ช่วงวัยที่เราวิ่งเล่นด้วยความสนุกสนาน คงเป็นช่วงเวลาที่เราใช้มันไปอย่างสิ้นเปลื่องที่สุดแล้วละ เพราะเป็นวันเวลาที่เราปล่อยให้มันผ่านไปอย่างไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องรู้สึกอะไรมากมาย และไม่มีเรื่องอะไรที่จะทำให้เราเจ็บปวดได้เลย เพราะเราจะมีเกาะป้องกันความเจ็บปวดจากพ่อและแม่ไม่ว่าเราจะเจ็บปวดจากอะไรแม้จะมีน้ำตามากแค่ไหนก็จะมีคนที่พร้อมจะปลอบใจเราไว้ทุกเมื่อที่เราต้องการ เจ็บปวดมากสุดก็คงเป็นไม้เรียวของแม่ หรือ วิ่งสะดุดหกล้มหัวเข่าเป็นแผล คงมีแค่นั้นแหละที่เจ็บปวดสุด
ระยะเวลาล่วงเลยผ่านไป เราเติบโตและก้าวเดินออกมาด้วยความมั้นใจว่าเราโตแล้ว เราเก่ง เราแข็งแรง เรามีภูมิคุ้มกันจากโลกภายนอกได้ดี แต่ความเป็นจริงเราเป็นได้แค่มนุษย์ที่คิดว่าตัวเองเจ๋ง และพร้อมที่จะพบเจอกับปัญหาต่างๆได้อย่างไม่เกรงกลัวใดๆ แม้ว่าปัญหานั้นจะโหดร้ายแค่ไหนก็ตาม
บาดแผลของแต่ละคนก็คงไม่เหมือนกันแต่กต่างกันออกไป บางคนอาจจะมีแผลที่ใหญ่ บางคนอาจจะมีแผลที่ไม่ลึกมาก หรือบางคนอาจจะหลงเหลือไว้เป็นแค่เพียงรอยแผลเป็น ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เมื่อมองกลับมาที่รอยแผลนั้นความเจ็บปวดก็ยังชัดเจนเสมอ เสมือนว่าเรื่องราวของความเจ็บปวดนั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ความรักก็เช่นกันในหนึ่งบาดแผลล้วนทิ้งไว้ซึ่งความเจ็บปวดแม้ว่าความเจ็บนั้นจะหายไปแต่รอยแผลจะไม่มีทางหายไปแน่นอน
แต่สำหรับฉันแล้ว รอยแผลที่เกิดขึ้นไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นด้วยความเจ็บปวดขนาดไหน แต่อย่างน้อยมันก็เคยเกิดขึ้นจริง ความรู้สึกนั้นก็ของจริง ถึงแม้จะเจ็บปวดกับบาดแผล แต่บาดแผลก็เป็นตัวยืนยันได้ว่าครั้งหนึ่งความรักที่มีมันก็เคยเกิดขึ้นกับเรา แม้จะจบลงและหลงเหลือไว้แค่รอย อาจจะหลงลืมไปบ้างแล้ว แต่คุณเชื่อเถอะว่าเราไม่มีวันลืมมัน
“ แล้วตอนนี้คุณมีบาดแผลทั้งหมดกี่แผลกันแล้ว “
HalfMoon
27.09.17 / 23:44
#บันทึก #diary #me #life #ความรัก
เวลาปลอบใจเราจากบาดแผลได้ดีที่สุดเลยนะ