สองเท้าที่ก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งห้วงเวลาอันเป็นนิรันด์…
จิตใจอันหมองหม่นมืดดำราวกับรัตติกาลที่กลืนกินแสงสุริยา…
แววตาสงบนิ่งเยือกเย็นที่มักเมินเฉยต่อสิ่งเร้ารอบกาย…
บัดนี้…
บางสิ่ง...ได้เข้ามาทำให้โชคชะตานี้สั่นคลอน…
เจ้าจะบอกข้าได้หรือไม่...ว่าการที่ข้าได้พบกับเจ้า...
การที่ข้า...เป็นเจ้าชีวิตของเจ้า...
มันเป็นสิ่งที่สมควรหรือไม่
--------------------------------------------------
“เจ้าลูกหมา...ข้าตอบไม่ได้ว่าเจ้าควรเกิดมาหรือไม่จะมีชีวิตอยู่…หรือจะกระเสือกระสนทนทุกข์ทรมาณต่อไป สุดแท้แต่เจ้าจะเลือก...”
มือของข้าสัมผัสได้เพียงความเหน็บหนาว...หนาวเย็นเสียยิ่งกว่าม่านหมอกที่ปกคลุมโดยรอบ และสายตาของข้าได้แต่จ้องมองลึกลงไปในม่านใจอันว่างเปล่าของสิ่งมีชีวิตตรงหน้า
ดวงตาไร้แววที่ยากจะคาดเดาความนึกคิด หากแต่...กลับดูว่างเปล่าเสียจนทำให้คิดว่าการแต่งเติมหรือเจือปนสิ่งใดเข้าไปคงเป็นเรื่องที่ง่ายดายเกินคาดนัก…
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยสีแดงละเลงและลวยลายของรอยแผลที่น่าเวทนา...
ปากเล็กอันแห้งผากที่ไม่สามารถเอือนเอ่ยคำพูดใด ๆ ได้...
ความเศร้าหมองเจ็บปวดที่ไม่เคยได้ปลดเปลือง..
มือเล็กที่ทำได้เพียงกอบกำชายกางเกงที่ดูไม่น่าจะพึงพิงได้นัก
อ่อนแอ...ช่างอ่อนแอนัก…
“เจ้า....จะมาแลกเปลี่ยนกันหรือไม่”
เสียงทุ้มอันแหบพร่าเอ่ยออกไปไรซึ่งความลังเล
“หรือจะตายอย่างหมาข้างถนนที่ไร้ประโยชน์อยู่ที่นี่ในสักวันหนึง…”
คำพูดที่ราวกับพยายามทิ่งแทงจิตใจอันเปราะบางของภาชนะตรงหน้า แต่กลับดูอ่อนโยนกว่าคำด่าทอสาปแช่งใด ๆ ที่เคยได้ยิน
“มาทำประโยชน์เพื่อข้าสิ”
และประโยคสุดท้ายที่ได้ยินพร้อมกับทัศนภาพในดวงตาที่ว่างเปล่าของร่างเล็กที่เปลี่ยนแปลงwปตลอดกาล…
ต่อแต่นี้ชีวิตของเจ้าเป็นของข้า...จงจำไว้เจ้าหมาน้อย
“น่ารำคาญ...เสนียดลูกตานัก ข้าคงไม่ใจดีถึงขนาดจะเสียให้เจ้าได้มาขัดเวลาในการหายใจของข้า”
สายตาอันเย็นเยือกดุดันขึ้นเมื่อคำพูดอันเสียดแทงถูกกล่าวออกมา แต่ไม่ทันที่เรียวมือจะได้ออกแรงหยิบไม้เท้าออกมา ผู้อยู่ใต้อาณัติที่อาศัยอยู่ในเงาดำก็ปรากฏกายขึ้นพร้อมกับบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไป
“.....ฆ่าเลยไหม”
เสียงทุ้มลึกกล่าวประโยคคำถามสั้น ๆ ที่เหมือนเป็นประโยคบอกเหล่าเสียมากกว่าเพราะท่าทางและเป้าหมายที่ฉายออกมาจากแววตานั้นหมายความเดียวกันกับสิ่งที่พูด
ดวงตาคมจ้องมองสิ่งมีชีวิต ‘เสนียดลูกตา’ ด้วยความกราดเกรี้ยวดั่งผู้ล่า ทำให้เหยื่อตรงหน้าสะดุ้งอกสั่นขวัญแขวน และในชั่ววิร่างหนาก็ออกตัวพุ่งไปก่อนกรงเล็บแกร่งจะเงื้อมขึ้นเตรียมปลิชีพเหยื่อ
“.....พอ”
ทุกสรรพสิ่งพลันหยุดนิ่งราวกับกาลเวลาถูกหน่วงรั้งไว้ หากแต่สิ่งที่เกิดขึ้นมิใช่การกระทำของเวทย์มนต์อันใด เป็นเพียววาจาอันแผ่วเบาหนึ่งคำ…
ฆ่าไปก็เลอะมือเปล่าๆ...เปลืองน้ำอาบอีกล่ะนะยิ่งตัวใหญ่แบบนี้แล้วด้วย
เมื่อหลุดออกจากภวังค์ทัศนียภาพที่เข้ามาในโสตประสาทคือเจ้าสุนัขสองขาตัวโตของเขาที่กำลังยืนนิ่งและหันมามองเขาด้วยแววตาที่ดูใสซื่อผิดกับเมื่อครู่ราวกับคนละคนและสภาพของบุคคลที่สามที่ตอนนี้ลงไปทรุดอยู่กับพื้นอย่างหมดสภาพพร้อมกับกองของเหลวใสที่ไหลเอ่อออกมาจากกางเกง
“สกปรกชะมัด...เฮ้อ...กลับกัน”
คิ้วได้รูปขมวดเข้าหากันก่อนร่างสูงจะหันหลังให้ภาพที่ไม่น่ามองนั่นแน่นอนว่าผู้ที่อยู่ข้างกายเขาเสมอคงไม่รอให้แผ่นหลังที่จ้องมองอยู่ห่างออกไปเกินคืบ ปลายหางสะบัดไปมาพริ้วสไวไปตามแรงลมที่พัดผ่านตัวเขาท่เดินตามไป
คำพูดของเขาคือที่สุด...ทั้งกำลัง ร่างกาย วิญญาณ
หรือแม้แต่ชีวิตนี้...คือของคนผู้นี้
***See you later***
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in