วันแรกแม่บอกผมว่าทุกคนที่นี่จะทำให้ผมมีความสุข เด็กนักเรียนต่างชั้นเรียนที่เป็นมิตร คุณครูที่แสนใจดี แม่ครัวผู้ยิ้มแย้ม แม่ไม่ได้พูดอะไรผิดเลยสักนิด
แต่ทำไมผมไม่มีความสุขเลย
------------------------------
วันหยุดครั้งแรกแม่ปล่อยให้ผมอยู่ในโรงเรียน ครั้งที่สองและครั้งต่อ ๆ มาก็เช่นกัน
ห้องนอนกว้างกว่าที่เคยเป็น เตียงชั้นล่างยังคงยับยู่ยี่เพราะผมยังไม่มีแผนจะทำอะไรนอกจากนอนเล่นอยู่บนที่นอนจนกว่าจะหมดวัน ก่อนหน้านี้ออสตินพยายามจะชวนให้ผมออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกด้วยกัน แต่นั่นเป็นแผนที่น่าเบื่อยิ่งกว่าการนอนดูหนังเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมาซะอีก
ฝนตกลงมาอีกครั้งตอนที่ผมกำลังสวมโค้ท สวนและม้านั่งด้านนอกถูกพรมด้วยเม็ดฝน ท้องฟ้ากลายเป็นสีครึ้มขมุกขมัว แต่เพราะความไม่งดงามเหล่านั้นทำให้เอสเพรสโซ่แสนขมอร่อยขึ้นเป็นเท่าตัว ผมเลือกที่จะออกไปข้างนอกโดยที่ไม่พกร่มออกไปด้วย ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องเพิ่มภาระให้ตัวเอง ผมก็แค่ต้องการจะป่วยให้หนักที่สุดแล้วหนีกลับบ้านก็เท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นแล้วผมก็ยังไม่แน่ใจว่าแม่จะยอมให้ผมกลับไปไหม
เด็กหนุ่มเดินเอ้อระเหยไปตามบาทวิถี ฝนยังคงตกลงมาไม่ขาดสายแถมยังแรงขึ้นเรื่อย ๆ ผู้คนที่ผ่านไปมามองเขาเหมือนเป็นคนไร้สติ และนั่นเป็นความจริงที่เขาไม่อาจปฏิเสธ เสื้อผ้าของเขาเปียกปอนและสกปรก ถ้าไม่ใช่เพราะความสงสารก็คงจะเป็นเพราะว่าความขี้เกียจพูดของเจ้าของร้านถึงได้ทำให้เขาเข้ามานั่งแหมะอยู่ตรงนี้ได้
"ถอดเสื้อโค้ทเปียก ๆ ของนายไว้ตรงนั้นซะ ก่อนที่ร้านของฉันจะเต็มไปด้วยน้ำฝน"
ผมทำตามแต่โดยดี เห็นด้วยกับคำพูดคล้ายจะตำหนิของชายวัยกลางคนอย่างไม่มีข้อกังขา
------------------------------
ครั้งแรกที่ผมเจอเขาคือตอนที่ลูกบอลกระดาษลอยมาชนหัวของผมระหว่างมื้อเที่ยง เขาผู้มากับรอยยิ้มสดใส ผู้ชายตัวสูงโปร่งกับลูกบอลขาด ๆ ในมือกำลังยิ้มให้ผมพร้อมกับโบกมือขอโทษขอโพยอยู่ยกใหญ่ หลังจากนั้นเขาก็ทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ ผม ตรงที่มีสมุดวาดภาพของผมวางอยู่
"นายวาดภาพด้วยหรอ?"
"เฉพาะเวลาเบื่อ"
"งั้นต่อให้นายอยากวาดสักแค่ไหนแต่ไม่เบื่อนายก็จะไม่วาดอย่างนั้นหรอ"
"ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย ทำไมถึงตีความไปแบบนั้นได้"
"ก็นายพูดแบบนั้นนี่นา"
ผมขมวดคิ้วใส่เขา แซนวิชในมือดูจืดชืดไปเลยเมื่อเทียบกับคนข้างกายผม เขาชี้ให้ผมดูนกนางนวลกำลังจิกกินเศษขนมปังที่เด็กเกรด 4 คนหนึ่งทำหล่นไว้ หลังจากนั้นเขาก็เล่าให้ผมฟังว่าครั้งนึงตอนที่เขาไปเที่ยวทะเลเขาก็เคยถูกพวกนกขโมยกินขนมปังในมือเหมือนกัน
------------------------------
ห้องนอนของผมไม่ว่างเปล่าแล้ว เตียงสุดรัก (โดยจำเป็น) ถูกยึดครองโดยผู้บุกรุก เขาอ้างว่าเราคุยกันมานานพอที่จะเข้าไปนั่งเล่นในห้องของกันและกันได้แล้ว ผมไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่เพราะส่วนใหญ่แล้วคนที่พูดคือเขา ไม่ใช่ผม
"ทำไมนายไม่กลับบ้านบ้างล่ะ อยู่ที่นี่น่าเบื่อจะตาย"
"แต่นายก็อยู่ที่นี่กับฉันนี่"
"ฉันอยู่เพราะนายอยู่ต่างหาก"
ผมเงียบ ไม่รู้จะตอบอะไรกลับไป
เป็นเรื่องปกติที่เราควรจะมีอาหารหรือของว่างเล็ก ๆ น้อย ๆ มาต้อนรับแขก แต่ห้องของผมไม่มีอะไรนอกจากนมสองกล่องและน้ำเปล่า ตอนนี้ผมเลยมานั่งอยู่บนเตียงของเขาแทน
เขาบอกผมว่าเขาไม่ชอบเวลาที่ฝนตกแล้วฟ้าร้อง พอผมถามว่าทำไมเขาก็หัวเราะในลำคอแล้วหายเข้าไปในห้องน้ำ ห้องของเขารกกว่าห้องผม ข้าวของวางอยู่กระจัดกระจายไม่เป็นที่เป็นทาง ยังดีที่เขายังมีสติโยนเสื้อผ้าที่ใส่เมื่อคืนลงตะกร้าได้ถูกเพราะไม่อย่างนั้นผมคงต้องขอตัวออกไปจากที่นี่ซะตั้งแต่ตอนที่ก้าวเข้ามา
เขาเดินออกมาพร้อมชุดใหม่ เสื้อโค้ทสีน้ำตาลเข้มถูกหยิบออกมาจากตู้เสื้อผ้า หลังจากนั้นเขาก็ค่อย ๆ โยนชุดออกมาจากตู้ทีละตัว ๆ จนมันกองเต็มเตียงไปหมด
"ทำอะไรของนายเนี่ย"
"เลือกใส่สักชุดสิ เอาตัวที่นายใส่ได้พอดี"
"ทำไมฉันจะต้องใส่ชุดของนายด้วย"
"หรือนายจะออกไปข้างนอกทั้งเสื้อยืดย้วย ๆ นั่นกันล่ะ"
ผมกำลังจะบอกเขาว่าผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้นแต่ผมก็ยังไม่เร็วเท่าเขา เชิ้ตสีเขียวมะกอกทาบอยู่บนตัวของผม เขาดูจริงจังกับการเล่นเกมแต่งตัวให้ผมจนผมไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว
ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเขาด้วยซ้ำ
เขาคะยั้นคะยอให้ผมใส่เชิ้ตสีน้ำเงินวาววับ ห้องของเขารกกว่าเดิมเพราะผมวิ่งเตะนู่นเตะนี่ไปทั่วตอนที่หนีการจับกุมของเขา แล้วสุดท้ายผมก็ชนะในการเล่นวิ่งไล่จับ แต่มันก็ไม่ทั้งหมด ผมยอมใส่เชิ้ตสีเดียวกันกับโค้ทของเขาแถมยังยอมสวมหมวกทรงแปลก ๆ ที่เขายื่นมาให้อีกด้วย
ตอนนี้เรานั่งอยู่บนม้านั่งที่เราพบกันครั้งแรก เขากำลังเล่าเรื่องการออกล่าของไฮยีน่าให้ผมฟัง ส่วนผมก็กำลังวาดภาพ
แต่คราวนี้ผมไม่ได้วาดเพราะเบื่อหรอกนะ
------------------------------
ฝนตกอีกแล้ว
วันนี้ไม่ใช่วันหยุด ผมต้องไปเรียน แต่ตอนนี้ถึงเวลากลับหอพักแล้ว
ผมไม่มีร่ม แต่ผมมีเสื้อสูทตัวหนาพอจะกันน้ำฝนให้ผมได้ระหว่างเดินทาง
ทางเดินเปียกแฉะ คนอื่น ๆ เลือกที่จะหลบอยู่ในอาคารเรียนจนกว่าฝนจะหยุด หรือไม่ก็ใช้บันไดเชื่อมไปที่โรงอาหารแทน แต่ผมยังไม่หิวนี่
บ่าของผมเริ่มเปียกชุ่ม เท้าของผมหนักอึ้ง ความเหนื่อยล้าจากวิชาพละวันนี้เริ่มเล่นงานผม วูบหนึ่งผมคิดว่าที่ตรงนี้เป็นเตียงนอนและกำลังจะทิ้งตัวลงไป แต่ฝนที่ตกแรงขึ้นกะทันหันทำให้ผมรู้ว่านี่ไม่ใช่ห้องนอน
ต่อจากนั้นฝนก็หยุด
แค่ตรงที่ผมยืนอยู่
------------------------------
ตรงนี้ไม่มีใคร ไม่มีแม้แต่ผีเสื้อตัวจ้อยที่ชอบมาบินเล่นยามบ่าย
แน่ล่ะ ก็ตอนนี้ฝนกำลังตกนี่
"วันนี้อากาศแย่ชะมัด โรงเรียนควรจะมีเวลาให้เราดูข่าวพยากรณ์อากาศตอนเช้าก่อนเริ่มคาบเรียนนะ นายว่าไหม"
"พนันได้เลยว่าคนแบบนายจะไม่ทำอย่างนั้น"
"แน่นอนอยู่แล้ว ฉันเอาเวลาสามนาทีนั้นมานอนต่อได้สบาย ๆ"
เขาขยับร่มเข้ามาใกล้ผมอีก ตอนแรกเสื้อสูทของเขาแห้งสนิท แต่ตอนนี้มันเริ่มเปียกพอ ๆ กับเสืื้อของผมแล้ว
"นายอยากแวะไปดื่มช็อคโก้ที่ห้องฉันไหม ฉันเตรี--"
"ไม่ล่ะ ขอบใจ"
เขาทำหน้าไม่พอใจที่ผมพูดขัดประโยคของเขา แต่ใครจะสนกันล่ะ ผมหัวเราะออกมาตอนที่เขาพยายามจะทำให้ผมรู้ว่าเขาไม่พอใจแค่ไหนโดยการกระทืบเท้าลงบนพื้น แล้วก็เป็นคราวซวยของเขาที่จะไม่มีรองเท้าใส่ไปเรียนอีกหลายวัน
"เพราะฝนตกแท้ ๆ"
เขาบ่นอุบตอนที่เราเดินผ่านม้านั่งตัวนั้น วันนี้เราอดนั่งเพราะมีคนอื่นนั่งอยู่ก่อนแล้ว ถ้าเผลอไปนั่งทับเขาจะต้องไม่พอใจเราจนแช่งให้ก้นของเราทั้งสองเปียกแน่ ๆ
ฟ้าร้อง
ร่มแทบจะหลุดออกจากมือของเขาตอนที่เสียงกัมปนาทนั้นดังขึ้น เขาที่เคยตัวโตกว่าผมกำลังห่อตัวอยู่ด้านหลังของผม นั่นทำให้ฝนกระเซ็นโดนหน้าผมเต็ม ๆ
"ฉันไม่ชอบเลยจริง ๆ ให้ตายสิ ขอร้องเถอะนะ เรามีทางลัดไหม"
"มีสิ แต่ต้องเดินกลับไปนะ"
"ไม่เอาน่าแจ็ค นายก็รู้ว่าฉันไม่ชอบ"
"กลัวอะไรนัก"
"ก็กลัวนี่" เขายักไหล่ ท่าทางสวนทางกับคำพูดชะมัด
ผมชกไหล่เขาไปหนึ่งทีแล้วออกวิ่งนำหน้าเขาไป เสียงตะโกนโหวกเหวกดังตามหลังมา ไม่นานเขาก็ตามผมทัน เราหัวเราะกันเสียงดังไม่แคร์คนรอบข้างเพราะเสียงฝนกลบเสียงของเราไปหมด เขาหายใจหอบอยู่ข้าง ๆ ผม หลับตาสูดหายใจเข้าออกช้า ๆ ราวกับว่าต้องการจะใช้สมาธินักหนา
ฝนเริ่มซาลงแล้ว
เขาเริ่มพูด
"ตอนเด็ก ๆ ฉันเคยหลงอยู่ในป่าคนเดียว"
"พ่อกับแม่พยายามจะตามหาฉัน แต่ก็ไม่มีใครพบ"
"แต่จริง ๆ ฉันคิดว่าฉันสามารถหาทางออกมาได้นะ แต่โชคร้ายที่วันนั้นฝนตก"
"ฉันนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ รอให้ใครสักคนส่องไฟฉายมาตรงที่ฉันนั่งอยู่ แต่ไม่มีใครเลย"
เราเดินช้าลง
"มันเริ่มมืด พระอาทิตย์กำลังตกดิน ฝนก็แรงขึ้นเรื่อย ๆ"
"ฉันกลัวจนอยากจะร้องไห้ แต่ตอนนั้นฉันคิดว่าถ้าฉันร้องฉันจะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงสะอื้นของตัวเอง"
"ฉันไม่ยอมเดินไปไหนเลย รอจนพระอาทิตย์หายไปจากฟ้าแล้วตอนนั้นฉันก็ได้ยินเสียงของพ่อ"
"ฉันพยายามตะโกนตอบกลับไป แต่เสียงฟ้าร้องมันดังชะมัด
นายเข้าใจใช่ไหม เสียงเด็กหกขวบไม่สามารถสู้เสียงฟ้าร้องได้หรอก"
เขาหันมามองผม ผมเองก็กำลังมองเขาอยู่
เราสบตากัน
"เพราะแบบนั้นแหละ ฉันเกือบจะตายอยู่ในป่าเพราะฟ้าร้องฝนตก"
"แค่หลงป่าหลังบ้านไม่ถึงตายหรอกนะทอม"
"นายก็พูดได้นี่! ถ้านายเป็นฉันตอนนั้นนายอาจจะร้องไห้ขี้มูกโป่งไปแล้วก็ได้นะ"
"ไม่มีทางซะหรอก" ผมคุยโวใส่เขาพร้อมกับยักคิ้ว
------------------------------
วันหยุดคราวนี้ผมก็ยังอยู่ที่โรงเรียนเหมือนเดิม ต่างจากลูปเดิม ๆ แค่แม่โทรมาหาผมเมื่อเช้านี้ ด้วยความรีบร้อนของเธอ ผมไม่มีโอกาสได้เล่าอะไรให้เธอฟังหรือฟังเรื่องราวของเธอเลย
"ที่รัก แม่สัญญาว่าวันหยุดคราวหน้าลูกจะได้กลับมาทานอาหารฝีมือแม่แน่ ๆ จ้ะ แม่รักลูกนะ"
"ครับ ผมก็รักแม่นะ"
"แม่ต้องไปทำงานแล้ว บายจ้ะลูกรัก"
"ครับ"
และสิ่งที่แปลกไปอีกอย่างคือคราวนี้เขาไม่ได้อยู่กับผมที่นี่ ไม่ใช่เรื่องน่าเสียใจอะไรหรอก เขาแค่กลับไปนอนกอดหมีเท็ดดี้แสนรักของเขาที่บ้านสักคืนสองคืนเท่านั้นเอง ผมไม่ได้หว่าเว้ขนาดนั้นหรอกนะ ร่มคันนั้นยังวางอยู่ข้างหัวเตียงของผม เขาฝากเอาไว้ หรือจริง ๆ จะต้องพูดว่าเป็นการบังคับให้ผมพกร่มไปเรียนด้วยนั่นแหละ
วันนี้ฝนไม่มีทางตกแน่เพราะพยากรณ์อากาศบอกเอาไว้แบบนั้น ผมหยิบสมุดวาดภาพคู่ใจกับดินสอออกไปข้างนอก นั่งลงตรงม้านั่งตัวเดิม ภาพเดิม ๆ ที่ผมเห็นอยู่ทุกวันจนชินตา แต่วันนี้ผมอาจจะคิดไปเองรึเปล่านะว่ามันดูครึ้ม ๆ กว่าปกติ
ผมเริ่มร่างภาพใหม่ โครงหน้าและสัดส่วนต่าง ๆ ถูกขีดเขียนลงบนแผ่นกระดาษ ผมหลับตานึกถึงภาพจำของใครบางคนที่เด่นชัดอยู่ในความทรงจำ ใบหน้าคมสัน แพขนตางอนยาว ชั้นตาที่แตกต่างกันทั้งสองข้าง ไฝเล็ก ๆ ที่หน้าแก้มและปลายจมูก ริมฝีปากได้รูป ผมสีน้ำตาลแดง รูปร่างสูงโปร่งและผิวสีน้ำผึ้งน่ามอง
โทมัส
(แน่นอนล่ะ เขาคือทอมของผม)
หลัง ๆ มานี้ ตั้งแต่ที่ผมได้รู้จักกับเขา ตั้งแต่วันที่ลูกบอลกระดาษกระเด็นมาโดนหัวผม ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่ได้วาดภาพเพราะความเบื่อหน่ายอีกเลย และรูปภาพส่วนใหญ่คือรูปของเขา (เขามักจะขอร้องให้ผมโชว์ให้เขาดู แต่ไม่มีวันซะหรอก)
------------------------------
เย็นวันนั้นเขาวิดิโอคอลมาหาผม โชว์ตุ๊กตาหมีเท็ดดี้สุดรักของเขาให้ผมดูก่อนเขาจะทิ้งตัวลงนอนทั้งที่ยังไม่อาบน้ำ
"สกปรกชะมัด"
"อะไร ฉันหรือเท็ด"
"ทั้งสองอย่างนั่นแหละ"
เขาทำหน้าไม่พอใจอีกครั้ง จ้องหน้าผมผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยม เล่าความทรงจำมากมายระหว่างเขากับเท็ดดี้แบร์ตัวอ้วนเพื่อให้ผมเห็นด้วยกับเขาว่าของของเขาน่ะเจ๋งแค่ไหน
"เห็นไหมล่ะ ใคร ๆ ก็รักเท็ด"
"ยกเว้นฉันล่ะคนนึง"
"โธ่แจ็ค นายเป็นคนแรกเลยนะที่ได้เห็นเท็ดของฉัน ช่วยรักมันหน่อยเถอะ"
"ขอร้องฉันสิ" ผมกอดอก ทำหน้าตาเอาเรื่อง
"ร้ายกาจ นายมันร้ายกาจ"
ผมไม่แน่ใจว่าเราคุยกันนานแค่ไหน รู้แค่ว่าเช้าวันถัดมาผมเองก็ยังใส่ชุดเดิม มีแล็บท็อปวางอยู่ที่ปลายเตียง และออสตินกำลังล้อผมว่าผมเป็นคนสกปรกไม่ยอมอาบน้ำนอน
------------------------------
สัปดาห์ต่อมาแม่มารับผมกลับบ้านอย่างที่บอกจริง ๆ ผมนั่งอยู่บนรถของแม่ ฟังเพลงเดิมที่แม่เคยเปิดทุกครั้งที่ขึ้นมาบนรถ ทุกอย่างเหมือนเดิม ผมกำลังจะได้กลับบ้าน
"นายจะกลับบ้านหรอ จริงหรอ"
"ใช่ แม่บอกว่าอย่างนั้น"
"เจ๋ง ฉันจะตามนายกลับบ้าน นายไปเล่นเกมที่บ้านฉันไหม ส่วนฉันก็จะไปกินวาฟเฟิลที่บ้านนาย"
"นายคิดว่าบ้านเราจะอยู่ใกล้กันหรือไง"
"พระเจ้าต้องเมตตาแหละน่า นายไม่คิดหรอว่าโชคชะตาทำให้เรามาเจอกันน่ะ"
"น้ำเน่าชะมัดยาด"
ถึงบ้านแล้ว
ดอกทานตะวันที่หน้าบ้านยังบานรับแสงอาทิตย์อยู่ที่เดิม กล่องรับจดหมายที่ผมกับแม่ช่วยกันทาสีใหม่ยังตั้งอยู่ที่เดิม แม่ไม่ชอบให้มีจดหมายค้างอยู่ในนั้นมันเลยเป็นกล่องรับจดหมายกล่องเดียวที่ปิดสนิทในหมู่บ้าน แม่ยิ้มให้ผม กวักมือเรียกให้ผมเดินเข้าไปในบ้าน โซฟายาวสีดำยังตั้งอยู่ที่เดิมของมัน แต่มีอะไรเปลี่ยนไปนิดหน่อย บนนั้นมีหมอนกับผ้าห่มผืนบาง ๆ ถูกพับไว้ที่มุมหนึ่ง ผมมองหน้าแม่ กำลังจะเอ่ยปากถามแต่เธอก็เดินมาสวมผ้ากันเปื้อนให้ผมเสียก่อน
"ยังมีใครอยากเป็นเชฟอยู่ไหมเอ่ย"
แม่พูดกับผมเหมือนผมยังเป็นเด็ก ผมยิ้มให้เธอก่อนจะชูมือขึ้นสุดแขน
เราทำอาหารด้วยกัน เมื่อก่อนผมเป็นคนล้างผักและเตรียมจานส่วนแม่จะยืนอยู่หน้าเตา คอยรับของจากผม แต่คราวนี้เราสลับหน้าที่กัน แม่หัวเราะตอนที่ผมพยายามจะใช้หม้อในการผัดแทนกระทะ เรายิ้มด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน นั่นคือช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่สุดในชีวิต ช่วงเวลาที่ผมได้อยู่กับแม่
เราใช้เวลาทั้งบ่ายหมดไปกับการจัดสวนและดูหนังเรื่องโปรด แม่ร้องไห้ และมีผมคอยปลอบอยู่ข้าง ๆ
น่าแปลกใจที่ผมเห็นทอมมาปรากฏตัวอยู่หน้าบ้านตอนใกล้ค่ำ เขาหัวเราะร่าแล้วกระโดดข้ามรั้วเข้ามากอดผม พร่ำบ่นถึงการตามหาตัวผม หาบ้านของผม บอกว่ามันยากยิ่งกว่าทำข้อสอบเสียอีก
"เรื่องตลกคือบ้านฉันอยู่ห่างจากนายไปแค่สามหลัง!"
"ทำอะไรกันจ๊ะหนุ่ม ๆ คึกคักเชียว"
แม่เดินออกมาพร้อมถาดมัฟฟินช็อคโกแลต ผมแนะนำทอมให้แม่รู้จัก และพวกเขาก็ดูจะเข้ากันได้ดีตอนที่พูดเรื่องฟุตบอลและสารคดีป่าอเมซอน
"ฉันไม่ได้กินวาฟเฟิลแต่ได้กินมัฟฟินแทน"
"ถ้าไม่ชอบใจก็หยุดกินเถอะนะ"
"นายไม่เห็นหรอว่าฉันมีความสุขขนาดไหน"
ทอมกลับไปตอนสองทุ่ม เขายังคงไม่พอใจที่ผมไม่ยอมตามกลับไปดูเท็ดดี้แบร์สุดรักของเขา เขาแทบจะประท้วงตอนที่ผมบอกว่าเท็ดของเขาสกปรกมอมแมม นั่นเป็นเรื่องใหญ่เชียวล่ะ
------------------------------
ผมกำลังจะเข้านอน
แล้วแม่ก็เข้ามาหา
"จะนอนแล้วหรอลูก"
เธอทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงของผม แม่กำลังยิ้ม แต่ผมดูออกว่าเธอมีเรื่องกังวลใจ
"ครับ วันนี้เหนื่อยมาก ผมไม่ได้จัดสวนเลยตั้งแต่ย้ายโรงเรียน"
"แจ็ค"
เธอถอนใจ ก้มหน้าลงมองมือบนหน้าตักตัวเอง
"แม่เพิ่งรู้ตัวว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาแม่ไม่ค่อยได้ใส่ใจลูกเลย แม่มัวแต่ยุ่งอยู่กับงานจนไม่มีเวลาจะคุยกับลูกด้วยซ้ำ"
"เดือนที่แล้วแม่กังวลเกี่ยวกับลูก จนถึงเมื่อเช้าแม่ก็ยังกังวล"
"กังวลอะไรครับ ผมไม่ได้เป็นเด็กไม่ดีสักหน่อยนะ" ผมพูดติดตลก
"แม่รู้ลูกรัก ลูกแม่เป็นเด็กดีที่หนึ่งเลยล่ะ"
ตาของเธอคลอไปด้วยน้ำตา ใบหน้าของหญิงสาวแดงก่ำ เธอกำลังร้องไห้ ตอนนี้ตัวเธอเล็กมากเมื่อเทียบกับผม ผมกุมฝ่ามือเล็ก ๆ ของเธอเอาไว้ ซบหน้าลงกับบ่าที่กำลังสั่นไหวของเธอ ผมปล่อยให้เธอเศร้าโศกเมื่อเธอต้องการ และเราไม่ได้พูดอะไรกันอีก
จนกระทั่ง
"ลูกอยากกลับมาอยู่บ้านไหม"
แม่เอ่ยคำถามที่ผมอยากได้ยินมาตลอดหนึ่งปี ชั่วขณะหนึ่งผมกำลังดีใจ แต่เสี้ยววินาทีต่อจากนั้นผมรู้สึกเศร้า
"งานวิจัยที่แม่ทำอยู่กำลังจะเสร็จแล้ว แม่ไม่ต้องวิ่งวุ่นทำงานเป็นบ้าเป็นหลังอีกแล้ว"
หัวของผมว่างเปล่า ความรู้สึกครึ่ง ๆ กลาง ๆ ในหัวใจผมตอนนี้คืออะไรไม่อาจอธิบายได้ ผมอยากจะลุกขึ้นร้องตะโกนแล้ววิ่งไปรอบห้อง แต่ผมก็เศร้าจนอยากทิ้งตัวลงนอนเฉย ๆ อยู่บนเตียง
แม่เห็นผม เธอลูบหัวและจูบกระหม่อมผม บอกให้ผมนอนหลับฝันดี เอาไว้ค่อยคิดอีกทีวันพรุ่งนี้ แล้วเธอก็เดินจากไป
------------------------------
เป็นเช้าวันอาทิตย์ ผมต้องกลับโรงเรียนเย็นนี้
"แม่ครับ"
แม่หันหลังกลับมามองผม กลิ่นหอมของซุปเห็ดอวลไปทั่วบ้าน
"ผม..ขอคิดอีกหน่อยได้ไหมครับ"
เธอตอบตกลงทันที ใบหน้าของเธอไม่มีความกังวลหลงเหลืออยู่เลย ดูเหมือนจะมีความสุขมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ เธอเรียกให้ผมไปหยิบขนมปังออกมาจากเตาอบ นี่คงเป็นครั้งแรกในรอบปีที่แม่อบขนมปังเอง
ผมกลับโรงเรียนด้วยรถบัสเพราะไม่อยากรบกวนแม่มากเกินไป เธอยังต้องรดน้ำดอกไม้ เก็บกวาดบ้านและล้างจาน การเดินทางคนเดียวเป็นอะไรที่ผมใฝ่ฝันมาตลอดแต่เพราะแม่ยังมองเห็นผมเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ อยู่เสมอผมเลยไม่ค่อยได้ทำอะไรด้วยตัวเองบ่อยนัก นี่ก็เป็นการขึ้นรถบัสคนเดียวครั้งแรก ผมตื่นเต้นจนไม่สามรถนั่งรออยู่เฉย ๆ ได้ และสุดท้ายผมก็ตกรถเพราะมัวแต่ไปเฝ้าดูเป็ดในอ่างแถว ๆ นั้น
ไหล่ของผมกระแทกเข้ากับไหล่ของใครสักคนที่เดินสวนกันมา ผมรีบขอโทษเขาด้วยความร้อนรนจนไม่ทันได้มองว่าเขาคนนั้นเป็นใคร เสียงหัวเราะทุ้ม ๆ ที่ดังขึ้นทำให้ผมตัดสินใจเงยหน้าขึ้นมามอง รอยยิ้มลูกหมาที่ผมคุ้นเคยปรากฏขึ้นตรงหน้า เขาหัวเราะไม่หยุดจนผมต้องต่อยไหล่เขาแรง ๆ สักที
------------------------------
ฝนตกตั้งแต่เช้า และวันนี้ผมพกร่มออกมาด้วยเพราะทอมบังคับผม เขามายืนเฝ้าผมตอนที่ผมกำลังเตรียมตัวจะออกจากห้อง ออสตินบอกว่าเราสองคนเหมือนเป็นพ่อกับลูกกันไม่มีผิด
"วันนี้ไปม้านั่งกันไหม"
"ฝนตกหนักขนาดนี้นายจะนั่งยังไง"
"ถึงตอนนั้นก็คงหยุดเองแหละน่า"
"เจอกันนะ"
คำพูดของทอมไม่ศักดิสิทธิ์เลยสักนิด ฝนยังตกลงมาไม่ขาดสาย แต่ผมก็ยังยืนรอเขาอยู่หน้าตึกเรียน
เขารีบวิ่งออกมาจากห้องเรียนจนเกือบจะล้ม พาดสายสะพายกระเป๋าไว้กับบ่าของผมแล้วแย่งร่มไปถือเสียเอง เราคุยอะไรไปเรื่อยเปื่อย ผมเล่าเรื่องสมุดวาดภาพที่เปียกน้ำเพราะผมลืมมันไว้ที่ข้างหน้าต่าง และออสตินก็ไม่ได้อยู่ที่ห้อง เขาตกใจยิ่งกว่าผมที่เป็นเจ้าของเสียอีก เขาขยับตัวไปมาเหมือนคนร้อนรน ร่มที่เขาถืออยู่ก็แทบจะไม่ได้ช่วยกำบังฝนให้เราสองคนเลยแม้แต่น้อยจนผมต้องขอร้องให้เขาช่วยยืนอยู่เฉย ๆ ก่อนที่เราทั้งสองคนจะลื่นล้มลงไปบนพื้นที่เจิ่งนองนี้
"แล้วนายจะทำยังไงกับรูปของนายล่ะ มันเสียหายหมดเลยนะ"
"ฉันวาดใหม่ได้น่า อันที่จริงมันก็ไม่ได้เปียกขนาดนั้นหรอก"
เขาทำท่าไม่เชื่อผมจนผมต้องขอร้องให้เขาเลิกกระวนกระวายเสียที เพราะยังไม่มีหน้าไหนที่ขาดออกจากสมุด
ฝนตกแรงขึ้นอีกหน่อยหลังจากที่เราเดินออกมาได้สักพัก คำพูดของแม่ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของผม และผมคิดว่าผมอาจจะต้องระบายมันออกมา
"นายรู้ไหมเมื่อคืนแม่พูดกับฉันว่าไง"
"ไม่รู้สิ อาจจะบอกให้นายตั้งใจเรียนล่ะมั้ง"
"แม่ถามฉันว่าอยากกลับไปอยู่บ้านไหม"
ทอมเงียบไป เขาดูตกใจยิ่งกว่าตอนที่รู้ว่าสมุดผมเปียกแต่คราวนี้เขาไม่ได้เดินไปทั่วเพราะกระวนกระวาย เขาเพียงแค่หยุดนิ่งแล้วมองหน้าผม ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย
ผมเองก็เช่นกัน
ผมถอนใจออกมา ก้มหน้าลงมองพื้นและรองเท้าของผมกับเขา ผมคิดว่าเสียงฝนอาจจะดังจนทำให้เราไม่ได้ยินกันและกัน
แต่ไม่เลย
แม้แต่ฟ้าร้องก็ไม่อาจกลบเสียงสะอื้นในใจของพวกเราได้
"...ฉันตั้งตัวไม่ทันเลยแจ็ค"
"ฉันก็เหมือนกัน ฉันไม่รู้ว่าต้องจัดการกับมันยังไง"
"นายคิดว่าฉันควรตัดสินใจแบบไหน"
"อย่าถามฉันเลย ฉันไม่อยากทำตัวเอาแต่ใจกับนาย"
ประโยคนั้นของเขาเบามาก แต่มันกลับดังชัดอยู่ในโสตประสาทของผม
ทอมจ้องมองผม มองเข้ามาในตาของผม ใช้สายตาที่เขาไม่เคยใช้มองผมมาก่อนตลอดเวลาที่เรารู้จักกัน นัยน์ตาสีเฮเซลนัทที่แสนงดงามของเขาทำให้ผมรู้สึกดำดิ่งและมอมเมา ผมไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองขยับเข้าไปหาเขาตอนไหน ก่อนหน้านี้ที่เขาเคยอวดน้ำหอมกลิ่นใหม่ให้ผมดมผมไม่เคยชอบมันเลย
แต่ตอนนี้ผมคิดว่าผมชอบกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากซอกคอของเขามากกว่ากลิ่นฝนเป็นไหน ๆ
"ได้โปรดเถอะนะแจ็ค.."
เขากระซิบ โน้มตัวลงมาใกล้ผม
"ได้โปรดเถอะนะ.."
ผมหลับตาตอนที่เขาขยับเข้ามาใกล้ ริมฝีปากอุ่น ๆ ทาบทับลงมาอย่างนุ่มนวล ผมรู้สึกถึงเขา มองเห็นความงดงามของเขาแม้ว่าผมจะหลับตาอยู่ก็ตาม เราขยับเข้าใกล้กันมากขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบจะไม่มีพื้นที่ว่าง เราพูดคุยกันผ่านสัมผัสของร่างกาย ทั้งหนักหน่วง ผ่อนปรน และหวานล้ำ
จนกระทั่งฝนเริ่มซาเราถึงถอยห่างออกจากกัน
------------------------------
คืนนั้นผมโทรหาแม่ ผมบอกแม่แทบจะทุกอย่างที่ผมรู้สึกและผมก็รู้ตัวว่าตัวเองยังคงเป็นเด็กน้อย
นัยน์ตาของผมแดงก่ำตอนที่แม่เริ่มพูด แต่ผมไม่ร้องไห้หรอกเพราะถ้าผมร้องไห้ผมจะไม่ได้ยินอะไรเลยนอกจากเสียงของตัวเอง เราคุยกันสักพัก แน่นอนว่าผมที่ยังเป็นเด็กน้อยจะต้องร้องไห้งอแงออกมา ผมกำลังร้องไห้ส่วนแม่ก็หัวเราะ ไม่ใช่การซ้ำเติม ผมรู้ว่าเธอหวังดีกับผม เธอรักผม และตอนนี้เธอแค่กำลังมีความสุข
"แม่รักลูกนะแจ็ค เรารักใครเราก็ควรจะบอกเขาจริงไหม"
------------------------------
ออสตินไม่อยู่ และทอมเพิ่งโทรมาบอกผมว่ารูมเมทของเขาจะออกไปเดตกับสาว
ผมเลยมานั่งเล่นอยู่บนเตียงของเขาตั้งแต่เช้า
"ดูมีความสุขจังเลยนะ"
"แน่นอน"
"แล้วเมื่อไหร่นายจะบอกความลับอะไรนั่นสักที ฉันรอมาทั้งสัปดาห์แล้วนะ"
ผมยักไหล่ ไม่สนใจคำพูดของเขาแล้วก้มลงวาดภาพต่อ ทอมไม่ชอบเวลาผมไม่สนใจเขา เขาจะทำเสียงฮึดฮัดแล้วทำตัววุ่นวายกับผมมากขึ้นเป็นเท่าตัว อย่างเช่นตอนนี้
เขาพยายามจะรบกวนสมาธิของผมโดยการจี้เอว ผมที่พยายามจะกลั้นหัวเราะไม่เคยทำสำเร็จเลยสักครั้ง สุดท้ายผมก็ต้องยอมให้ทอมขยับมานั่งข้าง ๆ มองดูผมวาดรูปของเขา ตอนที่ปลายดินสอลากผ่านแผ่นกระดาษเขาก็ร้องออกมาเบา ๆ ด้วยความพอใจ มันจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยถ้าเขาไม่พยายามกวนประสาทผมด้วยการร้องออกมาทุกครั้งที่ผมวาด พอผมหันไปดุเขาก็ยิ้มหน้าระรื่นแถมยังหัวเราะชอบอกชอบใจที่สามารถทำให้ผมสนใจเขาได้
"ฉันจะต่อยนายแน่ถ้านายยังไม่หยุดทำเสียงแบบนั้น"
"อะไรกัน นี่ฉันให้กำลังใจนายอยู่นะ"
"อ้อ ขอบคุณ แต่พอแค่นั้นแหละ"
ทอมเลิกยุ่งกับผมแล้ว เขาหันไปเก็บหนังสือที่กระจัดกระจายไปตามพื้นตามที่ผมบอกเขาก่อนหน้านี้ และเขาก็ยุ่งเกินกว่าจะทันเห็นว่าผมกำลังยิ้มออกมาตอนที่เห็นเขากำลังก้มเก็บหนังสือแล้วก็บ่นไปด้วย
"ฉันไม่ไปไหนแล้วนะ"
ผมพูดขึ้นมาในตอนที่คิดว่าเขาคงฟังไม่ทันแน่ ๆ แล้วแสร้งก้มหน้าลงตั้งใจมองภาพวาดของตัวเอง และเป็นไปตามคาด เขาร้องห๊ะออกมาทันทีที่ผมพูดจบ ไม่แน่ใจว่าฟังไม่ทันหรือฟังที่ผมพูดไม่รู้เรื่องกันแน่ เขากระโจนขึ้นมาหาผมบนเตียง จับแขนผมเอาไว้ จ้องผมไม่วางตา
"นายว่าอะไรนะ"
ผมไม่ตอบ แต่ยักคิ้วให้เขาแทน
ทอมขมวดคิ้ว เด็กชายโทมัสวัยหกขวบกำลังจะกลับมา เขามองหาสิ่งของที่จะสามารถใช้เป็นของล่อผมได้ แต่ขอโทษนะครับ ห้องของเขากับผมต่างกันลิบลับ ไม่มีอะไรที่จะทำให้ผมยอมเอ่ยคำนั้นออกมาอีกรอบหรอก
ทอมขยับเข้ามาใกล้ กลิ่นหอมเย็น ๆ จากตัวเขาทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมามอง เขามองผมด้วยสายตาแบบนั้นอีกแล้ว สายตาที่ทำให้ผมขัดขืนอะไรเขาไม่ได้ ริมฝีปากของเราแตะกันอีกครั้ง คราวนี้มันลุ่มลึกยิ่งกว่าครั้งแรก กายเราแนบชิดกันยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ ความหอมหวานจากเขาทำให้ผมสมองตื้อ ผมควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้ ฝ่ามือเย็นเยียบกำลังซุกซน มันแทรกตัวเข้าไปใต้เชิ้ตคอวีสีขาวของผม ฟอนเฟ้นไปตามลำตัวของผม
"ฉันสาบานเลยว่าถ้านายไม่พูดตอนนี้ฉันจะหยุดตัวเองไม่ได้แน่"
"ก็ได้ ก็ได้ แต่ขอเถอะ ช่วยเอามือเย็น ๆ ของนายออกมาก่อนได้ไหม"
"โทษที" เขายิ้ม
"ฉันไม่ไปไหนแล้--"
ทอม (ของผม) ไม่เคยผิดคำพูดเลยยกเว้นครั้งนี้ บางทีผมอาจจะดื้อกับเขามากเกินไปหน่อยล่ะมั้งนะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in