1. สภาพเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมสมัยนี้สามารถทำให้การกินอาหารหรูๆดีๆสักมื้อก็กลายเป็นอเมริกันดรีมได้ บาร์ของทุกอย่างโหลดต่ำเหลือเพียงแค่ bare minimum ไม่ต้องเอาเวลาไปหลงใหลใฝ่ฝันอะไรทั้งสิ้น ทำงานงกๆ เกาะเก้าอี้ ยกมือไหว้สิ่งศักดิ์สิทธ์ไร้รูป ภาวนาขอให้ถูกล็อตเตอร์รี่ทั้งที่ไม่เคยจะกล้าเจียดเงินในกระเป๋าไปเสี่ยงซื้อ
2. โลกนี้ demanding กรีดเลือดกรีดเนื้อคุณ ให้ทำตามวิถีของมัน พร่ำบอกว่านี่เป็นสิ่งที่ใครๆก็ต้องทำ เป็นสิ่งที่คุณจะต้องผ่านไปให้ได้ แต่วันที่คุณบุบสลาย ถูกโบยตีย่อยยับ โลกบอกแค่ว่านี่มันเป็นเรื่องของคุณล้วนๆว่ะ solely individual issue อย่ามาโทษโลกได้มั้ย จะดราม่าอะไรนักหนา
เพราะฉะนั้นอย่าลืมท่องไว้ put yourself first - your mental and physical health and your needs.
เพราะสุดท้ายเราก็มีแค่เรา เราอยู่กับตัวเราไปทั้งชีวิต เราแบกรับ consequences ทุกสิ่งอย่าง
3. คนเราควรมีคนที่รักเราโดยที่เราไม่ต้องเป็นคนเก่งของโลกใบนี้อ่ะ ไม่ตัดสินว่าเราเป็นคนไร้น้ำยาเพียงเพราะบางทีเราเหนื่อย เราล้าสะสม เราไม่อยากไปค้นฟ้าคว้าดาวแล้ว
4. ย้อนกลับไป chapter ที่แล้ว เรามาคิดต่อว่าการเป็นคนเก่ง คนดี นี่มันยังไงกัน ต้องทำแค่ไหน แล้วมานึกได้ว่าหลายๆครั้งเราเซ็ตบาร์ของสิ่งเหล่านี้ไว้ที่ 100 เต็ม ซึ่งมีจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ เหมือนถูกสังคมบรีฟมาแบบนั้น ก็เชื่อมาแบบนั้น
เปรียบเปรยกับข้อสอบ บางทีเราทำได้ 80 คะแนน เราตีอกชกหัวตัวเองมากเลยว่าทำไมไม่ได้ร้อยเต็ม อีก 20 คะแนนทำไมทำไม่ได้ จนลืมมองไปว่า เห้ย จริงๆ เราทำมาได้ 80 คะแนนเลยนะ เรา cover มันมากโขแล้วด้วยซ้ำ สิิ่งที่เราควรทำคือตบบ่าปุๆให้กำลังใจตัวเอง ผิดได้พลาดได้ ไม่เป็นไร มันไม่ได้ทำให้เราเป็นคนชั่วร้ายอ่ะ
5. you are not defined by that one or two overlooked emails , forgotten to-do list when things get too overwhelmed and those he-said- she-said.
you are you, in your own terms.
6.ในขณะเดียวกันเราก็ไม่ได้ romanticize ความผิดพลาดนะ human error เกิดขึ้นได้ แต่ก็ถูกควบคุมได้เหมือนกัน เช่น แบบ เราทำผิดพลาดเรื่องเดิม สปอตเดิมซ้ำๆ อันนี้ต้องคุยกับตัวเองแล้วเหมือนกันว่าจะเอาไงต่อดี หนึ่ง สอง สาม อะไรคือ preventive actions แต่ก็ยังต้องใจดีกับตัวเองในโพรเซสนั้นอยู่ดี คือเรากำลังหาทางสงบศึก make peace กับมันอ่ะ ไม่ใช่หาทางลงโทษตัวเอง เพราะ ณ จุดนั้น เราก็ได้รับโทษมาในทางใดทางนึงแบบหอมปากหอมคอแล้ว
7. อย่าให้ใครมาบอกเราว่าเราทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่ได้ เพราะเราไม่มีความสามารถพอ ไม่มีวัตถุดิบเพียงพอที่จะลงมือทำอะไรสักอย่าง
คิดเรื่องนี้เยอะเหมือนกันว่าต่างจาก feedback มั้ย แต่เรารู้สึกว่า feedback ที่ดี ที่ constructive มันเวิร์คอีกแบบ มันจะไม่กรีดนิ้ว point out ว่าเรามันแย่แบบนั้นแบบนี้ แต่มันจะบอกว่า how it can be done better / how can it be done differently.
8. เราว่าธีมที่เราเขียนๆมาพยายามเตือนตัวเองให้ใจดีกับตัวเองเยอะๆ เพราะมันเป็น issues ที่เราจำเป็นต้อง work on อย่างสม่ำเสมอเหมือนกัน ไม่ง่ายเลยที่ต้องฝึกมองตัวเราเป็นมนุษย์คนนึง ผิดได้ เจ็บได้และร้องไห้เป็น
ในโลกนี้มีคนพร้อมแกงเราเยอะแล้ว เราต้องอย่าชิงแกงตัวเองก่อน
9. เราเข้าใจประโยคที่ว่า you accept the love you think you deserve จาก the perks of being a wall flower มากขึ้น
หลายๆครั้ง เราติดอยู่ในความสัมพันธ์ที่แสนจะ toxic แล้วก็คิดว่านี่อาจจะเป็นอะไรที่ดีที่สุดเท่าที่คนอย่างเราจะหาได้แล้วมั้ง แบบ เออ มันก็คงได้เท่านี้แหละวะ
10. แต่เชื่อมั้ยว่าความรักดีๆยังมี
ความรักดีๆจะไม่ทำให้คุณรู้สึกว่าสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของเราตกต่ำ รักเค้าจนลืมรักตัวเอง หรืออะไรเถือกๆนั้น ไม่รักเค้าจนตัวตาย
ความรักดีๆจะทำให้คุณอยากรอดไปพร้อมๆกัน มีความหวัง คุณอยากมีชีวิตอยู่ คุณเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น คุณจะรู้สึกสงบ หายใจหายคอคล่อง ไม่รู้สึกเหมือนหัวใจของคุณเต้นร่าเหมือนถูกเผาทั้งเป็น ไม่ต้องมาคอยจี้ถามคำถามประเภทที่ถูกถามในรายการวิทยุ ชีวิตไม่เป็นละครน้ำเน่าแย่งผัวแย่งเมีย
ถีงเวลาสัญชาตญาณจะบอกคุณเองว่านี่แหละคนนี้
11. หวังว่าโพสต์นี้และโพสต์อื่นๆจะไม่ถูกมองเป็นไลฟ์โค้ช พลีส ขอที 5555 เกลียดมาก คุณเป็นใครถึงมาบอกว่าคนนั้นคนนี้ควรใช้ชีวิตยังไง แล้วชีวิตดีๆก็ไม่มีสูตรสำเร็จ และส่วนมากก็เป็นเรื่องของเรา เงื่อนไขของเรา
12. รู้สึกว่าสังคม tame เราให้เช่ือง แต่ในหลายๆที การยืนหยัดในสิ่งที่ตัวเองเชื่อมันถูก fuel ด้วยความดื้ออ่ะ รู้สึกเป็นเด็กเวรนิดหน่อย แต่มันจะผ่านไปอ่ะ การสลัดโซ่ตรวนมันเจ็บปวดเสมออยู่แล้ว แต่ก็เป็นความเจ็บปวดชนิดดี
13. ทุกอย่างคือการเมือง การเลือกทำ/ไม่ทำอะไรสักอย่างเป็นการเมือง ประเทศเราเหมือนคอยพร่ำสอนว่าการเมืองเป็นเรื่องที่สกปรก ไม่ควรเข้าไปยุ่ง แต่มันเป็นเรื่องที่กำหนดชีวิตเราอ่ะ ทำไมเราถึงไม่ควรไปยุ่งอ่ะ
คุณว่าฟุตพาธตรงถนนที่เกยกันทุลักทุเลแบบนั้น เป็นเพราะว่าซุสไม่พอใจเลยฟาดสายฟ้าลงมา หรือเพราะว่าผู้ที่มีอำนาจในมือไม่ได้เข้าไปดูแล บูรณะมันอย่างจริงจัง ?
14. integrity is systematic. and those very systems are collapsing all over the world at the same particular times. what a great time to be alive.
15. สกิลหรือความรู้ที่ไม่ได้ marketable ไม่ได้แปลว่ามันไม่สำคัญ แค่มันไม่ได้ substantially generate รายได้ ไม่ได้แปลว่าโลกไม่ได้ต้องการมัน เราเสียดายที่หลายๆศาสตร์ถูกลดทอนความสำคัญลงไปแค่เพียงเพราะเหตุนี้
16. เอาจริงๆ ที่บ้านเมืองเรามีปัญหาก็เพราะขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่ควรจะเป็นเรื่องพื้นฐานอย่างเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม รึเปล่า สิ่งการศึกษาเรื่องพวกนี้มันอาจจะไม่ marketable แต่มันเป็น foundation ในการใช้ชีวิตอ่ะ เรื่องนี้คุณไม่เข้าใจ เรื่องอื่นมันจะไปต่อยังไงไหว
ทุกวันนี้ที่บ้านเมืองเละเทะแบบนี้ไม่ใช่เพราะคนของเราขาดความรู้เรื่อง business คนเก่งเยอะแยะถมเถ แต่ดินที่ไม่ดี มันก็ไม่มีอะไรเจริญเติบโตได้อ่ะ
17. และถ้าประเทศเราเป็นดิน ก็เป็นดินที่ propaganda น้อยใหญ่พร้อมจะสะพรั่งกลายเป็น -misconception เป็นไม้เลื้อยร้ายกาจพร้อมจะเติบโตเพื่อไปบดบังความจริง บางต้น รากลึกและต้นใหญ่เกินกว่าจะถอน จะโค่น
18. ไม่แน่ใจว่าจะเห็นด้วยกับคำว่า 'เวลาอยู่ข้างเรา' มั้ย บางครั้งฟังแล้วความหวังในตาลุกเป็นประกาย บางครั้งฟังแล้วนัยน์ตาหม่นแสง แค่รู้สึกว่าเวลาไม่เคยอยู่ข้างใครทั้งนั้น
เวลาก็เป็นแค่สิ่งที่ผ่านมาแล้วผ่านไป ไหลย้อนคืนไม่ได้ ถ้าเราปล่อยให้เวลาไหลผ่านตัวเราไปซะเฉยๆแบบนั้น
เวลาอาจจะอยู่ข้างเราก็ต่อเมื่อเราลงมือทำอะไรสักอย่าง
19. รู้สึกว่าชีวิตกรุงเทพนี่ stick with the now ได้ยากมาก เหมือนมันไม่ค่อยอนุญาตให่้เราทำแบบนั้นเท่าไหร่ บางทีเราใช้เวลาในหัวเราไปล่วงหน้าแล้วอ่ะ ชีวิตที่ต้องเผื่อเวลาไว้เสมอ
มีบางทีตื่นมาสิบโมงแล้วต้องไปทำอะไรข้างนอกต่อ ตอนบ่ายสาม ก็คือนั่งไม่อยู่ตูดแล้ว แค่อาบน้ำ แต่งตัว เผื่อรถติด เผื่อบีทีเอสพัง ก็คือพอ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว กุลีกุจอออกจากบ้านเลยแล้วกัน
20. ถ้าต้องพัก คือไปพัก แล้วมาลุยต่อ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in