เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
C R E E P Y P A S T Aเนตรธิ ~
Search and Rescue Woods | #8
  • เรื่องสุดท้ายที่ K.D. เล่าให้ฟัง เกิดขึ้นกับตัวเธอเอง ในตอนที่เธอพลัดหลงจากกลุ่มขณะเดินป่าเมื่อสมัยที่เธอยังเป็นเด็กใหม่ เธอและเพื่อนในทีมอยู่ระหว่างการเรียนเรื่องการใช้เชือกปีนเขาบนพื้นที่สูงด้านหนึ่งของภูเขาในอุทยานที่เธอทำงานอยู่ เธอเกิดอยากเข้าห้องน้ำเลยขอแยกตัวออกมาเพื่อทำธุระ เธอเดินห่างจากกลุ่มมาประมาณ 50 ไมล์ในช่วงพักเบรกทานข้าว จากตรงนี้ไปผมจะเล่าตามที่เธอพูดเป๊ะๆ นะครับ "ฉันออกไปฉี่ พอเสร็จแล้วฉันก็กำลังจะเดินกลับไปที่กลุ่ม แต่พอเดินไปได้แค่ซักห้าฟุตเท่านั้นฉันก็รู้สึกตัวว่า ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน มันไม่ใช่ความรู้ว่า 'ฉันเลี้ยวผิดเลยหลง' ฉันหมายความว่าฉันนึกไม่ออกจริงๆ เลยว่าฉันอยู่ตรงไหนบนโลกใบนี้ ถ้าคุณถามฉัน ฉันคิดว่าตัวเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ตรงนี้เป็นรัฐอะไร มันเหมือนเวลาที่คุณจินตนาการว่าคนเป็นโรคความจำเสื่อมรู้สึกยังไง เข้าใจมั้ย? คุณลืมทุกอย่างหมดสิ้น คิดไม่ออกว่าต้องทำอะไร ฉันเลยยืนเฉยๆ อยู่ตรงนั้นพักนึง พยายามคิดให้ออกว่าฉันอยู่ที่ไหนและต้องทำยังไงต่อไป แต่ยิ่งฉันอยู่ตรงนั้นนานเท่าไร ฉันก็ยิ่งรู้สึกสับสนและงุนงง แล้วฉันก็เริ่มออกเดิน ..

    เท่าที่ฉันนึกออก ฉันสุ่มเลืิอกทางเอาแล้วก็เดินไปตามนั้น เดินๆ อยู่มันก็ยิ่งแย่ลงจนถึงขั้นที่ฉันจำไม่ได้ด้วยว่ามาทำอะไรบนภูเขานี่ ฉันเดินย่ำเท้าช้าๆ ไปบนหิมะ แล้วฉันก็ได้ยินเสียงนั่น เหมือนกับว่าเสียงมันอยู่ในหัวฉันเองเลย เหมือนเสียงกบที่พูดได้ เสียงต่ำแล้วก็แหบ มันส่งเสียงซ้ำไปซ้ำมาในหัวว่า 'ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เธอต้องหาอะไรกินนะ หาอะไรกินซะ แล้วเธอจะไม่เป็นไร เดินไปเรื่อยๆ แล้วหาอะไรกิน กิน กิน' ได้ยินอย่างนั้นฉันก็เลยมองหาอะไรรอบตัวเพื่อกินเป็นอาหาร และฉันสาบานได้เลยว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยรู้สึกหิวเท่านั้นมาก่อน ..


    ทุกอย่างมันเกินที่ฉันจะทำความเข้าใจได้จริงๆ ตอนนั้นฉันคิดว่าฉันสามารถกินได้ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าฉันได้หมด ฉันไม่รู้ว่าตอนนั้นกี่โมงแล้วเพราะฉะนั้นฉันเลยไม่รู้ว่าตัวเองอยู่อย่างนี้มานานเท่าไร แล้วฉันก็ได้ยินเสียงคนจริงๆ ส่งเสียงมาทางฉัน ฉันเดินเข้าไปหาเสียงนั้นและพบว่านั่นเป็นเพื่อนเจ้าหน้าที่ฯ คนหนึ่ง เขาทำสีหน้าตกใจมาก เขาวิ่งเข้ามาหาฉันพลางถามว่า 'ฉันโอเคไหม ฉันไปอยู่ที่ไหนมา' 

    แล้วเรื่องน่ากลัวก็เกิดขึ้น ระหว่างที่เขาวิ่งเข้ามาใกล้ ฉันเอื้อมมือไปที่เอวเพื่อชักมีดสำหรับล่าสัตว์ออกมา ฉันไม่รู้ตัวว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่ แต่สิ่งเดียวที่ฉันคิดคือ 'ฉันต้องกิน' เพื่อนร่วมงานคนนั้นเห็นท่าทางฉันที่ชักมีดออกมา เขาก็ถอยหลังไปในทันที เขาตะโกนว่าให้ฉันวางมีดลงซะ เขาจะไม่ทำร้ายฉัน แล้วนั่นก็เหมือนมีใครดีดนิ้วใส่หน้า สติของฉันก็กลับมา ฉันมีสติรู้ตัวว่าฉันอยู่ที่ไหน ฉันวางมีดลง แล้ววิ่งไปเขา ถามเขาว่าฉันหายไปนานแค่ไหน โดยคิดว่าเขาคงตอบว่าประมาณครึ่งชั่วโมงหรือมากกว่านั้นหน่อย แต่เขาบอกว่าฉันหายไปสองวันเต็มๆ .. 


    ฉันเดินข้ามยอดเขาไปสองลูกจนเกือบจะถึงอีกฝั่งหนึ่งของภูเขานั่น และถ้าฉันยังเดินต่อไปอีก ฉันคงหลงเข้าไปในป่าดิบขนาดกว่าสามร้อยไมล์และคงไม่มีใครตามหาฉันเจอ คนที่เจอฉันบอกว่าเขาไม่อยากเชื่อเลยว่าฉันยังมีชีวิตอยู่ ส่วนฉันก็คิดอะไรไม่ออกเลย เหมือนเวลาผ่านไปแค่นิดเดียวในความรู้สึกฉัน ฉันก็เลยไม่ได้เล่าอะไร ฉันกลับไปยังจุดรวมพลพร้อมกับเขาและถูกส่งตัวไปยังสำนักงานใหญ่เพื่อขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปโรงพยาบาล พอฉันไปถึงโรงพยาบาล หมอและพยาบาลก็จับฉันตรวจแทบทุกอย่าง แล้วก็พยายามหาคำตอบให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน สมมติฐานที่พวกเขาเห็นพ้องกันมากที่สุดคือฉันคงเกิดภาวะเสียความรู้สึกตัวไปชั่วขณะ คล้ายๆ กับความจำเสื่อมฉับพลันหรือไม่ก็เป็นอาการชักที่ไปทำให้สมองฉันน็อคไปซะงั้น  แต่ความจริงแล้วก็คือไม่มีใครรู้ว่ามันมีสาเหตุมาจากอะไรกันแน่ แต่ฉันจะบอกคุณไว้เลยว่าตั้งแต่ตอนนั้น ฉันก็ไม่เคยออกไปนอกพื้นที่คนเดียวอีก เพื่อนคนอื่นก็ยังพูดแกล้งฉันทุกทีที่ฉันต้องลากเพื่อนไปด้วยเสมอถ้าฉันต้องออกไปทำธุระในป่า แต่ฉันก็บอกพวกนั้นไปว่า ทนฟังเสียงฉันฉี่ยังดีกว่าปล่อยให้ฉันหายไปไหนไม่รู้สองวันเต็มๆ ในป่าเย็นยะเยือกแบบนี้นะ"



    -----------------------------------------

  • E.W.: คนที่ผมคุยด้วยคนถัดไปก็คือ E.W. เขาเป็นเทรนเนอร์เก่า แต่ตอนนี้ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่เวชกิจฉุกเฉิน เขายังคงแวะเวียนมาช่วยงานบ้างแต่ก็ไม่ได้ทำเป็นงานประจำเต็มเวลาเหมือนเมื่อก่อนแล้ว E.W. มีความเชี่ยวชาญในการค้นหาเด็กหาย เขาเหมือนเป็นคนมีสัมผัสที่หกที่จะหยั่งรู้ได้ว่าเด็กที่หายตัวไปจะไปอยู่ที่ไหน เขาเป็นตำนานคนหนึ่งเลยในบรรดามือฉมังของเรา แต่ถ้าคุณชมเขาตรงๆ เขาก็จะเขินอายทุกที เขานั่งทานข้าวเย็นกับผมในวันหนึ่งที่เราไปเทรนนิ่ง เราแลกเปลี่ยนเรื่องคุยกันไปมา ส่วนมากก็จะเป็นเรื่องทั่วๆ ไป แต่พอเราเริ่มพูดถึงเรื่องเคสแปลกๆ ที่เราเจอ ผมก็พูดไปว่ามีเพื่อนของผมคนหนึ่งเคยเดินขึ้นไปบนบันไดที่เจอกลางป่า เขาฟังแล้วก็เงียบไป แล้วถามผมว่าผมเคยได้ยินเรื่องเด็กหายไปที่อุทยานที่เขาทำงานเมื่อไม่กี่ปีก่อนไหม ผมตอบว่าไม่เคย แล้วเขาก็เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง



    * พวกเขาออกตามหา โจอี้ เด็กผู้ชายอายุสิบเอ็ดคนหนึ่งที่หายตัวไปใกล้ๆ แม่น้ำ แน่นอนล่ะว่าเราคิดว่าเขาคงตกลงไปในแม่น้ำและจมน้ำหายไป แต่พอเราให้สุนัขดมกลิ่นเข้ามาในพื้นที่ พวกมันนำทางเจ้าหน้าที่ห่างจากแม่น้ำเข้าไปในพื้นที่ป่าทึบแทน วิธีการค้นหาผู้สูญหายที่เจ้าหน้าที่ทำก็คือ ค้นหาพื้นที่โดยสมมติว่าแบ่งเป็นตาราง เราตรวจค้นทุกๆ ช่องของตารางอย่างถี่ถ้วน แล้ว E.W. ก็พบว่ามันเกิดรูปแบบประหลาดบางอย่างบนพื้นที่นั้น สุนัขดมกลิ่นจะจับกลิ่นของโจอี้ได้ในช่องตารางที่สลับกัน แล้วกลิ่นก็จะหายไปถ้าพวกมันข้ามไปยังอีกช่องหนึ่ง ถ้าคุณนึกภาพตารางหมากรุก ก็คือ สุนัขจะจับกลิ่นของเด็กได้เฉพาะในช่องสีดำเท่านั้น และจับไม่ได้เลยในช่องสีขาว

    เรื่องนี่มันไม่เข้าท่าสุดๆ เพราะมันจะเป็นไปได้ยังไงที่เด็กจะกระโดดจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งโดยไม่ทิ้งกลิ่นเอาไว้เลย E.W. และทีมเดินสำรวจไปจนถึงอีกพื้นที่บนช่องตารางใหม่ เมื่อ E.W. สังเกตเห็นบันไดหลังหนึ่งอยู่ห่างจากเขาไปประมาณ 50 หลา เขาบอกบัดดี้ของเขาว่า เราน่าจะลองไปเช็กใกล้ๆ แต่เพื่อนของเขาปฏิเสธทันควัน เขาบอก E.W. ว่า เขาตัดสินใจชัดเจนว่าเขาจะไม่เข้าใกล้บันไดที่เขาเห็นไม่ว่าจะเป็นอันไหน ถึงแม้ว่าจะเจอมันบ่อยเสียจนชินแต่เขาก็จะไม่แกล้งทำเป็นว่านี่เป็นเรื่องปกติหรอกนะ เขาบอก E.W. ว่าเขาจะคอยดูอยู่ไม่ให้คลาดสายตาเวลา E.W. เข้าไปเช็ก E.W. เล่าว่าเขาก็รู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย แต่ก็เข้าใจความรู้สึกของเพื่อนเขา เลยไม่คะยั้นคะยอให้เดินไปด้วยกัน "ผมเดินเข้าไปที่บันไดตรงนั้น มันเป็นบันไดขนาดเล็ก เหมือนบันไดในห้องใต้ดิน"

    ผมไม่ได้รู้สึกไปทางใดทางหนึ่งมากกับมัน หมายถึงบันไดน่ะ ผมก็เลยไม่ได้กลัวอะไร ผมคิดว่าคนอื่นก็คงเหมือนผม แต่ยังไงก็ขอไม่นึกถึงมันเลยจะดีกว่า "ยังไงก็ตาม ผมเดินเข้าไปแล้วเห็นอะไรบางอย่างอยู่ที่ขั้นบันไดล่างสุด คล้ายๆ จะขดตัวอยู่ หัวใจผมตกลงตาตุ่ม เพราะเรามีความหวังถึงปลายทางที่มีข่าวดีเสมอและพวกเราก็มั่นใจกันมากว่าเด็กยังคงมีชีวิตอยู่ เพราะเขาหายไปไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น แต่ผมก็รู้ในทันทีว่าเป็นเด็กคนนั้นและเขาก็ตายแล้ว เขานอนคู้ตัวเป็น เอามือกุมท้องไว้ เขาคงเจ็บปวดทรมานมากตอนที่เขาตาย ผมไม่เห็นเลือดตรงอื่น ยกเว้นที่ริมฝีปากและคางของเขา ..

  • ผมวิทยุหาเพื่อนคนอื่นเพื่อบอกว่าพบเด็กคนนั้นแล้ว และเรานำร่างของเขากลับไปศูนย์บัญชาการ ครอบครัวที่น่าสงสาร พวกเขาเสียใจเกินกว่าที่จะบรรยายได้ พ่อแม่เด็กไม่เข้าใจว่าลูกของเขาเสียชีวิตได้อย่างไรในเมื่อเขาหายตัวไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นเรายังไม่เห็นสาเหตุการตายที่ชัดเจนอีกด้วย ซึ่งนั่นทำให้เรื่องยิ่งแย่ขึ้นไปอีก ผมตั้งข้อสงสัยว่าเขาคงกินอะไรบางอย่างที่เป็นพิษไปแล้วเสียชีวิต เพราะตอนที่เราพบศพ เด็กชายเอามือกุมท้องเขาเอาไว้ แต่ผมก็ไม่อยากจะคาดเดาอะไรไปมากกว่านี้ มันเป็นเรื่องยากพออยู่แล้วสำหรับความสูญเสียนี้ ปล่อยให้พวกเจ้าหน้าที่ค้นหาพวกนั้นเป็นคนคิดให้ออกดีกว่า พวกเขานำร่างของเด็กคนนั้นไป ..

    ผมกลับมาบ้านและพยายามไม่คิดถึงมันอีก ผมเกลียดการพบเด็กเสียชีวิตมากเลยพวก ผมรักงานนี้นะ แต่นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมต้องลาออก ผมมีลูกสาวสองคน แค่ความคิดว่าจะเสียพวกเขาไปแบบนั้นก็ ... " E.W. สะอื้นเล็กน้อย ผมไม่เก่งเรื่องอ่อนไหวพวกนี้ แล้วมันก็ทำตัวลำบากทุกครั้งที่เห็นพวกผู้ใหญ่ร้องไห้ ผมไม่แน่ใจว่าต้องทำยังไง แตา E.W. ค่อยๆ คุมตัวเองได้ในที่สุดแล้วเขาก็เล่าต่อ "โดยปกติแล้วเราจะไม่ได้รับรู้สาเหตุการเสียชีวิตของศพที่เราพบจากเจ้าหน้าที่ชันสูตร มันไม่ใช่หน้าที่เราต้องรู้ และบางทีมันอาจจะไม่เหมาะสมที่จะบอกพวกเราเพราะกฎหมายไร้สาระพวกนั้น แต่ผมมีเพื่อนที่ทำงานที่อำเภอ เพราะงั้นพวกเขาจะส่งข่าวที่น่าสนใจมาบ้างถ้าผมถามไป ในเคสนี้ ผมได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนคนนั้นประมาณหนึ่งสัปดาห์หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาถามว่าผมยังจำเด็คนนั้นได้ไหม ผมก็ตอบไปว่าได้ แล้วเขาก็เล่าเรื่องที่โคตรประหลาดให้ผมฟัง ..


    เขาบอกผม "E.W. เพื่อน นายต้องคิดว่าฉันบ้าแน่ๆ แต่เจ้าหน้าที่ชันสูตรไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กนั่นกันแน่ เขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน" เขาอธิบายต่อว่า เมื่อเจ้าหน้าที่ชันสูตรสูตรผ่าเปิดร่างของเด็กคนนั้นเพื่อตรวจสอบ เขาก็ต้องไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยเพราะอวัยวะภายในของเด็กชายแหลกเหลวอย่างกับชีสสวิส ทุกชิ้นส่วนอวัยวะมีรูเจาะขนาดเท่าเหรียญ 25 เซนต์ ยกเว้นที่หัวใจและปอด แต่ที่ลำไส้ใหญ่ ท้อง ตับ หรือมีแม้กระทั่งลูกอัณฑะข้างหนึ่งก็เต็มไปด้วยรูนี้ เพื่อนผมบอกว่า เจ้าหน้าที่ชันสูตรอธิบายว่ามันเหมือนกับมีใครเอาเครื่องเจาะกระดาษเจาะไปบนทุกส่วนในร่างกายเขา ทุกรูล้วนมีรอยตัดเรียบกริบแต่ภายนอกร่างกายของเด็กชายไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน ไม่มีทางเข้าหรือทางออกของแผล ใกล้เคียงที่สุดที่ทุกคนเคยเห็นคือเคสที่ผู้ชายคนหนึ่งถูกปืนลั่นใส่ตัวเมื่อปีที่แล้ว ระหว่างที่เขากำลังทำความสะอาดไรเฟิลของตัวเองอยู่ จนทั้งตัวเป็นรูจากกระสุนลูกปราย ไม่มีใครคิดออกเลยว่าเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นจากอะไร เพื่อนผมถามผมว่า ผมเคยเห็นได้ยินอะไรแบบนี้หรือเปล่า หรือเราเคยมีเคสแบบนี้เกิดขึ้นในอดีตไหม แต่ผมไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้ที่ไหนมาก่อนเลย ผมเลยบอกเขาไปว่าผมคงช่วยอะไรเขาไม่ได้จริงๆ



    เท่าที่ผมรู้ เจ้าหน้าที่ชันสูตรสรุปว่าสาเหตุการเสียชีวิตคืออะไรประมาณแบบ 'เลือดออกภายในร่างกายอย่างหนัก' แต่ก็ไม่มีใครรู้ได้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมไม่มีวันลืมเด็กคนนั้นได้เลย จนถึงตอนนี้ก็ยังฝันร้ายถึงมันบ้างบางที ผมไม่เคยปล่อยให้ลูกๆ เข้าไปในป่าตามลำพัง และถ้าหากเราไปด้วยกัน ผมจะไม่มีทางละสายตาไปจากพวกแกเด็ดขาด ผมเคยชอบชีวิตในป่านะ แต่พอหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วก็อีกสองสามเคสหลังจากนั้น มันทำให้ชีวิตผมแย่ไปเลย" หมดเวลาอาหารเย็น เราเก็บจานแล้วเดินกลับไปยังที่พัก ก่อนที่เราสองคนจะแยกไปคนละทาง E.W. วางมือเขาบนไหล่ผม แล้วมองหน้าผมอย่างตั้งใจ เขาพูดว่า มีสิ่งชั่วร้ายอยู่ในป่านั่น มันไม่แคร์หรอกว่าเราจะมีครอบครัวหรือมีชีวิตจิตใจ ความคิด ความรู้สึก เขาบอกผมอีกว่าให้ระวังตัวให้มาก แล้วเขาก็เดินจากไป ผมไม่มีโอกาสได้คุยกับเขาอีก แต่เรื่องที่เขาเล่าก็ติดอยู่ในหัวผมไม่ลืม




    (โปรดติดตามตอนต่อไป)
    -----------------------------------------

    ที่มา : https://creepypastatoo.fandom.com/wiki/Search_and_Rescue_Woods
     
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in