การผสมผสานระหว่าง "ภาพความจริง" กับ "ภาพความฝัน"
จะเห็นได้ว่าองค์ประกอบภาพของ MV เพลงนี้ ไม่ได้โดดเด่นเหมือนกับ Wannabe หรือ Without You ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความสมมาตร เส้นนำสายตา และกฎ 3 ส่วน อาจจะมีบ้างในบางฉาก แต่ภาพรวมแล้วดูจะเน้นเรื่อง Camera Work เป็นหลัก สัดส่วนมีความโย้ไปเย้มา เคลื่อนไหวและเชื่อมต่อกันอยู่ตลอดเวลา ทำให้บางคนที่ดู MV เพลงนี้ครั้งแรกรู้ว่าดูแล้วเวียนหัว หรือสายตาจับอะไรได้ลำบาก นั่นไม่ใช่ความผิด แต่นั่นเป็นหนึ่งในผลพวงจากการใช้ Camera Work เพื่อเล่าเรื่อง
ด้วยความที่ครั้งนี้ ได้ออกไปถ่ายด้านนอก เป็นการเซตฉากจากสิ่งที่เป็น "ของจริง" ผสมผสานกับพร็อพและ CG ทำให้ภาพรวมของ MV ดูก่ำกึ่ง ผสมผสานระหว่างความเป็นจริงและสิ่งที่ปรุงแต่ง นั่นเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับการทำบรรยากาศออกมาให้เหมือน "ความฝัน"
เรายังคงตีความ MV นี้จากแนวคิด "Inception" ต้องบอกอีกครั้งว่า การตีความ MV ทั้งหมด เป็นการตีความจากข้อมูลและประสบการณ์ของเรากับน้องบลู @bluelvdr เท่านั้นนะคะ เราขอเล่าย้อนความก่อนว่าแนวคิด "Inception" เป็นเรื่องเกี่ยวกับการฝันซ้อนฝัน และปลูกฝังความคิดลงในจิตสำนึกของคนนั้น ๆ แต่ในที่นี่เราจะหยิบมาเพียงแค่แนวคิดของความฝันเท่านั้น
หากใครสนใจแนวคิดนี้ เราเองก็มีภาพยนตร์ 2 เรื่องเกี่ยวกับความฝันที่ชอบมาแนะนำค่ะ เรื่องแรก ก็คือ "Inception (2010)" และ "Paprika (2006)" นั่นเอง
ผีเสื้อ...กับการเกิดใหม่
ในความเชื่อกรีกโบราณ เชื่อว่าผีเสื้อ หมายถึง จิตวิญญาณ ในบางความเชื่อกล่าวว่าผีเสื้อเป็นเหมือนตัวแทนการเดินทางของจิตวิญญาณ และการเกิดใหม่
การเกิดใหม่ในที่นี้หมายความว่าอะไร?
ในฉากที่ผีเสื้อร่วงหล่นจากต้นไม้เขากวางต้นนั้น เราจะเห็นได้ว่า การเกิดใหม่ของผีเสื้อ ไม่ได้เปลี่ยนรูปร่างเป็นผีเสื้อตัวใหม่ มันแค่เปลี่ยนสี จากปีกแห้งกรัง มีสีฟ้าสดใส และมีชีวิตชีวา อาจพูดได้ว่า "มันเกิดใหม่จากตัวมันเอง"
อีกหนึ่งกิมมิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ซ่อนอยู่ใน MV นี้ คือ มีผีเสื้ออยู่ 10 ตัว เป็นตัวแทนจิตวิญญาณของ Golden Child ทั้ง 10 คน ในความคิดของเราฉากนี้เป็นฉากความฝันที่เหนือจริง และเต็มไปด้วยจิตวิญญาณอันแรงกล้า ทุกอย่างในภาพล้วนแต่มีความหมาย และฉากนี้จะต้องเป็นโบมินเท่านั้น
ขอย้อนกลับไปที่ตอนจบของ MV เพลง Without You ก่อนนะคะ ในตอนที่โบมินเดินขึ้นไปที่จุดสูงสุดของบันได แล้วมองลงมา นั่นอาจตีความได้ว่าโบมินเป็นคนเดียวที่ถูกเติมเต็มจิตวิญญาณ และกำลังจะได้เกิดใหม่อีกครั้งในไม่ช้า (ในเพลง One) ซึ่งผีเสื้อสีน้ำเงินตัวแรกที่เราเห็น อาจจะเป็นจิตวิญญาณที่ถูกปลดปล่อยแล้วตนแรก
อย่างที่บอกว่าฉากนี้เต็มไปด้วยจิตวิญญาณอันแรงกล้า เพราะนอกจากผีเสื้อจะสื่อถึงจิตวิญญาณ แล้ว กวางเองก็เช่นกัน กวางเป็นตัวแทนของชนชั้นสูง จิตวิญญาณ และความงดงามที่ธรรมชาติสรรค์สร้าง ทุกอย่างในฉากนี้หลอหลอมความเกินจริงได้ออกมาอย่างมีชั้นเชิง
การสะท้อนที่ซ่อนสายตาเราไว้
ในไตรภาคนี้ จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาเราพูดถึงกระจกและกฎการสะท้อนทุกครั้ง ในงานตัดต่อเราจะมีเอฟเฟกต์ที่เรียกว่า Flip horizontal, Flip vertical มันคือการกลับภาพ ที่ทำให้ภาพกลับจากเดิม บนเป็นล่าง ซ้ายเป็นขวา เหมือนกันกระจกที่ส่อง
แต่สำหรับฉากนี้ ไม่ใช่การกลับภาพ เป็นภาพการหมุนภาพลงมาเท่านั้น เอาฉากนี้มาให้ดูกันเพราะ CG สวยมาก ๆ อีกฉากหนึ่งเลย เป็นการผสมผสานระหว่าง "ทะเล" กับ "ชั้นบรรยากาศ" ถ้าดูจากสีน้ำทะเลที่ออกเป็นสีฟ้าแล้ว เทียบเคียงได้ใกล้ที่สุดก็คงจะเป็น "บริเวณชายหาด" เพราะในระดับความลึกที่ลึกลงไปอีก จะเน้นการใช้สีเข้ม พวกสีน้ำเงิน สีคราม ไปจนถึงสีดำ แต่...ตรงที่มันควรจะเข้ม ดันกลายเป็นสีขาวซะได้ พื้นผิวที่เราเห็น คือการกระจุกวนและรวมตัวกันอยู่ที่เดียว เป็นลักษณะของชั้นบรรยากาศที่เห็นได้จากในภาพถ่ายจากนอกโลกค่ะ
넌 내 우주를 뒤집어
คุณกลับหัวกลับหาง เปลี่ยนจักรวาลของผม
ในฉากนี้เองก็เช่นกัน ยังคงใช้การ Flip vertical แต่เป็นทำงานในส่วนของ Production ไม่ใช่ส่วนของ Post-Production ในเรื่องของการตัดต่อในฉากก่อนหน้านี้
แล้วทำไมต้นไม้ต้องกลับหัว? อย่างที่บอกไว้ก่อนหน้านี้ว่านี่คือ "จิตปรุงแต่ง" พวกเขาอาจมองเห็นสิ่งเดียวกับก็จริง แต่พวกเขามองคนละมุมมองกัน ผีเสื้อเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงจิตวิญญาณทุกคนเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว
นอกจากนี้เรายังเห็นการสะท้อน ปรากฏอยู่ใน MV อีกครั้ง โดยเปลี่ยนจากการสะท้อนทั้งหมด มาสะท้อนที่ตัว Object เอง ซึ่งกระบวนการทั้งหมดอยู่ในขั้นตัดต่อ (Post-Production) ที่ทำให้ภาพสะท้อนมีรูปร่างคล้ายคลึงกับผีเสื้อ
ปิดท้ายด้วยการสะท้อน ที่มาจาก "กระจก" จริง ๆ มีแนวคิดที่เคยได้ยินว่า "กระจกสะท้อนความจริง" และใช้มัน "สะท้อนตัวตนของเรา" ในฉากนี้เราจะเห็นจีบอม ในระยะที่แตกต่างกันจากภาพสะท้อนกระจก แน่นอนว่าทั้งหมดนั่นคือ "คิมจีบอม" ตัวจริงทั้งหมด แต่ฉากที่แปลกออกไป จากกระจกทั้ง 5 บานนั้น ทำให้เราคิดว่า หรือนี่คือการสะท้อนฉากความฝันและฉากความจริง อาจมีฉากของความจริงเพียง 1 บาน คือฉากที่มีเมฆตั้งเค้า นั่นคือความจริงที่ต้องตื่นขึ้นไปเผชิญ
การต่อสู้กับตัวเองที่แสนยาวนานได้จบลงแล้ว
ฉากการต่อสู้กับตัวเองโผล่ออกมาให้เราเห็นหลายต่อหลายฉาก ยอมรับเลยว่าฉากเหล่านี้ในเพลง One (Lucid Dream) เป็นฉากที่ทำให้เราหลอนแล้วหลอนอีก ทั้งการใส่เอฟเฟกต์ในการตัดต่อ การใช้สี และการแสดงของตัวละคร
การ "สู้กับตัวเองอีกคน" เพื่อเอาชนะจิตสำนึกของการอยากได้ อยากเป็น อยากเพอร์เฟคแบบที่คนอื่นเป็น เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกับตัวเราเองเหมือนกัน คล้ายคลึงกับ Demon inside me ด้านมืดของการอยากมีตัวตนที่ได้รับการยอมรับเหมือนคนอื่น หลงลืมตัวตนของตัวเองทิ้งไว้สักที่ในระหว่างทางที่ตะเกียดตะกายขึ้นไปยังจุดสูงสุดของการมีชีวิต เพราะประสบการณ์เหล่านั้นทำให้เรามองภาพใน MV นี้เชื่อมโยงกับชุดข้อมูลในแบบของเราเอง
ทุกอย่างกลายเป็นความสับสน เมื่อเราค่อย ๆ สูญเสียตัวตนที่สร้างขึ้นมา
มนุษย์ 1 คน ย่อมไม่ได้ต้องการตัวตนเพียงตัวตนเดียว จิตสำนึกเราถูกขับเคลื่อนด้วยการอยากเป็นแบบคนนั้น เป็นแบบคนนี้ จนกว่าจะรู้ตัวเราก็ไม่รู้ว่าเราสร้างตัวตนเหล่านั้นขึ้นมากดทับ "ตัวตนจริง ๆ" ของเราไปเท่าไหร่แล้ว
จากฉากนี้ของจางจุน เราจะเห็นได้ว่าเขากำลัง "ฝันซ้อนฝัน" ตื่นขึ้นมาจากความฝันสู่ความฝันอีกครั้ง หันมองตัวตนอื่นที่สร้างขึ้นมาของตัวเองที่ค่อย ๆ หายไป จนสุดท้ายแล้วเกิดเป็นความสับสนอยู่ในความฝันของตัวเองอีกครั้ง และระบายมันออกด้วย "อารมณ์"
เส้นทางของการ "ค้นหาตัวตน" ยังคงดำเนินต่อไป จนกระทั่งวันที่เรา "ค้นพบตัวตนที่แท้จริง" เราตีความฉากนี้ของซองยูนออกมาในรูปแบบของการ "ไม่ยอมรับความจริง" เราไม่มีทางรู้ว่าซองยูนหนีอะไร เขาอาจจะกำลังหนีความจริง หนีสิ่งที่ตัวเองกลัวที่สุด หรือหนีสิ่งที่ตัวเองเคยทิ้งไปอย่างตัวตนที่แท้จริง
สุดท้ายแล้วมันคงยังทำให้เขาสับสนในตัวตนของตัวเอง และเมื่อการยอมรับความจริงเกิดขึ้น ความฝันนั้นค่อย ๆ สลายลงไป เขาได้รับการเกิดใหม่อย่างงดงามอีกครั้ง
ยอมรับความจริง และปล่อยวางทุกอย่างไว้
"แมงกระพรุน" เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของ ความทรงจำที่เจ็บปวด การสูญเสียตัวตน การถูกห้อมล้อมด้วยแมงกระพรุนเหล่านี้ นับไม่ถ้วนเลยว่าเราเองต้องมีความทรงจำที่เจ็บปวดเหล่านั้นมากมายเท่าไหร่กันนะ
"ไม่มีใครทำร้ายตัวเราไปได้มากกว่าตัวเราเอง" ความเจ็บปวดที่ผ่านมา มันอาจเป็นเพราะความทะเยอทะยาน การไขว่คว้าหาสิ่งที่ต้องการเหมือนคนอื่น ทุกอย่างที่เราทำลงไป เป็นเพราะมือคู่นี้เท่านั้น หากลงวางมันลงสักนิด ปล่อยกายปล่อยจิตใจให้ได้พักสักครู่หนึ่ง จะค้นพบว่า ความเจ็บปวดเรานั้นเราเป็นคนแบกรับมันไว้เองทั้งสิ้น
ย้อนมองตัวตน ผ่านตัวเราเอง
อย่างที่เราเคยกาวไว้ในพาร์ทของ Without You ว่าฉากมีโครงสร้างที่สามารถเชื่อมโยงกับ Pantheon การทำช่องวงกลมที่เพดานดาดฟ้าเรียกว่า Oculus แปลว่าดวงตา ซึ่งมีความเชื่อว่าเป็นช่องที่พระเจ้าสามารถมองลงมาได้
จริง ๆ แนวคิดนี้อาจไม่มีความเชื่อมโยงใด ๆ กับเส้นเรื่องนี้เลยก็ได้ แต่แนวคิดการใช้ Oculus ผ่านมือของบงแจ ทำให้เราอดคิดถึงเรื่องนี้ไม่ได้เลย มนุษย์ทุกคนเป็นพระเจ้าของตัวเองเสมอ เราควบคุมชีวิตเรา สั่งการ และเลือกที่จะเป็นผ่านจิตวิญญาณของเราเอง การค้นหาตัวตนจึงไม่ใช่เรื่องยาก หากเราลองเลิกโฟกัสที่คนอื่น และหันกลับมามองตัวเองผ่านตัวเองอีกครั้ง
เราเกิดใหม่อีกครั้ง...จากตัวเราเอง
ดอกกุหลาบ หนึ่งใน Easter Egg ที่ทิ้งไว้ให้เราใน MV Without You ดอกไม้ปลอมที่สร้างขึ้นมา ไม่ว่าจะหล่อเลี้ยงมันด้วยน้ำ หรืออากาศ มันก็ไม่มีวันงอกขึ้นมาใหม่ แต่ดอกกุหลาบ ที่เกิดจากเลือดเนื้อของเรา มันยังคงงดงามเสมอ บนความเจ็บปวดที่เราแบกรับไว้
เราชื่นชมผลงานจากความเจ็บปวด ฝังกลบตัวตนที่ปวดร้าวนั้นลงไปให้ลึกที่สุดกว่าที่จิตวิญญาณจะควานหาเจอ จนกว่าเมื่อเราจะรู้ตัวว่าผลงานจากความเจ็บปวดนั้นกัดกินตัวเราไปเท่าไหร่ก้เกือบจะสายไป เราเกือบสูญเสียตัวตนไปตลอดกาล อย่างไม่มีวันตื่นขึ้นมา
เราโดดเดี่ยว เคว้งคว้าง และหลงทาง
"วาฬ" ถูกตีความถึง "ความโดดเดี่ยว" จากนวนิยาย The astronaut’s whale ที่ว่าด้วยเรื่องของนักบินอวกาศ กับวาฬที่ต้องการขึ้นไปอยู่บนอวกาศแทนที่จะอยู่ในท้องทะเลที่มันควรจะอยู่ มันโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางดวงดาวนับร้อย ไม่มีความสุข และต้องการที่จะ "กลับบ้าน" ที่มันจากมา เพราะในจักรวาลนี้ ไม่มีที่ไหนที่จะเหมาะกับวาฬไปได้มากกว่าท้องทะเลอีกแล้ว
และสักวัน ตัวเราเองก็จะค้นพบสถานที่นั้นเช่นกัน ที่ที่เหมาะกับตัวตนของเรา ที่ที่ไม่ต้องแสดงเป็นคนอื่น ที่ที่เป็นของเราเอง
ปลุกขึ้นจากความฝัน กลับมาเผชิญหน้ากับความจริง
แนวคิด Inception เกี่ยวกับความฝัน ใช้วิธีการทำให้ "รู้สึกตกจากที่สูง" เพื่อทำให้ตื่น ในสถานการณ์ที่เกิดการฝันซ้อนฝันลงไปหลายชั้น แนวคิดนี้ผนวกกับการเล่นภาพการตกลงมาใน MV Without You หลายครั้ง ทำให้เราเห็นภาพนี้ใน MV One (Lucid Dream) ไปในความคิดเดียวกัน คือการที่โบมินกำลัง "ถูกปลุกให้ตื่น"
และด้วยความที่เราไม่ได้เนิร์ดด้านวิทย์ ทำให้เรายังแกะไม่ออกว่า ฉากนี้ต้องการบอกอะไรเรา นอกจาก CG ที่ตาแตกแล้ว มันคือปรากฏการณ์อะไรสักอย่าง ที่ส่งผลถึงบางอย่างมั้ย จริง ๆ เป็นฉากที่เราชอบมากที่สุดใน MV นี้เลย แต่ด้วยความโง่วิทย์จริง ๆ เลยไม่เข้าใจแม้จะลองไปหาข้อมูลมาบ้างแล้ว ถ้าใครมีไอเดียสำหรับฉากนี้ เรามาคุยกันได้นะคะ อยากให้ไอเดียจากหลาย ๆ คนเลย เผื่อจะเข้าใจอะไร ๆ มากขึ้น
แต่เราเชื่อมโยงดวงดาวเหล่านี้เข้ากับ 완벽한 바다에 추락하는 별 (ดวงดาวร่วงหล่นลงบนทะเลที่สมบูรณ์แบบ) ถ้าหากโบมินเองก็เป็นหนึ่งในดวงดาวพวกนั้น ตกลงสู่ท้องทะเล ที่ใช้แทนภาพชั้นบรรยากาศของโลก นั่นจะกลายเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมฉากเหล่านี้ถึงมีท้องฟ้าที่เป็นทะเล
Magic Word "RED SUN"
Red Sun เป็นเมจิคเวิร์ดสำหรับการ "สะกดจิต" โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำให้หลับ เพื่อนำไปสู่ความฝันที่จะก่อตัวขึ้นอีกครั้ง
อะไรคือสิ่งที่ทำสำเร็จแล้ว หลังจากลืมตาตื่นขึ้นมา
เป็นอีกหนึ่งความหมายที่ถูกซ่อนอยู่ในเนื้อเพลง ต้องมี "อะไรสักอย่าง" ที่ผูกติด จิตวิญญาณกับตัวเรเข้าไว้ด้วยกัน เราผ่านการยอมรับความจริงในตัวตนที่เราสูญเสียมันไปแล้ว จิตวิญญาณพร้อมที่จะเกิดใหม่อีกครั้งเมื่อเราตื่นขึ้น
ฉากในฝันคือสิ่งที่เจ้าของความฝันเป็นผู้สร้าง
ความฝันเป็นสิ่งที่เป็นของใครของมัน แม้ในแนวคิด "Inception" จะมีการแทกแซงความฝันของผู้อื่นก็ตาม แต่อย่าลืมว่าพวกเขาก็ทำได้แค่เข้าไปอยู่ในนั้นเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์สั่ง หรือปรับเปลี่ยนความฝันได้ดั่งใจเจ้าของความฝัน
และเมื่อเจ้าของความฝันนั้น "ตื่น" ฉากในความฝันนั้นก็จะพังลง คุ้น ๆ กันไหมคะ นั่นคือฉากสุดท้ายที่ตึกค่อย ๆ ถล่มลงมา ฉากในความฝันกำลังพังทลายลง เพราะเจ้าของความฝันได้ "ตื่นขึ้นจากความฝัน เพื่อมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริง"
เราเติบโตขึ้น เรากล้าเผชิญหน้ากับความจริง หลุดพ้นออกจากวังวนความฝันที่เราเป็นพระเจ้า Lucid Dream ที่เราควบคุมความฝันได้ดั่งใจ ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับจิตวิญญาณที่เราควานจากก้นบึ้งหัวใจ เพื่อกลับมาตอบคำถามกับตัวเองอีกครั้งว่า "ฉันคือใคร"
เราไม่เคยเป็นใคร นอกจาก "เราเป็นตัวของเราเอง"
นั่นคือบทสรุปที่ว่าความฝันนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว และตัวเขาเองต้องกลับไปเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่รออยู่
ดวงตา คือกระจกสะท้อน ที่ไม่มีวันโกหก
จาก MV ทั้ง 3 ตัวที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่ามีการเล่นกับดวงตาเสมอ มันฉายภาพที่แตกต่างกันออกไป และในครั้งนี้มันก็ฉายภาพของ Golden Child ทั้ง 10 คน ซึ่งในฉากนี้ จูชานได้เฉลยให้เราไว้แล้ว ว่ามีความหมายถึง "การเป็นหนึ่งเดียวกันของ Golden Child" ปิดฉากการตามหาตัวตนที่กินเวลา กว่าครึ่งปีได้อย่างสมบูรณ์แบบ
สำหรับใครที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ เราขอขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะ ที่ให้ความสนใจกับบทความกาว ๆ ของเราและน้องบลู @bluelvdr หลังจากที่กาวกันมา 2 คน ในที่สุดก็ถึงเวลามาแบ่งปันเรื่องกาว ๆ กันแล้วเป็นการเดินทางที่ยาวนานมากจริง ๆ ประมาณ 7-8 เดือนได้กับมหากาพย์นี้ สุดท้ายเราอยากฝากให้เพื่อน ๆ ที่สนใจในงานด้านนี้มาแชร์ความเห็นกันเยอะ ๆ นะคะ อยากให้บอกมอง MV ทั้ง 3 ตัวนี้เป็นงานศิลปะ 3 ชิ้น เราสามารถตีความได้มากเท่าไหร่ก็ได้ตามที่เราต้องการเลยค่ะ ไม่ต้องกลัวการผิดถูก การตีความมันไม่มีคำตอบตายตัว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับประสบการณ์และชุดข้อมูลของคนตีความ ส่งผลให้กรตีความของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แน่นอนว่าถ้าเหมือนกันคงกลายเป็นงานเขียนเชิงวิชาการไปแล้ว
เป็นอีกครั้งที่ได้ทำให้อะไรสนุก ๆ แบบนี้ ถ้าหากว่าบทความนี้มีอะไรที่ผิดพลาดไป เราเองต้องขออภัยด้วยนะคะ หวังว่าเราจะได้เจอกันอีกครั้งใน MV หน้า ที่ยังคงไม่ใช่เร็ว ๆ นี้แน่ และอย่าลืม ไปปั่นวิวกันนะคะ แค่วิวมาทำบทความก็วนดูไปไม่รู้กี่รอบแล้วเนี่ย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in