณะนี้ลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด
ขอให้มีจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง
ความเมตตาต่อตนเอง
และเชื่อมั่นในทางที่เลือกเดินเสมอ
ด้วยรัก...จากตัวฉัน
ในวันที่ค้นพบความฝันเรื่องใหม่
และกลับมามีประกายสดใสในแววตาอีกครั้ง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in