เมื่อเดือนเมษายนปี 55 ฉันได้มีโอกาสไปเที่ยวประเทศเวียดนามกับครอบครัว และญาติ พี่น้อง ซึ่งการไปเที่ยวครั้งนี้คณะทัวร์ของเรามีสมาชิกทั้งหมด 8คน ประกอบด้วย คุณอา และครอบครัว คุณป้า และครอบครัวของฉัน กำหนดการของคณะทัวร์ของเรามี 6 วัน ตั้งแต่วันที่ 8-13เมษายน ฉันตื่นเต้นมากเพราะว่ามันคือการเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรก เช้าวันที่ 8 ฉันลงรถที่บริษัทสมบัติทัวร์ ศูนย์วิภาวดี เพื่อรอ ญาติๆ จากจังหวัดเชียงราย เมื่อพวกเขามาถึงแล้วเราก็ไปท่าอากาศยานสุวรรณภูมิทันที
เราใช้เวลาเดินทางเกือบ 2 ชั่วโมง ก็ถึงประเทศเวียดนาม เราลงเครื่องบินที่ ท่าอากาศยาน Noi Bai ฮานอยเมื่อถึงสนามบินเรียนร้อยแล้ว ก็มีไกด์มารอรับ หลังจากนั้นเราก็ขึ้นรถตู้ ซึ่งรถที่นี่ที่นี่พวงมาลัยจะอยู่ทางซ้าย ในที่สุดพวกเราไปถึง Halong Bayในช่วงเย็นเพราะว่าที่นี่เขาควบคุมความเร็ว ห้ามวิ่งเกิน 50 กม / ช.ม ก่อนเซคอินเข้าที่พักพวกเราก็แวะที่ร้านขายของที่ระลึกและซื้อของมากมาย Halong Bayได้ชื่อว่าเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติที่มีชื่อเสียงของเวียดนามจากองค์กรยูเนสโก ในปี พ.ศ. 2537 อ่าวฮาลองตั้งอยู่ในจังหวัดกว่างนิงห์ (Quang Ninh) ตั้งอยู่ทางเหนือของกรุงฮานอย เป็นอ่าวแห่งหนึ่งในพื้นที่ของอ่าวตังเกี๋ยทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม ใกล้ชายแดนติดต่อกับประเทศจีน มีพื้นที่ทั้งหมด 1,500 ตารางกิโลเมตร และมีชายฝั่งยาว 120 กิโลเมตร ในวันที่สอง ของการเดินทางเราล่องเรือชมอ่าว Halong และเที่ยวชมถ้ำนางฟ้า หลังจากออกจากถ้ำแล้วพวกเราก็ล่องเรือและรับประทานอาหารกลางวันบนเรือ เรือท่องเที่ยวในอ่าวนี้ ส่วนใหญ่เป็นเรือขนาดกลาง ระหว่างที่นั่งรถตู้ไปจังหวัด Nam Dihn ฉันก็รู้สึกไม่สบายเป็นไข้ ก็ได้อาศัยยาลดไข้ที่พกติดตัวมาทำให้อาการดีขึ้น มิฉะนั้นคงหมดสนุก เมื่อถึง จังหวัด Nam Dihn หลังจากเชคอิน เข้าที่พักเรียบร้อยแล้วเราก็รับประทานอาหารเย็น อาหารมื้อเย็นวันนั้นก็คือ เฝอ ซึ่งก็คือก๋วยเตี๋ยวน้ำ แต่ต่างกันตรงที่เส้นของเขาเป็นกลมเป็นเมือกเหนียวๆ ซึ่งมีแป้งมันสำปะหลังเป็นส่วนผสม เมื่อรับประทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้วพวกเราเดินออกกำลังกายระหว่างทางก็เห็นนักเรียนกำลังออกมาจากโรงเรียน บ้างก็เดินกลับบ้านบ้างก็ปั่นจักรยาน บางคนก็เล่นกัน บางคนก็คุยกัน บางกลุ่มก็เตะลูกขนไก่ การแต่งกายของนักเรียนที่นี่ไม่เหมือนกับการแต่งกายของเรา แต่งกายสบายๆ พวกเขาจะสวมเสื้อแขนยาวสีขาว และกางเกงขายาว แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือทุกคนจะผูกผ้าพันคอสีแดง ไม่นานเราก็เดินมาถึงอนุสาวรีย์แม่ทัพ เจิน ฮึง ด่าว แม่ทัพคนสำคัญของชาว Nam Dihn เราออกกำลังกายที่นี่สักพักก่อนเข้าที่พัก
วันที่สามของการเดินทาง เราเดินทางเข้าสู่จังหวัด Niin Binh ระหว่างทาง คณะของเราได้แวะ สุสานราชวงศ์ Dihn และวัด Bai Dinh หรือวัดเนินหยกที่วัดนี้จะมีพระที่แกะสลักด้วยหินในท่าต่างๆจำนวน 1,000 องค์ เรียงเป็นแถวตลอดแนวบันไดทางขึ้น ฉันและคณะเดินขึ้นไปแตะพระแต่ละรูปพร้อมขอพรทุกคนตั้งใจว่าจะขอพรจากท่านให้ครบ (แต่ก็ไม่มีใครทำสำเร็จ) เหนื่อยมากเลย การมาเที่ยวที่เมืองนี้ก็มีสิ่งที่ทำให้ฉันประหลาดใจเหมือนกัน ซึ่งก็คือ ฉันได้พบกับญาติพี่น้อง ฉันไม่เคยคิดว่าจะมีญาติที่นี่ โลกมันกลมจริงๆ พวกเรารับประทานอาหารมื้อเย็นที่โรงแรมก่อนเข้าที่พักและเตรียมตัวท่องเที่ยวในวันต่อไป
วันที่สี่ของการเดินทางพวกเราล่องเรือ (แจว) ชมทะเลสาบ Tam Coc Tam Coc คือ ทะเลสาบที่มีสามถ้ำ สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติแห่งนี้อยู่ที่ตำบลนิงหาย อำเภอฮวาลือ จังหวัดนิญบิ่ญ เราล่องเรือชมทะเลสาบ ลอดใต้สะพาน จนอดนึกจิตนาการไม่ได้ว่ากำลังล่องเรือที่เวนิส สองข้างทางมีภูเขาหินและต้นข้าวซึ่งการปลูกข้าวที่ฉันเห็นเป็นการปลูกในน้ำ ฉันจึงถามพ่อและได้รับคำตอบว่าวิธีนี้แสดงถึงความลาดของเขาโดยการใช้พื้นที่ให้คุ้มค่า ระหว่างล่องเรือฉันก็เหลือบไปเห็นแพะภูเขา จึงถามไกด์และได้คำตอบว่าเป็นแพะที่ชาวบ้านนำมาเลี้ยง และสิ่งที่ทำให้ประหลาดใจก็คือ คนพายเรือที่นี่มีความสามารถพิเศษ พวกเธอสามารถใช้เท้าพายเรือ และอีกมือหนึ่งก็ปอกผลไม้หรือทำกิจกรรมอื่น “พระเจ้า สุดยอด” บางครั้งคนพายเรือก็นำของที่ระลึกมาขายด้วย สินค้าที่นำมาคายส่วนใหญ่คือรูปผู้หญิงสวมชุดประจำชาติและถุงผ้าปักใบเล็กๆ ฉันจึงช่วยอุดหนุนแม้ว่าจะแพงกว่าปกติก็ตามเพราะคิดว่าเป็นการช่วยเหลือเขา หลังจากนั้นคณะทัวร์ของเราก็ได้แวะเที่ยวที่วัดดิงห์เตียนฮว่างระหว่างทางกลับฮานอย และในเย็นวันนี้ คณะทัวร์ของเราก็ได้ แวะเที่ยวทะเลสาบคืนดาบ ซึ่งทะเลสาบแห่งนี้มีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาว่าเมื่อพระเจ้าเลไทโต ได้นำดาบวิเศษซึ่งนำมาต่อสู้กับพวกหมิงจนสามารถปลดปล่อยประเทศให้อิสระแล้ว พระองค์ทรงเรือไปกลางทะเลสาบเพื่อคืนดาบวิเศษให้กับเต่าศักดิ์สิทธิ์ และกล่าวกันว่าเต่าได้ขึ้นมาฉกดาบไปจักพระหัตถ์ของพระองค์ วันที่ห้าของการเดินทาง เราได้ไปเที่ยวชม พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ และวิหารวรรณกรรม และตบท้ายคืนที่ห้าด้วยการแสดงหุ่นกระบอกน้ำ และวันที่หกของการเดินทาง ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของทริปในวันนี้เป็นวันสงกรานต์ แต่เราก็ยังลั๊ลลาที่เวียดนาม แทนการรวมญาติที่ประเทศไทย เราเที่ยวสุสานโฮจิมินห์ ซึ่งประกอบด้วยที่พักและทำเนียบของท่านโฮจิมินห์ ก่อนเข้าชมเราถ่ายรูปที่จัตุรัส Ba Dinh หลังจากนั้นก็ไปเที่ยวที่วัดเจดีย์เสาเดียว ก่อนที่จะเดินทางกลับ เมื่อไปถึงท่าอากาศยานแล้ว ก่อนขึ้นเครื่องบินพวกเราก็ได้แวะซื้อซ็อกโกแลตที่ร้าน Duty free เรามาถึงประเทศไทย เวลา 18. 00 น กิจกรรมแรกที่ทำหลังจากผ่านการตรวจหนังสือเดินทางและศุลกากรแล้ว ก็คือ แวะร้าน King power เราจึงตัดสินใจ นอนที่สนามบิน เพราะว่าต้องการเปลี่ยนบรรยากาศและสัมผัสชีวิตนักท่องเที่ยวอย่างแท้จริง เช้าวันที่ 14 เม. ย. คณะทัวร์ของฉันต่างก็แยกย้ายกลับบ้าน ที่จังหวัด พะเยา และเชียงราย ฉันไปขึ้นรถที่สถานีขนส่งหมอชิต แต่ญาติๆของฉันไปขึ้นรถที่บริษัทสมบัติทัวร์ ศูนย์วิภาวดี เมื่อรถที่ฉันนั่งไปถึงศูนย์ วิภาวดี แล้ว ฉันประหลาดใจมาก เมื่อเห็นลูกๆพี่ญาติๆของฉัน วันเวลาผ่านไปไวจริงๆ พวกเรายังเที่ยวไม่ครบ ฉันหวังว่าถ้าฉันมีโอกาสจะมาเที่ยวที่นี่อีกครั้งเพื่อเที่ยวสถานที่ที่พลาดในครั้งนี้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in