ก่อนที่มิชชันนารีคิมฮักชอล จะได้รับการชำระบาป เขาได้เติบโตมาในหมู่บ้านชนบทที่ยากจนแห่งหนึ่งโดยมีความฝันว่าอยากจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้และไปอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ เพราะที่นั่นน่าจะมีสิ่งที่เรียกว่าความสุขรออยู่ จึงได้ตั้งใจอ่านหนังสือจนกระทั่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ในที่สุด แต่ว่ายิ่งเวลาผ่านไปมากขึ้นเท่าไหร่กลับยิ่งรู้สึกถึงความว่างเปล่าของชีวิตในวัยนักศึกษามากขึ้นเท่านั้น
**คริสตจักรข่าวประเสริฐกำลังเผยแพร่ข่าวประเสริฐ โดยการส่งมิชชันนารีกว่า 230 คน ไปยังคริสตจักรในต่างประเทศเป็นจำนวนกว่า 200 แห่ง ในปี 2020 นี้จะมีการถ่ายทอดเรื่องราวของมิชชันนารี คิมฮักชอล อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันประเทศไทยได้ก่อตั้งคริสตจักรจำนวน 7 แห่ง มีมิชชันนารีจำนวน 3 ท่าน และผู้รับใช้ท้องถิ่นจำนวน 7 ท่าน ขอให้ทุกท่านโปรดช่วยอธิษฐานเพื่อผู้ที่มีความสนใจในการเผยแพร่อีกเป็นจำนวนมาก
สถานที่ที่ผมเกิดนั้นเป็นหมู่บ้านแห่งหนึ่งในชนบทซึ่งยากจนมากๆ ต้องใช้ชีวิตในสภาพที่ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง มีเพียงแค่แสงสว่างจากตะเกียงเท่านั้น ผมต้องเดินไปโรงเรียนทุกวันเป็นระยะทางประมาณ 4 -5 กิโลเมตร ถ้าสภาพอากาศดีหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากวันไหนฝนตกก็ต้องเดินตากฝนโดยไม่มีร่มกลับมาบ้านซึ่งใช้เวลา 1 ชั่วโมง การที่เดินตากฝนมันก็ยังรู้สึกไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาที่หิมะตก ผมรู้สึกว่าหูกับจมูกของผมแทบจะหลุดออกมา ส่วนเท้าก็แข็งจนไม่มีความรู้สึก ผมได้อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนั้นจนกระทั่งจบการศึกษาระดับมัธยมตอนต้น ตั้งแต่ในช่วงประถมจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนต้นเป็นเวลา 9 ปี ผมไม่เคยขาดเรียนเลยแม้แต่ครั้งเดียว มีบางครั้งที่ผมรู้สึกไม่สบายก็จะบอกกับแม่ว่า “แม่ ผมไปโรงเรียนไม่ไหว” แต่แม่กลับบอกว่า “ต่อให้จะป่วยตาย ก็ไปตายที่โรงเรียนเถอะ”
ในสมัยนั้นผู้คนอยู่ในสภาพที่อดอยากแร้นแค้นบ้านของผมเองก็ไม่ได้มีเงินหรือมีข้าว ก็เลยไม่สามารถเอาข้าวกล่องไปกินที่โรงเรียนได้ แต่ว่าทางโรงเรียนจะมีการแจกขนมปังให้ในมื้อกลางวัน ความจริงแล้วต่อให้กินขนมปังชิ้นนั้นหมดทั้งชิ้นก็แทบจะไม่ช่วยทำให้คลายหิวเลย
แต่ผมเลือกที่จะกินเพียงแค่ครึ่งหนึ่งก่อนส่วนอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือผมตั้งใจเก็บเอาไว้เพื่อไปกินที่บ้านในช่วงเวลาเย็น ผมจึงเอาผ้าห่อขนมปังแล้วก็เอากลับบ้านแต่ระหว่างทางกลับบ้านมักจะมีพวกวัยรุ่นในหมู่บ้านที่แอบมาซุ่มอยู่ระหว่างทางเพื่อคอยแย่งขนมปังและพอถูกพวกพี่ๆแย่งขนมปังไปผมก็ได้แต่ร้องไห้แล้วก็เดินกลับบ้าน บางครั้งเพราะไม่อยากจะถูกแย่งขนมปัง ก็จะเลือกเดินอ้อมไปทางภูเขาที่ไกลออกไป ซึ่งถ้าเดินไปทางนั้นจะต้องใช้เวลา 2 – 3 ชั่วโมงกว่าจะกลับถึงบ้าน
เมื่อเดินทางกลับถึงบ้านก็จะเป็นเวลาที่ความมืดเริ่มปกคลุม หมู่บ้านของพวกเราที่อาศัยอยู่บริเวณตีนเขา ถ้ามองดูเป็นเสมือนหิ่งห้อยที่กำลังส่องแสง และเป็นสภาพที่เลือนรางเหมือนแสงไฟอ่อน ๆ ในตะเกียงท่ามกลางความมืด ที่ไม่นานก็จะดับลง สำหรับผมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความยากจน ความเศร้าหมอง ความกลัว สภาพแบบนี้ผมไม่ชอบที่จะเข้าไปใกล้มันเลย
ห่างออกไปจากภูเขานั้น 50 กิโลเมตร จะมีเมืองที่ชื่อว่าอิกซาน ถ้ามองไปที่นั่น แม้ว่าจะเป็นเมืองที่อยู่ไกลออกไป แต่ว่าแสงไฟกลับส่องสว่างยิ่งกว่าในหมู่บ้านของผมซะอีก
“โอ้โห! ...ใครกันนะที่อาศัยอยู่ที่นั่น ที่นั่นคงจะมีแต่คนที่มีเงินเยอะๆ คนที่เรียนเก่งๆ คนที่ฉลาดๆ แล้วก็คนหน้าตาดี อยู่ที่นั่นแน่ๆเลย ส่วนฉันเองเรียนไม่เก่ง ถ้าฉันเรียนจบมัธยมต้นแล้วจะไปอาศัยอยู่ที่เมืองแบบนั้นได้บ้างไหมนะ ฉันเองก็อยากใช้ชีวิตอยู่ในที่แบบนั้นบ้าง ทำยังไงคนอย่างฉันถึงจะไปอยู่ที่นั่นได้นะ” ผมมีความคิดมากมายเกิดขึ้น
ถ้าต้องการจะเข้าเรียนต่อในโรงเรียนมัธยมปลายที่อยู่ในเมืองได้นั้นจะต้องตั้งใจเรียนเป็นอย่างมาก ในสมัยนั้นโรงเรียนมัธยมต้น ที่ผมเรียนอยู่มีนักเรียนทั้งหมดประมาณ 280 คนแต่ว่าในบรรดานักเรียนทั้งหมดจะมีเพียงแค่ 30 -40 คนเท่านั้น ที่จะได้เรียนต่อระดับมัธยมปลาย
หมายความว่าอีกประมาณ 250 คนที่เหลือ ก็ต้องกลับไปทำไร่ทำนา หรือหาเงินด้วยการไปทำงานที่โรงงาน สรุปก็คือแม้ว่าจะเรียนเก่งแค่ไหนแต่จาก 280 คน อย่างน้อยผลการเรียนจะต้องอยู่ใน 30 อันดับแรก แต่ผมอยู่ประมาณอันดับที่ 40
“แล้วฉันจะสามารถไปเรียนต่อในเมืองได้ไหม” ผมรู้สึกกังวลกับเรื่องนี้
เพราะอย่างนั้นเมื่อผมกลับจากโรงเรียนมาถึงบ้าน ต่อให้ดึกแค่ไหนก็ต้องนั่งอ่านหนังสือภายใต้แสงไฟของตะเกียงอันริบหรี่ พอเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยและง่วง แต่ว่าก็ยังต้องนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะต่อไป หลังจากนั้น เมื่อเวลาผ่านไปได้สัก 20 – 30 นาที ก็ได้ยินเสียงคนเรียก
“ฮักชอลเอ้ย...” ไม่รู้ว่าเป็นเสียงแม่เรียกหรือใครเรียก พอได้ยินเสียงเรียกแบบนั้นก็สะดุ้งตกใจ จึงลืมตางัวเงียตื่นขึ้นมา
“เอ๊ะ ใครเรียกฉันนะ” พอมองเข้าไปในห้องก็เห็นแม่ที่กำลังนอนหลับอยู่ และในห้องครัวก็ไม่มีใครอยู่เลย แต่ว่าสักพักก็ได้กลิ่นเหมือนปลาหมึกปิ้ง
“หรือว่าแม่เห็นฉันที่ตั้งใจอ่านหนังสือก็เลยปิ้งปลาหมึกไว้ให้นะ” แต่ว่ามันก็แปลกนะ แม่ยังนอนหลับในห้องอยู่เลย เอ๊ะ หรือว่าตอนที่ฉันเผลอหลับไป จะเป็นกลิ่นปลาหมึกปิ้งในฝันนะ”
ขณะที่กำลังงัวเงียอยู่ก็ได้คิดไปต่างๆนานา แต่พอจับไปที่ผมของตัวเองถึงได้รู้ว่าผมด้านหน้าได้ไหม้ไปแล้ว เส้นผมที่ถูกไฟจากตะเกียงไหม้เป็นกลิ่นที่เหมือนกับปลาหมึกปิ้งนี่เอง “โอ๊ย...ผมไหม้หรอกหรอเนี่ย เพื่อนต้องล้อแน่เลย ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่ารีบตั้งสติแล้วอ่านหนังสือต่อดีกว่า” ผมตั้งใจอ่านหนังสืออีกครั้ง สักพักก็ตื่นขึ้นอีก เพราะเหมือนได้ยินเสียงของแม่เรียกอีกครั้ง แต่แม่ก็ยังหลับอยู่และยังได้กลิ่นเหมือนปลาหมึกปิ้งเหมือนเดิม ก็เลยลองจับไปที่ผมข้างหน้าดูปรากฏว่าผมก็ไม่ได้ไหม้นี่นา
“ถ้าอย่างนั้น ที่ไหนไหม้อีกล่ะคราวนี้” พอลองจับไปที่คิ้วปรากฏว่าครั้งนี้ คิ้วไหม้นี่เอง “ถ้าไปโรงเรียนเพื่อนก็จะล้อว่าเป็นไอ้คนโรคเรื้อนแน่ ๆ เลย” พอคิดแบบนี้ก็รู้สึกอายแล้วก็ไม่อยากไปโรงเรียน
ถ้าอย่างนั้นวันพรุ่งนี้บอกกับแม่ว่า "ไม่สบาย ไปโรงเรียนไม่ได้ดีกว่า" แต่แม่ก็คงจะถือไม้เรียวมาตีผม ถึงยังไงก็ต้องสั่งให้ผมไปโรงเรียนแน่นอน เพราะว่าตอนนั้นกลัวแม่มาก ๆ ก็เลยต้องไปโรงเรียน แล้วก็เป็นตามคาดจริง ๆ เพื่อน ๆ ที่โรงเรียนก็พากันล้อเลียนผม ความจริงแล้วมันมีช่วงเวลาหลายครั้งที่ผมไม่อยากไปโรงเรียนแต่ก็ต้องไป “ถ้าเรียนหนังสือเก่ง ๆ ก็จะกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียง มีฐานะ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้” ผมก็เลยต้องตั้งใจเรียนตามจุดมุ่งหมายที่แม่เคยบอกไว้
ถ้าตั้งใจเรียนแบบนี้ ฉันก็ทำได้สิ
ถ้าตั้งใจเรียนหนังสือแบบนี้ไปเรื่อย ๆ มันก็น่าจะได้นะ ก็เลยพยายามอยู่อย่างนั้น สุดท้ายผลแห่งความพยายามทำให้ผมสามารถสอบผ่านและเข้าเรียนต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายได้ ผมจึงสามารถเข้าไปเรียนต่อในเมืองได้สำเร็จ เมื่อถึงช่วงเวลาเปิดเทอมในฤดูใบไม้ผลิพอได้เห็นเพื่อน ๆ ในห้องก็รู้สึกว่าเพื่อนๆเหล่านั้นดูแตกต่างจากผมที่เป็นคนบ้านนอก พวกเขาดูท่าทางน่าจะเรียนเก่ง ๆ กันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเวลาที่ผมไปถึงโรงเรียนก็จะไปนั่งที่โต๊ะหนังสือแล้วก็บอกกับตัวเองว่า
“ต้องอ่านหนังสือนะ” ในขณะที่เพื่อนคนอื่นเมื่อมาถึงโรงเรียนก็จะโยนกระเป๋าหนังสือทิ้งไว้ แล้วก็ไปวิ่งเล่นกัน พอเป็นแบบนั้นในใจผมก็คิดว่า
“เพื่อนพวกนั้น ต่อให้เขาไม่ทบทวน ไม่อ่านหนังสือก็เรียนเก่งกันอยู่แล้ว ถึงจะเล่นกันแบบนั้นก็ไม่เป็นไร แต่ในบรรดาเพื่อนๆ 50 คน ฉันก็คงจะอยู่ลำดับที่ 40-50 แน่ ๆ เลย ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงจะรู้สึกอายมากสินะ แล้วจะเรียนต่อที่โรงเรียนได้ยังไง” พอได้คิดแบบนี้ผมก็เลยตั้งใจเรียนมาก ๆ ในช่วงเวลานั้น
ช่วงเวลาที่ไปโรงเรียนแม้เป็นช่วงเวลาพัก ผมก็ไม่เคยเล่นเลย หรือในช่วงเวลาอาหารกลางวันผมก็ไม่เคยวิ่งเล่นไปมาเหมือนกับเพื่อนคนอื่น ๆ ทุกครั้งที่มีเวลาผมก็จะนั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะ ภายหลังเมื่อเข้าสู่ช่วงมัธยมปลาย ตอนที่สอบครั้งแรกก็คิดว่า “จะสอบได้ที่เท่าไหร่นะ ถ้าได้อยู่ใน 20 อันดับแรกก็ถือว่าดีแล้ว จากบรรดาเพื่อน ๆ 50 คน หรือฉันจะได้ที่ 40 หรือว่าที่ 50 รึเปล่านะ” ต่อมาเมื่อมีการประกาศผลสอบปรากฏว่าผมสอบได้ที่ 2 ตอนนั้นผมเลยได้คิดว่า “ถ้าตั้งใจอ่านหนังสือ ฉันก็ทำได้นี่นา”
ทุกๆเช้าในช่วงคาบโฮมรูมเมื่อตอนที่คุณครูประจำชั้นกำลังจะเข้ามาที่ห้องเรียน เพื่อนๆที่กำลังเล่นกันอยู่ จะมีคนหนึ่งตะโกนว่า “ครูมาแล้ว” และทุกคนก็จะลุกลี้ลุกลนรีบกลับเข้าที่นั่งของตัวเอง ส่วนผมเองนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะนั้นอยู่แล้ว เมื่อคุณครูเข้ามาเห็นก็จะพูดกับเพื่อนๆในชั้นเรียนของเราว่า “พวกเธอหัดอ่านหนังสือเหมือนกับฮักชอลบ้างสิ”
พอผมได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกอารมณ์ดีมาก ๆ “ถ้าตั้งใจเรียนแบบนี้ มันก็ได้นี่นา” คุณครูก็ชมด้วย บางครั้งเพื่อนก็เอาขนมปังมาแบ่งให้ด้วย สำหรับผมตอนนั้นการไปโรงเรียนหรือการเรียนหนังสือก็เลยเป็นสิ่งที่สนุกมากๆ ผมมีใจว่า “ถ้าฉันตั้งใจเรียน ฉันก็ทำได้”
ตอนที่เรียนอยู่ระดับมัธยมปลายจะมีการไปทัศนศึกษาอย่างน้อย 1 ครั้ง ตอนนั้นผมอยู่ม.5 ขณะนั้นเป็นเวลา 4 วัน 3 คืน ที่มีการทัศนศึกษาโดยไปตั้งเต็นท์อยู่ที่บริเวณภูเขาโซงนี และจะมีการเดินเที่ยวขึ้นไปจนถึงจุดที่สูงที่สุดของภูเขา เพื่อนของผมทั้งหมดต่างก็ไปทัศนศึกษากันเหลือผมเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นที่มาโรงเรียน แต่ว่าต่อให้ผมไม่ไปทัศนศึกษาผมก็ไม่ได้ไปเที่ยวเล่นที่ไหน ผมเอาแต่อ่านหนังสืออย่างเดียว ผมคิดว่าในเวลาที่คนอื่น ๆ เล่นกันและเรามัวแต่ไปเล่นกับเขาด้วย แล้วอย่างนี้จะได้ผลลัพธ์ที่ดีได้อย่างไรกัน ผมจึงคิดว่าการใช้ชีวิตของผมแบบนั้นจะทำให้ผมเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีได้
การได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเป็นเหมือนดั่งความฝัน
เมื่อจบการศึกษาระดับชั้นมัธยมปลายผมก็สอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่ผมสอบไม่ผ่าน จึงรู้สึกสิ้นหวังมากๆ รู้สึกกลัวกับการไปเจอเพื่อน ๆ และไม่อยากจะเจอกับญาติ ๆ ด้วย ทำให้ผมต้องเรียนอีกเป็นเวลา1 ปี ถึงจะไปสอบอีกครั้งได้ แต่ปรากฏว่าผมก็สอบตกอีก หลังจากนั้นผมได้ไปที่บ้านของพี่สาว และนี่คือคำพูดที่พี่สาวพูดกับผม
“ฉันอายเหลือเกินที่มีน้องโง่ ๆ อย่างเธอ ไว้เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เมื่อไหร่ค่อยมาบ้านฉัน จนกว่าจะถึงวันนั้น อย่ามาที่นี่อีกนะ” ในใจของผมเองคิดว่า “เพราะว่าสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ พี่สาวก็เลยทิ้งผม เพื่อนก็ทิ้งผม” ถ้าอย่างนั้นผมจะต้องตั้งใจอ่านหนังสือให้มากกว่านี้ เพื่อที่จะเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ ท้ายที่สุดผมสอบผ่านเข้ามหาวิทยาลัยได้ในการสอบครั้งที่ 3
ผมดีใจจนรู้สึกเหมือนตัวเองบินได้เลยทีเดียว ผมได้คิดว่า “นี่สินะอิสระและความสุขในการใช้ชีวิตเป็นแบบนี้” ตั้งแต่ในวัยเด็กความฝันที่จะได้เข้าไปใช้ชีวิตในเมืองใหญ่และเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยก็ได้กลายเป็นความจริงขึ้นมา
ฉันกำลังทำอะไรอยู่ที่นี่
เมื่อตอนที่เรียนอยู่ชั้นปีที่ 1 ผมก็เริ่มกินเหล้า สูบบุหรี่ ในวันเสาร์อาทิตย์ที่ไม่มีเรียนผมจะออกไปเที่ยวอยู่เป็นประจำ ไปเดินเขาบ้าง ไปปีนเขาบ้าง ไปทะเลบ้าง ผมไปเที่ยวแบบนั้นอยู่เสมอ และคิดว่า
“การใช้ชีวิตแบบนี้ ช่างมีความสุขจริง ๆ ” พอได้ไปเที่ยวเล่นแบบนั้นบ่อยครั้งเข้า ก็กลายเป็นคนที่ชอบดื่มเหล้ามากๆ ตอนหลังผมดื่มเหล้าเยอะมากจนตื่นไม่ไหว จึงไม่สามารถไปเรียนได้ ทำให้ขาดเรียนสมอ
“นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่ที่นี่ ฉันใช่นักเรียนหรือเปล่า ตอนเด็กฉันคิดว่าถ้าได้มาอยู่ในเมืองแบบนี้ก็จะทำให้มีความสุข แต่นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่ที่นี่กันแน่”
เพื่อนร่วมชั้นเรียนสมัยมัธยมต้นของผมที่สามารถเข้ามหาวิทยาลัยได้มีไม่ถึง 10 คน ผมเองได้กลายเป็น 1 ใน 10 คนนั้นที่เข้ามหาวิทยาลัยได้เช่นกัน เวลาผมกลับไปที่บ้านเกิด เมื่อพวกเพื่อน ๆ เจอผมก็จะพากันอิจฉาบอกว่า “โห..นี่เธอได้เป็นนักศึกษาด้วยหรอ ดีจังเลย” หรือบรรดาญาติ ๆ ทั้งหมดต่างก็พากันชื่นชมและอิจฉาผม ส่วนพ่อที่เห็นผมตั้งใจเรียนก็จะให้เงินผมไว้เพื่อซื้อหนังสือ ต่อหน้าพ่อกับแม่ผมดูเหมือนเป็นนักศึกษา แต่เมื่อกลับเข้าไปในเมืองผมก็กลับเอาแต่เที่ยวเล่นและไม่ยอมเข้าเรียน
ผมเอาแต่เที่ยวเล่นแล้วก็ดื่มเหล้า บางครั้งก็เมาจนนอนหลับข้างทาง หรือแม้แต่เผลอหลับที่หน้าสถานีรถไฟก็ทำมาแล้ว พอตื่นขึ้นในตอนเช้า “ฉันเคยคิดว่าถ้าเรียนเก่ง ๆ ได้เข้ามาใช้ชีวิตในเมืองก็จะมีความสุข แต่นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่กันแน่” ในใจผมเริ่มรู้สึกละอายและรู้สึกทุกข์ทรมานกับสิ่งนั้น
เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงปี 3 ผมคิดว่าจะต้องตั้งสติและต้องตั้งใจอ่านหนังสือได้แล้ว ผมจึงรีบไปที่ห้องสมุดตั้งแต่เวลาตี 4 เพื่อไปจองที่นั่ง ในช่วงเช้ามืดของมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนอยู่ ถึงแม้ประตูห้องสมุดยังไม่เปิดแต่ก็จะมีนักศึกษาประมาณ 200 – 300 คน มายืนต่อแถวรออยู่ที่บริเวณบันไดหน้าห้องสมุด นักศึกษามากมายอยากจะรีบเข้าไปจองที่นั่งด้านในสุดเพราะเป็นที่ที่เงียบและไม่มีคนพลุกพล่าน ถ้านั่งอ่านหนังสืออยู่บริเวณหน้าประตู คนมักจะเดินผ่านไปผ่านมาทำให้ไม่มีสมาธิ ก็เลยไม่มีใครอยากนั่งบริเวณนั้น ถ้าเป็นช่วงสอบเพื่ออยากจะอ่านหนังสือที่นั่นถึงกับมีคนเอาเต็นท์มากางรออยู่ที่หน้าห้องสมุดด้วย
ที่ชั้น 4 ของห้องสมุด จะมีห้องสำหรับอ่านหนังสืออยู่ ห้องสมุดจะเปิดตั้งแต่เวลาเช้ามืด มีนักเรียนจำนวนมากมายืนรอเพื่อที่จะเข้าไปจองห้องอ่านหนังสือแบบนั้น เพราะว่าอยากจะได้ที่นั่งที่ดี ๆ ทันทีที่ประตูห้องสมุดเปิดนักศึกษามากมายก็พากันวิ่งพุ่งขึ้นไปบนบันได จนวันหนึ่งมีนักศึกษาหญิงคนหนึ่งล้มลงอยู่ที่บันได คนที่อยู่ข้างหลังนักศึกษาหญิงคนนี้ก็ตะโกนขึ้นว่า “ตรงนี้มีคนล้มอยู่ อย่าเพิ่งขึ้นมานะ” แต่ว่าคนที่อยู่ด้านหลังไม่ได้ยินเสียงนี้จึงผลักแล้วก็ดันกันขึ้นมาข้างหน้าเรื่อย ๆ พวกนักศึกษาผลักกันมาเรื่อย ๆ จนเหยียบนักศึกษาหญิงคนนั้นขึ้นไป ผมรู้สึกเศร้าใจที่เห็นเหตุการณ์แบบนั้น
“ นี่คือมหาวิทยาลัยจริงหรือ ทำแบบนี้แล้วจะมีความสุขขึ้นอย่างนั้นหรือ "
ในวัยเด็กผมเคยคิดว่ามหาวิทยาลัยเป็นสถานที่อันชวนฝันและดูอิสระ แต่เมื่อได้เข้าไปแล้วมุมมองที่เคยมองมหาวิทยาลัยจากภายนอกกับเมื่อตอนที่ได้เข้าไปอยู่ข้างในจริงๆ กลับแตกต่างกัน ที่นั่นเต็มไปด้วยการแข่งขันที่ดุเดือดเสียยิ่งกว่าการเรียนในระดับมัธยมปลาย ตอนที่ผมยังอยู่ชั้นมัธยมปลายเวลาเห็นนักศึกษาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและมีเข็มมหาวิทยาลัยติดอยู่ที่เสื้อ สิ่งนั้นมันส่องแสงสว่างราวกับดวงดาว “เมื่อไหร่นะ ที่ฉันจะได้ติดเข็มแบบนั้นบ้าง เมื่อไหร่นะ ที่ฉันจะมีดาวแบบนั้นติดบ้าง” ด้วยความคิดนี้ผมจึงทุ่มเทและตั้งใจอ่านหนังสือเพื่อที่จะเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ แต่เมื่อเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วกลับไม่ได้พบความสุขอย่างที่คิดไว้เลย
"ผมคิดว่าผมต้องเรียนหนังสือเท่านั้นถึงจะมีความสุข"
"ตั้งแต่มัธยมปลายผมคิดว่าถ้าเข้ามหาวิทยาลัยได้จะมีความสุขก็เลยพยายามตั้งใจเรียนมาตลอด แต่เมื่อมาถึงจุดนี้กลับพบว่าไม่มีความสุข ถ้าอย่างนั้นการที่ได้เรียนจบมหาวิทยาลัย ได้ทำงานที่ดี ได้แต่งงาน ถ้าไปถึงจุดนั้นแล้วจะมีความสุขอยู่ที่นั่่นจริงหรือเปล่า”
ในใจของผมเต็มไปด้วยความคลุมเครือ ความไม่แน่ใจ เพราะสิ่งที่จินตนาการวาดฝันไว้ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยกับความเป็นจริงนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยคงจะมีสภาพไม่แตกต่างจากความจริงนี้ ผมได้คิดว่า “เพื่อที่จะมีความสุขจะต้องเดินไปเรื่อย ๆ บนโลกแบบนี้หรือ สิ่งที่จะมารับประกันความสุขให้นั้นคงได้แต่ต้องแขวนชีวิตไว้กับการเรียน”
เมื่อได้มาถึงจุดที่เคยวาดฝันไว้ แต่กลับไม่มีความสุขอย่างที่คาดคิด ผมรู้สึกว่างเปล่ามาก ๆ ตอนนั้นเป็นความรู้สึกที่สิ้นหวังและว่างเปล่าอย่างที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้เลย
ทำได้แต่เพียงถอนหายใจออกมาเท่านั้น
ระดับชั้นประถมใช้ระยะเวลาเรียน 6 ปี จากนั้นระดับมัธยมต้นถึงมัธยมปลายเรียนอีก 6 ปี รวมกับที่ต้องเรียนซ้ำแล้วสอบเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ รวมเป็นเวลา 14 ปี ต่อจากนั้นเข้าไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยอีก 4 ปี รวมทั้งหมดเป็นเวลา 18 ปี
ในช่วงเวลานั้นชีวิตของผมเหมือนกับพระคำใน ลูกา บทที่ 13 ข้อที่ 11
“มีผู้หญิงคนหนึ่งที่มีผีเข้าสิงซึ่งทำให้นางเป็นโรคมาสิบแปดปีแล้วอยู่ที่นั่นด้วย หลังของนางก็โกง ยืดตัวขึ้นไม่ได้เลย” มีเรื่องของผู้หญิงแบบนี้อยู่ในพระคัมภีร์ สภาพของผู้หญิงหลังโก่งที่ถูกผีเข้าสิงทำให้ไม่สามารถยืดตัวขึ้นได้ นั่นก็เป็นสภาพของผมเช่นเดียวกัน
ตั้งแต่ตอนเด็กผมคิดว่า “ถ้าฉันเรียนเก่งก็จะได้ไปอยู่ในเมืองแล้วใช้ชีวิตที่ยืดอกต่อหน้าคนอื่น ๆ ได้” ก็เลยตั้งใจเรียนจนกระทั่งได้เข้ามาเรียนมัธยมปลายในเมืองแล้วก็ยืนอยู่ต่อหน้าคนอื่น ๆ ด้วยความภาคภูมิใจ “เพื่อนของฉันยังไม่สามารถมาเรียนในเมืองแบบนี้ได้เลย แต่เพราะว่าฉันเก่งกว่าเพื่อนไงล่ะ ก็เลยสามารถมาเรียนในเมืองแบบนี้ได้” แต่ก็ยังมีคนที่นำหน้าไปก่อนอีก ถ้าจะต้องไล่ตามพวกเขาให้ทันฉันก็ต้องกลับมาอยู่ในสภาพหลังโก่งอีก ช่วงเวลาที่พยายามสอบเข้ามหาวิทยาลัยครั้งที่ 3 ตอนที่สอบผ่านก็กลับมายืดอกได้อีกครั้ง แต่เมื่อเรียนจบแล้ว เพื่อจะได้งานทำที่ดีกว่าเดิมก็ต้องตั้งใจเรียนให้มากขึ้นจึงทำให้กลับไปอยู่ในสภาพหลังโก่งอีก ผมยิ่งคิดว่า “ตายซะยังจะดีกว่าใช้ชีวิตไปโดยไม่มีความหวัง” ชีวิตก็ยิ่งจมลงสู่ความสิ้นหวังเรื่อย ๆ ผมได้แต่เพียงถอนหายใจออกมาเท่านั้น ภาระที่ผมแบกอยู่มันหนักมาก ๆ และทำไมภาระหนักนี้ไม่หายไปสักที “ทำยังไงจะได้งานที่ดีทำ ทำยังไงจะหาเงินได้ จะใช้ชีวิตยังไงต่อไปดี ความบาปของฉันจะถูกลบล้างได้ยังไง” ผมเต็มไปด้วยภาระหนักที่แบกไว้ จนภาระนี้กดทับลงบนตัวผม สิ่งนี้ยิ่งทำให้หลังของผมโก่งมากขึ้น
“ผู้หญิงคนนี้เป็นบุตรสาวของอับราฮัมซึ่งถูกซาตานผูกมัดไว้ถึงสิบแปดปีแล้ว ไม่ควรหรือที่จะให้นางหลุดพ้นจากเครื่องจำจองนี้ในวันสะบาโต” (ลูกา บทที่ 13 ข้อ 16)
ช่วงเวลา 18 ปีที่ผ่านมาชีวิตของผนเป็นเหมือนกับผู้หญิงคนนี้ที่ถูกผูกมัดจากมารซาตาน มารซาตานให้ความคิดว่า “ถ้าเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีได้ก็จะได้รับอิสระ ถ้าขยัน ตั้งใจทำงานก็จะหาเงินได้เยอะ ๆ และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้” และนี่คือความคิดของมารซาตานที่ใส่ให้เราเรื่อย ๆ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in