เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เมื่อวันที่ข้าพเจ้าป่วยเป็นโรคซึมเศร้า (Depression Diary)Tongg Pongsathorn
ซึมเศร้า Diary (9) มืดมิด
  • หลังจากตอนนี้อาจไม่ได้เขียนถี่แบบที่ผ่านมาแล้ว เพราะเหตุการณ์มันเข้ามาใกล้จนเกือบจะปัจจุบันแล้ว ไดอารี่ครั้งๆต่อๆไปอาจเป็นหลังจากพบหมอแต่ละครั้ง ถ้าเปลี่ยนแปลงมากก็จะเขียนต่อจนกว่าจะหายเป็นปกติดี

    หลังจากการพบหมอ การปรับตัวกับยาต้านเศร้าใช้เวลาอีกสองสามวันก็หายเวียนหัว ไม่คลื่นไส้ แต่ยังคิดได้ช้าเหมือนเดิมจนบางช่วงคิดไม่ออกก็มี แต่กลายเป็นว่ายาคลายเครียดที่ต้องช่วยให้หลับกลับไม่ช่วยอะไรเลย เราหลับตื่นๆทั้งเดือนทรมานอย่างมาก เรายังลุกจากที่นอนเพื่ออาบน้ำไปทำงานอย่างลำบาก เราปลุกตัวเองด้วยการกลิ้งลงจากที่นอน เราไปทำงานตามที่สภาพเราจะไหว เราใช้เหตุผลกับลูกสาวมากขึ้น พูดกันด้วยดีๆ ขอร้องกันดีๆ เช่น ถ้าลูกไม่ยอมเข้านอน เราก็จะบอกว่า "ถ้าหนูไม่นอนตอนเช้าพ่อจะไม่ไปส่งที่โรงเรียนนะ พ่อรักหนูนะ" "กินข้าวให้พ่อหน่อยนะคะ" ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราจะตะคอกใส่ลูกให้นอนเดี๋ยวนี้ บังคับให้กินข้าว จนลูกกลัวเรา แต่ตอนนี้ลูกสาวเชื่อฟังเรามากขึ้น ติดเรามากขึ้น เข้าหาเรามากขึ้น เราไม่เอาเรื่องที่ทำงานกลับมาบ้านเลยซักอย่างเดียว ไม่สนใจด้วยว่ามันจะเป็นยังไงเมื่อถึงที่บ้านแล้ว แม้ว่าทุกวันที่เราเจอยังคงน่าเบื่อเหมือนเดิมสำหรับเรา

    1 ธันวาคม 2560  ครบรอบหนึ่งเดือนตามหมอนัด เราเผื่อเวลาให้ใกล้เคียงกับเวลาที่นัด การพบหมอยังต้องชั่งน้ำหนัก วัดความดัน รอเรียกคิวเหมือนเดิม เราก็คิวแรกของหมออีกแล้ว แต่วันนี้เรามีปัญหามากกว่าที่คิด หมอก็เรียกเราเข้าไปในห้อง วันนี้เราไม่ค่อยมองหน้าหมอเลย เราก้มหน้าจับมือจับนิ้วตัวเอง หมอถามถึงอาการ เราบอกหมอไปว่าเป็นเดือนที่เรารู้สึกแย่มากๆ ถ้าคะแนนเต็ม 100 คะแนน เราคิดว่าเราอยู่แค่ระดับ 20-30 คะแนน หมอถามว่าทำไมถึงคิดแบบนั้น เราบอกหมอว่าเราไม่มีความสุขกับ เดือนที่ผ่าน เราไม่มีเป้าหมายในชีวิต เราไม่มีสิ่งที่อยากทำ เราไม่อยากทำอะไรเลย เราเหนื่อยที่ต้องตื่นขึ้นมาทุกๆเช้า เราเบื่อกับทุกๆอย่าง เราพลาดหนึ่งครั้งในเดือนที่บังคับลูกให้กินยาเพราะลูกไม่ยอมกิน เราเสียใจที่ตะคอกใส่ลูก ซึ่งมันน่าจะมีวิธีที่ดีกว่านั้น เรารู้สึกไม่มีใครเลย เราก็ไม่แคร์ใครเลยด้วยในอารมณ์ตอนนี้ บางคนเรารู้ว่าเราพูดไม่ดีใส่เขา ถ้าเจอคนไม่คิดอะไรก็โชคดีไป แต่ถ้าเจอคนสวนกลับมาไม่พอใจเราก็จะรู้สึกแย่ ซึ่งเราไม่ได้ตั้งใจใช้คำแบบนั้น ง่ายๆก็คือพูดไม่คิด พอเรากินยาแล้วเราคิดเรื่องของคนอื่นน้อยลงก็จริง แต่เรากลับคิดถึงเรื่องของตัวเองมากขึ้นแทน เราบอกหมอว่าเราสับสนว่าอะไรคือตัวตนของเราที่แท้จริง ตัวเราที่ต้องกิินยาต้านซึมเศร้า หรือ ตัวเราที่ขี้หงุดหงิดกันแน่ คือตัวจริง ตัวเราตอนนี้เราไม่สนใครทั้งนั้น กระทั่งที่ว่าหากคนในบ้านเสียเรายังไม่รู้ว่าตัวเราเองจะเสียใจหรือเปล่า เราไม่รู้ตัวเองว่าเรารักลูกจริงๆหรือเปล่า หมอถามว่าทำไมคิดแบบนั้น เราก็บอกต่อไปว่า อาจเป็นเพราะเราเป็นครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์อย่างที่ตัวเราเองอยากให้เป็น เราเลยรู้สึกผิดต่อลูกที่ทำให้เขาเกิดขึ้นมา หมอถามต่อว่าทำไมถึงคิดว่าไม่สมบูรณ์ เราบอกหมอว่าลึกๆเราก็อยากอยู่กันพร้อมหน้า พ่อ แม่ ลูก ในทุกๆวัน แต่ในปัจจุบันทำไม่ได้เนื่องจากภาระการงาน เราไม่อยากตื่นไปเจอบรรยากาศที่ไม่น่าทำงาน เราไม่กลัวการทำงาน หมอถามว่าแล้วทำไมถึงยังลุกขึ้นไปทำงานล่ะ เราก็บอกว่าไปว่าคงเป็นเพราะเพื่อหาเงินมาตอบแทนให้ลูกที่เราเสียใจทำให้เขาเกิดมา หมอเลยบอกว่าเป็นไปได้ไหมว่าจริงๆแล้วเรารักลูกมาก จึงพยายามผลักให้ตัวเองลุกออกไปทำงานแม้ว่าจะไม่อยากไป การบังคับให้ลูกกินยาจริงๆแล้วก็คือความหวังดีที่เราอยากจะให้ลูกหาย เรานั่งเงียบซักครู่แล้วบอกหมอไปว่า ผมไม่รู้จริงๆครับ จากนั้นเราก็บอกถึงอาการนอนไม่หลับกลางคืน หมอถามว่าคิดเรื่องอะไรตอนนอน ซึ่งครั้งก่อนเรามั่นใจว่าไม่มี แต่วันนี้เราบอกหมอได้เต็มปาก ว่าเราไม่อยากตื่นขึ้นมาตอนเช้าอีกแล้ว เราอยากยอมแพ้ได้ไหม เราเหนื่อยมาก หมอถามว่ามีคิดวางแผนคิดสั้นไหม เราก็ยอมรับโดยดีว่ามีคิด โดยจะขอหมอนัดนานๆเพื่อที่จะได้ยาเยอะๆแล้วเอามากินทีเดียว ไม่ก็เดินไปให้รถชนเลย หมอเงียบไปพักนึง เราเลยบอกว่าตอนนี้เราไม่คิดแล้ว เรามีอาการกัดฟันแต่เราไม่รู้ตัวเองว่าเครียดหรือเปล่า เราบอกหมอว่ามีวันนึงที่ลูกสาวอยู่ๆก็เดินเข้ามากอดเราและจุ๊บเรา น้ำตาเราไหลออกมาเอง หมอถามต่อว่าเพราะอะไร เราบอกหมอว่าเพราะเราดีใจ เหมือนเราไม่ได้รับสิ่งนี้จากใจจริงๆมานานมาก เราก็ไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นลูกเราคิดอะไร หมอบอกว่าเป็นไปได้ไหมว่าจริงๆเรารักลูกมาก แต่เพราะสารเคมีในสมองเราที่ทำให้คิดไม่ดี และบอกว่าไม่ใช่ตัวเราที่เป็นปัญหา หมอชื่นชมเราในการพยายามเพื่อลูก เพราะขนาดไม่อยากลุกไปทำงานเรายังฝืนลุกไปให้ได้ หมอขอให้เราสู้ไปพร้อมกับหมอ และถ้าไม่มีจุดหมายตอนนี้ก็ไม่เป็นไรขอให้หาไปพร้อมกัน เริ่มต้นจาก 0 ที่ลูกก็ได้ หมอสั่งยาต้านเศร้าให้กินเพิ่มตอนเช้าเพิ่มอีกเม็ดเป็นสองเม็ด และเปลี่ยนยาก่อนนอน เนื่องจากเรามีการวางแผนคิดสั้น หมอเลยนัดเจอกันใหม่ในอีกสองอาทิตย์ ก่อนแยกกับหมอหมอบอกว่ามีอะไรจะถามไหม เราถามหมอไปว่าเราควรใช้ชีวิตแบบไหนในตอนนี้ แล้วคนเรามีชีวิตไปทำไมกันครับ? หมอตอบแบบเดิมว่าตอนนี้ขอให้พยายามเพื่อลูกสาวกันก่อน ส่วนคนเรามีชีวิตไปทำไมไว้เรามาหาคำตอบไปด้วยกันอีกที..

    เอาตรงๆครั้งนี้เราใช้เวลาคุยกับหมอเยอะมาก ในใจเราก็รู้ว่าได้คำตอบไม่เคลียร์ และที่หมอพูดก็คือการพยายามให้กำลังใจเราไม่ให้คิดสั้น เราเดินออกมารับใบนัดลงไปจ่ายเงินและรับยาเหมือนเดิม และนั่งรถไปทำงานต่อช่วงบ่าย.. 

    หลังจากการเพิ่มยาเราเวลาเดินเหมือนตัวเราเบาๆเดินเซไปชนโน่นชนนี่ การคิดก็ดีขึ้นนะแต่การพูดการจาเราอาจจะไม่ได้คิดดีเท่าที่ควร (ช่วงนี้หากพูดอะไรไม่เข้าหูต้องขอโทษจริงๆ ผมไม่ได้ตั้งใจ) จนพี่ที่ทำงานเตือนเราว่าไม่น่าพูดแบบนี้นะ เราก็เออไม่น่าพูดเลยนะ ช่วงบ่ายอาจมีอาการเวียนหัวอ่อนเพลียบ้าง สิ่งที่เราเปลี่ยนไปจริงๆเลยคือเราไม่แคร์ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นเลย เราพร้อมสู้และแสดงความเห็นอย่างจริงจัง สุดท้ายตกลงเราก็ไม่รู้หรอกว่ามันดีหรือไม่ดี แต่ตอนนี้มันก็คือตัวเรา หากเราพลาดอะไรหรือทำให้ไม่พอใจเราขอโทษไว้ตรงนี้เลย และขออย่าได้ถือสาเลยนะครับ ขอบคุณสำหรับกำลังใจจากทุกคนผมได้อ่านทั้งหมดแล้ว และจะพยายามจนกว่าจะหายซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เหมือนกัน ถ้าเห็นว่าเขียนอยู่ก็คงยังไม่หายหรอก ขอบคุณที่เสียเวลาเข้ามาอ่านและติดตาม ขอบคุณครับ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Chalinee Thanadngarn (@fb1981504421876)
อย่างที่บอกอะนะ เปิดใจให้หมอ เปิดโอกาสให้ตัวเอง หมอคงไม่ได้แค่ให้กำลังใจหรอก เท่าที่อ่านพี่ว่า เค้าพยายามทำให้เราเข้าใจ ค้นพบ เจอและแก้ปัญหาของเราด้วยการตั้งคำถาม ให้เราคิดและทบทวนตัวเอง ถ้าไม่ลำบากเกินไป การเล่าหรือเขียนอย่างที่ทำเนี่ย ก็ถือเป็นการคิดทบทวนอีกแบบหนึ่งนะ (ชอบอ่าน ก็แอบเชียร์ไง 555) หรือว่างๆ กลับมาอ่านที่ตัวเองเขียน แล้วลองคิดว่าไอ้หมอนี่ (ที่ไม่ใช่เรา) เป็นคนยังไง อาจเห็นภาพที่ไม่เคยเห็นก็ได้นะ เพราะเรามักเห็นปัญหาของคนอื่นชัดกว่าปัญหาของตัวเอง ลองดู!! อ้อ ถึงชั้นจะรักความเป็นส่วนตัว และไม่ถนัดที่จะทำอะไรแบบนี้ แต่เมื่อน้องชายอยากเห็นคนมาคอมเมนท์บ้าง ก็จัดให้ ดังนั้น ไม่ต้องกังวล ปล่อยมันไว้อย่างนี้แหละ 555 สุดท้าย ถึงแม้จะเบื่อ ไม่อยากเจอใครหน้าไหนทั้งนั้น ก็ต้อง “ไม่อยู่คนเดียว” นะ พาตัวเองไปอยู่กับมนุษย์คนไหนก็ได้ เปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนบรรยากาศ ฯลฯ อะไรก็ได้ ขอแค่ “อย่าอยู่คนเดียว” สัญญานะครับ