เด็กหนุ่มเกร็งมือให้เลิกสั่น วักน้ำขึ้นล้างหน้าล้างตาสะบัดความคิดฟุ้งซ่าน เทน้ำที่เหลือลงบนดอกดาวเรืองอย่างระมัดระวัง แต่สุดท้ายกลีบสีเหลืองก็ยังมิวายร่วงหล่นลงมาอยู่ดี
เขาเม้มปากแน่น อาการสั่นยิ่งทวีเพิ่มขึ้นจนแทบทนไม่ไหว ต้องรีบคว้าผ้าขาวม้ามาคลุมดอกไม้ที่กำลังอ่อนแรงไว้ กอดกระถางแห่งโชคชะตาวิ่งไปเคาะประตูบ้านผู้กล้าคนที่ 18
ทันทีทันใดประตูแง้มออก ดวงตาลุ่มลึกจ้องมองเขาจากรอยแยกระหว่างประตู “ว่าแล้วว่าเอ็งต้องมาหาข้า”
“ท่านผู้กล้า—” เด็กหนุ่มกัดปากก่อนจะลดเสียงลง “ดอกดาวเรืองของผมเป็นอะไรไม่รู้ ท่านช่วยดูให้หน่อยได้ไหม”
ประตูเปิดอ้ากว้าง “รีบเข้ามา”
ร่างเหยียดตรงของวัยรุ่นเดินตามหลังโค้งงอของชายชราเข้าไปในบ้านไม้ไผ่ มือเหี่ยวย่นชี้ให้เขานั่งลงบนหมอนรองพื้นกลางบ้านขณะที่เจ้าของบ้านขยับเข้ามาก้มมองดอกไม้ในมือเขา
เมื่อผ้าขาวม้าถูกปลดออก ทั้งสองก็พบว่ากลีบสีเหลืองมากมายหล่นลงมาประดับดินสีดำ
“ผม .. นี่แสดงว่าผมไม่ใช่ผู้กล้าแล้วใช่ไหมครับ”
ได้ยินเสียงสั่น ๆ ของเด็กหนุ่ม ชายแก่กลับหัวเราะร่า
“พูดอะไรอย่างนั้น ! หมู่บ้านนี้มีอยู่บ้านเดียวที่ปลูกเจ้าดอกไม้หัวรั้นนี่ขึ้น ถ้าไม่ใช่เอ็ง ข้าก็คงต้องออกไปฟัดกับไอ้ปลายักษ์นั่นอีกรอบ ขี้คร้านคราวนี้คงจะลอยกลับมาเป็นศพ” ว่าพลางชี้นิ้วไปที่ดอกไม้สีเหลืองซึ่งยังเชิดหน้าชูคอแย้มกลีบอยู่กลางบ้าน แม้จะผ่านมาครึ่งศตวรรษแล้วก็ตาม
“แต่ดอกไม้ของผม .. ท่านผู้กล้าก็เห็น” เขากลืนน้ำลาย “มันกำลังจะตาย”
ตายเหมือนดอกไม้ของเด็กคนอื่น ๆ
‘ วีรบุรุษ ’ เขาไม่ได้ต้องการเกียรติยศ เขาเพียงถูกบังคับให้กลายเป็นความหวังเดียวของหมู่บ้าน
นอกจากเขาแล้ว ดอกดาวเรืองทุกดอกพ่ายแพ้ให้กับความโหดร้ายของธรรมชาติ
ความหวังของทั้งหมู่บ้านราวกับแบกชีวิตนับร้อยไว้บนหลัง
เขาจะมีหน้าไปบอกทุกคนได้อย่างไร
ว่าดาวเรืองของเขากำลังจะหมดแรง
ฝ่ามือกร้านวางลงบนใหล่อันสั่นเทาและบีบเบา ๆ “ข้าจะบอกอะไรเอ็งให้อย่าง”
“ … ”
“ดาวเรืองของข้าเหี่ยวเฉาก่อนวันที่ข้าจะออกเรือไปปราบปีศาจปลา”
เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง เงยหน้าขึ้นจ้องรอยยิ้มมั่นใจบนใบหน้าคร้ามแดด ความหวังฉายชัดอยู่บนใบหน้า
“ข้าก็เป็นเหมือนเอ็งน่ะแหละ ไม่กล้าบอกคนอื่น” ร่างสูงวัยค่อย ๆ ลดตัวลงนั่งกับพื้นช้า ๆ ขณะที่ดวงตาฝ้าฟางส่องแสงจ้าเมื่อย้อนนึกถึงปีแห่งความรุ่งโรจน์ “ตอนนั้นข้าก็ปาเข้าไปสามสิบแล้วแต่บ้าจี้ปลูกดอกดาวเรืองตามเด็ก พอดาวเรืองข้ารอดแต่ของคนอื่นตายพวกชาวบ้านก็ยิ่งหวัง ชาวประมงวัยสามสิบกับเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างพวกเอ็ง ดูยังไงข้าก็ดูมีหวังกว่าเห็น ๆ”
ชายชราหันไปมองสภาพน่าเวทนาของดอกไม้ในกระถาง “แต่อยู่ดีไม่ว่าดี ไอ้ดอกไม้แสนดื้อก็เริ่มเหี่ยวเฉาขึ้นมาเฉย ๆ ข้าไม่หลอกเอ็งเล่นหรอก แต่ไอ้ดอกที่ตอนนี้บานสะพรั่งเคยเฉาจนเป็นสีน้ำตาลทั้งต้นมาก่อน ข้ายังยักแย่ยักยันอยู่ว่าจะทำยังไง ผ่านไปอาทิตย์เดียวเรือสังเกตการณ์ก็แล่นลำเข้ามาจอด ผู้ใหญ่บ้านวิ่งหน้าตาตื่นมาบอกให้ข้าเตรียมตัวเสียแล้ว”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว หากเรื่องนี้ไม่หลุดออกจากปากเจ้าตัว เขาคงไม่มีวันเชื่อเป็นแน่
ไม่เคยมีใครแม้แต่จะสงสัยในโชคชะตาของผู้กล้าคนที่ 18 เลย ในสายตาของคนทั้งหมู่บ้าน เขาคือหนึ่งในผู้กล้าที่โดดเด่นมากที่สุด
“ข้าก็เลยคิดว่าเป็นไงเป็นกัน อย่างน้อยถึงดอกดาวเรืองเหี่ยวจะแปลว่าชะตาขาด ก็ไม่ได้แปลว่าข้าจะแพ้ .. ถึงตัวตายข้าก็จะลากมันลงนรกไปพร้อมกัน”
“ … ” เด็กหนุ่มนิ่งเงียบ สายตามองสลับไปมาระหว่างดอกดาวเรืองพุ่มเล็กและดอกฟูกลมโตกลางบ้าน
“ตอนแรกที่โดนงับขาก็นึกว่าจะไปเสียแล้ว” เสียงแหบกล่าวกลั้วหัวเราะ “แต่ก็เพราะโดนงับขานี่แหละข้าถึงใช้ฉมวกแทงหัวมันได้สะดวก พอมันตายข้าเองก็เลือดไหลไม่หยุด ยังดีที่พกผ้าขาวม้าคู่ใจไว้ ใช้มาตั้งแต่เริ่มเป็นชาวประมงใหม่ ๆ ทั้งซับเหงื่อซับหน้า แล้วยังเอามาพันขาห้ามเลือดได้ด้วย”
มือเหี่ยวย่นปลดผ้าขาวม้าสีขาวอมเหลืองจากอายุการใช้งาน ก่อนจะหงายคราบเลือดสีน้ำตาลให้ดู “เหลือเชื่อมากที่รอดมาได้ พอกลับมาถึงบ้านก็เจอเรื่องน่าเหลือเชื่อยิ่งขึ้นไปอีก—ดอกไม้ที่ดูท่าจะตายวันตายพรุ่งกลับลุกขึ้นมาชูดอกบานสะพรั่งเสียอย่างนั้น .. ราวกับโชคชะตาเพียงแค่เล่นตลกเพื่อทดสอบความมุ่งมั่นของข้าอย่างนั้นแหละ”
ชายชราหันมาสบตากับว่าที่ผู้กล้าคนที่ 19 ดวงตาที่ก่อนหน้านี้อบอุ่นฉายแววเด็ดเดี่ยว “เข้าใจไหมไอ้หนุ่ม เอ็งต้องกล้าท้าตีกับโชคชะตา หาไม่แล้วเอ็งก็ไม่มีทางชนะ ถึงดอกดาวเรืองของเอ็งจะเหี่ยวเฉา แต่ความกล้าหาญของเอ็งจะกลายเป็นน้ำหล่อเลี้ยงให้มันคงอยู่ รอวันที่เอ็งกลับมาหลังจากได้รับชัยชนะ เพื่อยืนยันให้รู้ว่าเอ็งสามารถก้าวผ่านบททดสอบของชะตากรรมไปได้สำเร็จ”
นิ้วเรียวชี้ไปที่ดอกไม้สีเหลืองชูช่อ กลีบสีสดใสเปล่งประกายท่ามกลางความมืดในบ้าน
“
นั่นคือหลักฐาน คือสิ่งยืนยันว่ามนุษย์สามารถเอาชนะโชคชะตาได้”
/
เด็กหนุ่มเดินถือกระถางดอกไม้กลับมาบ้านด้วยรอยยิ้มกว้างและหัวใจที่เต้นแรง อัดแน่นไปด้วยความหวัง ราวกับว่าความกังวลก่อนหน้านั้นหายไปเป็นปลิดทิ้ง
หมู่บ้านแห่งนี้คือที่อยู่ของชาวประมง
บางคนตกปลาเพื่อมีไว้เก็บมีไว้กิน
ในขณะที่บางคนตกปลาเพื่อชะตากรรมของตนและชะตากรรมของปลา
เขาเป็นคนเดียวที่ได้รับโอกาสให้เป็นมากกว่าชาวประมง
เขาเป็น ‘ ผู้กล้า ’
และผู้กล้าคนก่อน ๆ ไม่เคยหวาดหวั่นต่อพลังแห่งเทพธิดา แม้จะต่อกรกับอำนาจที่เหนือกว่าของธรรมชาติ ดอกดาวเรืองของพวกเขาก็ไม่เคยแห้งตาย
เขาจึงมีหน้าที่กรำศึกกับชะตากรรม
หาไม่แล้ว เขาคงไม่มีวันชนะ
ผ้าขาวม้าถูกนำมาคลุมดอกไม้แห่งชะตากรรมอีกครั้ง
เด็กหนุ่มเลือกปิดหูปิดตา ไม่รับรู้คำเตือนของโชคชะตาอีก
/
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ผู้กล้าคนที่ 19 ลืมตาขึ้นพร้อมกับเสียงโหวกเหวกจากชาวประมงบนเรือสังเกตการณ์
เหลือบมองกระถางต้นไม้ในซอกหลืบ แค่นหัวเราะอย่างต่อต้าน
ดาวเรืองเหลืองลออ ดอกไม้แห่งความกล้าหาญ ชะตาชีวิตของผู้กล้า
บัดนี้เหลือเพียงกลีบสีน้ำตาลเหี่ยว ๆ ห้ากลีบ ใบไม้ม้วนเป็นเกลียว ก้านสีเขียวกลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม
‘ จงกล้าที่จะเอาชนะโชคชะตา ’
นาฬิกายามนี้บอกเวลาสองยาม
มือเรียวพันผ้าขาวม้าสีขาวสะอาดราวกับไม่เคยได้รับการใช้งานไว้รอบเอว หยิบฉมวกใหม่เอี่ยมขึ้นจากโต๊ะ หันหลังให้กับดอกไม้คอหักสีดำ
.
.
.
และไม่กลับมาอีก
/
มือเหี่ยวย่นของผู้กล้าคนที่ 18 วางผ้าขาวม้าผืนใหม่ทับลงบนเศษซากดอกดาวเรืองที่ดึงออกมาจากกระถาง ก่อนจะลุกขึ้นยืน สายตาว่างเปล่าจดจ้องผลของการต่อสู้กับชะตากรรมของผู้สืบทอดอย่างใจลอย
จะว่าไปไอ้หนุ่มนั่นก็ดูรูปร่างผอมเพรียว ช่วงใหล่เล็กจนบีบทีเดียวก็กลัวว่ากระดูกจะหัก ดูแล้วช่างต่างกับเขาในวัยสามสิบยิ่งนัก
นึกย้อนดูแล้ว ...
ผู้กล้าคนที่ 18 โตเต็มวัยในยามต้องสู้รบกับปีศาจปลา มือไม้คล่องแคล่วด้วยประสบการณ์จับปลาเล็กปลาใหญ่กว่าสิบห้าปี เดินเรือในน่านน้ำที่คุ้นชินได้ไม่ต่างจากการออกมาหากินในเวลาปกติ
ส่วนผู้กล้าคนแรก แม้จะออกไปสู้กับปลายักษ์ด้วยวัยเพียงสิบสี่ แต่ประสบการณ์ชีวิตแบบปากกัดตีนถีบสั่งสอนให้หูตาว่องไว หาทางหนีทีไล่เก่งไม่เป็นสองรองใคร
อีกอย่าง ... ที่เขารู้ว่าสามารถเอาชนะชะตากรรมตัวเองได้ก็หลังจากที่ได้ก้าวผ่านบททดสอบนั้นมาแล้ว ก่อนจะออกเรือเขาไม่ได้หวังหรือล่วงรู้ผลของการต่อสู้กับชะตากรรมเลยว่าจะแพ้หรือชนะ
ท้ายที่สุดแล้วการจะรู้ว่าสิ่งที่ถูกกำหนดมาแล้วเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ ก็ต้องดูผลหลังจากผ่านเหตุการณ์นั้นไปแล้วไม่ใช่หรือ ? แต่เขากลับนำประสบการณ์ของตนเองไปตัดสินผลลัพธ์ของชีวิตคนอื่นทั้งที่ไม่รู้อะไรเลย
พอคิดถึงตรงนี้ชายชราก็ถอนหายใจ
ดูเหมือนคำพูดให้กำลังใจของเขาจะไร้ความรับผิดชอบไปเสียหน่อย ดันลืมคิดไปว่าเขากับเด็กคนนั้นต่างกันมากขนาดไหน
เขาคงต้องบันทึกข้อเท็จจริงสำคัญนี้ไว้ในใจ เก็บตัวอย่างนี้ไว้บอกเล่าผู้กล้าคนถัดไปในอีกห้าสิบปีข้างหน้า—หากเขายังมีลมหายใจยาวนานถึงวันนั้น
โชคชะตาไม่ใช่สิ่งที่สามารถเอาชนะได้หากมีเพียงความกล้าหาญ
fin.
---------------
กว่าจะเป็นงานเขียนชิ้นนี้
* ไม่เคยเขียนแนวนี้เลยค่ะ สนุกดี เขียนลื่นปรื๊ดสองสามชั่วโมงก็เสร็จ
* เอาคำว่า “ปลา” เป็นหลักเพราะเป็นโจทย์ที่ดูยากที่สุด พอรวมกับ “ผ้าขาวม้า” และ “ดอกดาวเรือง” ก็ได้ภาพหมู่บ้านชาวประมงใส่ม่อฮ่อมผูกผ้าขาวม้าขึ้นมาในหัว พอนำคอนเซ็ปต์การต่อสู้กับชะตากรรมมารวมกับปลาดันนึกถึงนิยายเรื่องโมบี้ดิ๊ก พอเอามายำในหัวก็ได้มาประมาณนี้ค่ะ
* ตั้งใจเขียนเรื่องนี้ให้ออกมา pessimistic เหมือนที่เรามองโลก (เรื่องถัดไปในซีรี่ส์มัน optimistic เราเลยไม่เกรงใจ) ถ้าจะบอกว่าโชคชะตาลิขิตมาให้สอบตกอยู่แล้วและไม่อ่านหนังสือเลยก็ยิ่งไม่มีความเป็นไปได้ที่จะสอบผ่านไปอีก แต่ถ้าหากพยายามเต็มที่แล้วยังสอบตกล่ะ นั่นหมายความว่าอะไร ? เรื่องนี้เลยออกมาอารมณ์คล้าย ๆ อย่างนี้ ประมาณว่ามันมีปัจจัยอื่นนอกจากความพยายามหรือความกล้าได้กล้าเสียด้วย ถ้าสอบตกไม่ได้แปลว่าไม่พยายาม แต่อาจเป็นเพราะอย่างอื่น (ไม่ใช่วิชาถนัด, สภาพไม่เต็มร้อยตอนสอบ etc) เราอยากใช้เรื่องนี้สื่อให้เห็นว่าถ้าไม่ได้ก็คือไม่ได้ ฝืนไปบางทีก็ใช่ว่าจะสำเร็จค่ะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in