* งานแรกๆ ของผมในฐานะเจ้าหน้าที่ฝึกงาน คือการตามหาเด็กอายุสี่ขวบที่พลัดหลงกับแม่ สำหรับเคสนี้ เราแน่ใจว่าจะต้องเจอเด็กที่หายเพราะสุนัขของเราตามกลิ่นของเด็กได้ และมีสัญญานแน่ชัดว่าเขาอยู่ในบริเวณพื้นที่นี้ สุดท้ายเราพบเขาอยู่ในป่าเบอร์รี่ ห่างไปครึ่งไมล์จากจุดที่เขาพลัดลงกับแม่ โดยที่เด็กน้อยไม่รู้ตัวเลยว่าเดินออกมาไกลขนาดนี้
เจ้าหน้าที่ของเราคนหนึ่งเป็นคนเจอตัวเด็ก โชคดีนะที่ไม่เป็นผมเพราะผมไม่สันทัดเลยกับการอยู่กับเด็กๆ ผมไม่รู้จะพูดหรือเล่นอะไรด้วย ระหว่างที่ผมกับหัวหน้าเดินทางกลับฐาน เธอพาผมเดินอ้อมเพื่อไปดูจุดที่มักจะพบคนหาย มันเป็นทางลาดตามธรรมชาติที่อยู่ใกล้ๆ กับทางเดินสำรวจป่าที่เป็นที่นิยม เราเดินไปถึงจุดนั้นโดยใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง ระยะทางประมาณ 2-3 ไมล์ เมื่อเราสำรวจพื้นที่นั้นรอบๆ หัวหน้าของผมเธอก็ชี้ให้ดูจุดที่เธอเคยเจอคนหาย แต่สายตาของผมมองไปเห็นอะไรบางอย่าง
พื้นที่ตรงนี้ห่างจากที่จอดรถหลักประมาณ 8 ไมล์ แต่ก็มีทางรถที่มาถึงตรงนี้ได้หากคุณไม่อยากเดินไกลเราอยู่ในเขตพื้นที่อนุรักษ์ นั่นแปลว่าจะไม่มีสิ่งก่อสร้างหรือที่อยู่อาศัยตั้งอยู่ในบริเวณนี้ อย่างมากอาจจะมีแค่หอคอยระวังไฟหรือเพิงพักพิงชั่วคราวเท่านั้น แต่สิ่งที่ผมเห็นอยากจุดนี้มันเป็นอะไรบางอย่างที่มีขอบมุมเป็นเส้นตรง ซึ่งนั่นย่อมไม่ใช่สิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นแน่ๆ
ผมชี้มือออกไป แต่นายของผมเธอก็ไม่ได้พูดอะไร เธอรั้งท้ายอยู่ข้างหลังรอให้ผมสำรวจสิ่งนั้นให้ชัดขึ้น ผมเดินเข้าไปหามันประมาณ 20 ฟุตได้ แล้วขนหลังคอของผมลุกชัน มันคือ บันได ในป่าบ้านี่ๆ ถ้ามันตั้งอยู่ในบ้านคน บันไดนี่ก็เป็นแค่บันไดทั่วๆ ไปที่ปูด้วยพรมสีเบจ สูงประมาณ 10 ขั้น แต่แทนที่มันจะอยู่ในบ้านซักหลัง มันดันตั้งอยู่กลางป่าแบบนี้ซะนี่
ด้านข้างของบันได้ไม่ได้มีการปูพรม จึงทำให้เห็นว่าบันไดนี้ทำจากไม้ ภาพที่ผมเห็นเหมือนเวลาคุณเล่นวิดีโอเกมส์แล้วมันค้าง ทำให้บ้านในเกมส์อันตรธานหายไปทั้งหลังเหลือแต่บันไดให้เห็นเท่านั้น ผมยืนมองอยู่อย่างนั้น สมองมึนงงเหมือนทำงานหนักเกินไปจนประมวลภาพสิ่งที่เห็นไม่ได้ นายของผมเดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆ เธอทำท่าทางสบายๆ มองดูบันไดเหมือนไม่ได้แปลกใจอะไร ผมถามเธอว่า "ไอ้สิ่งนี้มันมาทำอะไรอยู่ตรงนี้" เธอหยักไหล่เบาๆ และพูดว่า "ทำตัวให้ชินเถอะ เดี๋ยวเธอจะได้เห็นมันอีกหลายครั้งเลย" ผมทำท่าจะเข้าไปใกล้บันไดมากขึ้น เธอเอื้อมมือมาจับแขนผมไว้ "เป็นฉัน ฉันจะไม่ทำแบบนั้น" เธอพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่มือเธอจับแขนผมแน่น ผมมองหน้าเธอ เธอพูดว่า "นายจะต้องได้เห็นมันอีก แต่อย่าเข้าใกล้มัน อย่าแตะมัน อย่าเดินขึ้นไป ทำเหมือนมองไม่เห็นซะ"
ผมกำลังจะถามเธอต่อ แต่บางสิ่งในสายตาของเธอบอกผมว่าอย่าดีกว่า สุดท้ายเราไม่ได้พูดเรื่องนั้นกันอีกตลอดระยะเวลาการฝึกงานของผม แล้วก็จริงอย่างที่เธอว่า ผมพบบันไดทุกๆ 5 ครั้งที่ออกไปทำงาน และมักจะเจอเฉพาะในภารกิจค้นหาระยะไกลหรือเฉพาะการเทรนช่วงสุดสัปดาห์เท่านั้น บางครั้งมันตั้งอยู่ใกล้ๆ ทางเดินหลัก ห่างไปเพียงแค่ 2-3 ไมล์ แต่บางอันก็ตั้งอยู่ 20-30 ไมล์ลึกเข้าไปในป่า บันไดส่วนมากที่พบอยู่ในสภาพดี ก็มีบ้างเหมือนกันทีสภาพเก่า บันไดที่ผทเจอมีทุกแบบ ทุกขนาด ผมเคยเจอบันไดที่สูงสุดๆ เหมือนบันไดที่หลุดออกมาจากแมนชั่นสมัยก่อนเลยครับ กว้างอย่างน้อย 10 ฟุตและสูงอย่างน้อย 15-20 ขั้น ผมเคยลองพยายามพูดคุยเรื่องนี้กับคนอื่นๆ แต่ทุกคนก็พูดเหมือนกันว่า มันเป็นเรื่องปกติ อย่าไปสนใจ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แค่อย่าเข้าใกล้หรือปีนมันก็พอ หลังจากนั้น พอเด็กฝึกที่เข้ามาใหม่ถามผม ผมก็ตอบเขาแบบนี้ไป เพราะผมไม่รู้จะบอกอะไรอย่างอื่น ผมหวังว่าวันนึงผมจะเจอคำตอบที่ดีกว่านี้แต่ก็ยังไม่มีซักที
-----------------------------------------
* นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่ค่อยน่ากลัว แต่น่าเศร้ามากกว่า ชายหนุ่มคนหนึ่งหายตัวไปกลางดึกในฤดูหนาวที่ พูดกันตามความเป็นจริงว่าใครจะอยากออกไปเดินป่าในเวลานี้กัน เราจึงปิดเส้นทางแทบทั้งหมด ยังมีบางเส้นทางที่เปิดตลอดปีบ้าง จะปิดเมื่อมีหิมะตกหนักเท่านั้น เราออกปฏิบัติการค้นหาชายคนนั้น แต่อุปสรรคคือหิมะหนา 6 ฟุต บนพื้นดิน (ปีนั้นเป็นปีที่หิมะตกหนักผิดปกติ) และเราคิดว่าคงจะหาตัวเขาไม่พบแน่ๆ จนกว่าถึงจะถึงฤดูใบไม้ผลิ
แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ พออากาศอุ่นมาเยือน เราได้รับแจ้งจากนักปีนเขาว่าพบศพใครบางคนอยู่ห่างไปจากทางเดินหลักแค่เพียงเล็กน้อย เราพบศพเขานอนอยู่ที่โคนต้นไม้อยู่ในกองหิมะที่กำลังละลาย เรารู้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นและมันทำให้พวกเรากลัวจนฉี่แทบราด นักสกีหรือนักปีนเขาคงนึกออกว่าผมกำลังพูดถึงเรื่องอะไร หิมะที่ตกลงมาเหนือกิ่งก้านของต้นไม้โดยเฉพาะบนต้นเฟอร์ที่แผ่กิ่งก้านจนมีลักษณะเหมือนร่ม ทำให้หิมะด้านบนหนาไม่เท่ากับหิมะที่อยู่ด้านล่าง
ดังนั้น มันจึงเกิดเป็นพื้นที่ว่างระหว่างลำต้นของต้นไม้ เต็มไปด้วยหิมะร่วนๆ อากาศ และกิ่งก้านของต้นไม้ เราเรียกสิ่งนี้ว่า 'หลุมต้นไม้' มันสังเกตเห็นได้ค่อนข้างยาก เราจึงทำป้ายเตือนขนาดใหญ่ไว้ที่จุดต้อนรับนักท่องเที่ยวเพื่อบอกถึงอันตรายของมัน แต่ทุกๆ ปีที่มีปริมาณหิมะมากผิดปกติจะต้องมีอย่างน้อยหนึ่งคนที่ไม่ได้อ่านป้ายเตือนหรือไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องอันตรายเท่าไร ซึ่งเราก็จะได้เห็นกันล่ะเมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง ถ้าผมเดาไม่ผิด ชายคนนี้คงกำลังหาที่นั่งพักหลังจากเล่นสกีจนเหนื่อยหรือไม่ก็เป็นตะคริวที่ขาหลังจากเดือนในหิมะสูงนานๆ เมื่อเขานั่งลงบนพื้นหิมะที่คิดว่าเป็นพื้นดินแต่จริงๆ แล้วมันเป็นหลุมระหว่างต้นไม้ เขาจึงตกลงไป
เขาตกลงไปและติดอยู่ระหว่างช่องว่างนั้นในท่าหัวทิ่ม เท้าชี้ฟ้า โดยที่มีหิมะไหลเข้ามารอบๆ ตัวเขา เขาคงไม่สามารถดึงตัวเองขึ้นมาได้และค่อยๆ หายใจไม่ออก ซึ่งปกติจะอาการแบบนี้จะเกิดขึ้นเมื่อคุณหัวทิ่มเข้าไปในหิมะระดับลึกจริงๆ ถ้าคุณติดอยู่ในท่าพิศดารแบบชายคนนี้ แค่หิมะสูงหกฟุตก็สามารถฆ่าคุณได้แล้วล่ะ สิ่งที่ทำให้ผมกลัวมากที่สุดคือการจินตนาการว่าเขาจะต้องดิ้นรนขนาดไหน ทั้งอยู่ในสภาพกลับหัวและในหิมะที่เย็นจัด แต่ความตายก็ไม่ได้มาคุณเร็วขนาดนั้นหรอก หิมะรอบๆ และบนตัวคุณจะค่อยๆ หนักและหนาขึ้นจนคุณไม่มีทางเอาตัวเองออกมาได้ ในทุกขณะจิตที่คุณเริ่มหายใจไม่ออกแต่คุณรู้ตัวดีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น ผมไม่อยากจะคิดถึงความคิดในวาระสุดท้ายของเขาเลย
-----------------------------------------
* เพื่อนๆ ของผมพวกที่ไม่ค่อยอินกับกิจกรรมเอ้าดอร์อยากรู้ว่าผมเคยเจอ 'มนุษย์แพะ' บ้างมั้ยเวลาลงพื้นที่ โชคร้ายที่ผมไม่เคยเจออะไรพวกนั้น แต่เอาจริงอาจจะเป็นโชคดีของผมก็ได้นะ สิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดน่าจะเป็น ‘มนุษย์ตาดำ' อะไรนั่น แต่ผมก็ไม่เคยเห็นหรอก
แต่ก็นั่นแหละ มันมีภารกิจค้นห้าครั้งหนึ่งที่ผมเหมือนจะเจออะไรสักอย่างที่คล้ายๆ กัน แต่ผมก็ไม่อยากเอาไปเชื่อมโยงกับ มนุษย์แพะ นั่นนะครับ เรื่องที่เกิดขึ้นคือ เราได้รับรายงานว่ามีหญิงชราคนหนึ่งเป็นลมระหว่างทางเดินป่า เธอต้องการความช่วยเหลือเพื่อพากลับมายังที่ทำการหลัก เราเดินทางไปยังจุดที่หญิงชราล้มอยู่ เธออยู่กับสามีของเธอ เมื่อเราไปถึง สามีของเธอพยายามวิ่งมาทางพวกเราและอธิบายว่า เขาเดินเตร็ดเตร่ออกนอกทางเดินหลักเพื่อมองดูนั่นนี่อยู่เมื่อเขาได้ยินภรรยากรีดร้องอยู่ด้านหลังเขา เขารีบวิ่งกลับไปหาเธอแต่เธอก็เป็นลมไปเสียแล้ว พวกเราจึงพยุงร่างเธอบนกระดานแล้วพาเธอลงมายังศูนย์ต้อนรับนักท่องเที่ยวด้านล่าง เมื่อเธอตื่นขึ้นมาเธอก็เริ่มกรีดร้องอีกครั้ง ผมพยายามทำให้เธอสงบและถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้น
ผมจำคำพูดของเธอคำต่อคำไม่ได้ แต่ใจความก็คือ เธอกำลังยืนรอสามีของเธออยู่เมื่อเธอได้ยินเสียงแปลกๆ ดังมาจากในป่า เสียงนั้นคล้ายเสียงแมวร้องแต่ฟังดูเพี้ยนๆ อย่างไรก็ไม่รู้ เธอเดินขยับเข้าไปในป่าเล็กน้อยเพื่อหาต้นเสียง และเธอก็ได้ยินเสียงนั้นชัดขึ้น ยิ่งเธอได้ยินเสียงนั้นชัดขึ้นมากเท่าไรเธอยิ่งรู้สึกกระวนกระวาย แล้วเธอก็หาต้นเสียงเจอและข้อความจากนี้เป็นส่วนที่ผมจำได้ไม่ลืมเพราะว่ามันประหลาดมาก
“มันไม่ใช่แมว มันเป็นคน ที่กำลังร้อง เมี้ยว เมี้ยว ไปเรื่อยๆ แต่มันเป็นเสียงคนไม่ได้หรอกเพราะว่าใครจะไปทำเสียงแบบนั้นได้ ตอนแรกฉันก็คิดว่าเครื่องช่วยฟังของฉันมีปัญหา แต่ฉันก็ปรับและเช็กแล้วว่ามันยังอยู่ดี เสียงนั่นมันน่ากลัวมาก เขาค่อยๆ เข้ามาใกล้ฉัน แต่ฉันก็ยังเห็นเขาไม่ถนัด ยิ่งเขาเข้าใกล้มาเท่าไหร่ฉันก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้นเท่านั้น แล้วสิ่งสุดท้ายที่ฉันเห็นก็คืออะไรบางอย่างโผล่ออกมาจากหลังต้นไม้ ฉันคงเป็นลมไปตอนนั้นแหละ"
โอเค ผมเริ่มงงแล้วว่าทำไมอยู่ๆ ถึงจะมีผู้ชายไปร้องเมี้ยวใส่คนอยู่ในป่าแบบนี้ ดังนั้นเมื่อเราลงจากเขาแล้ว ผมบอกนายผมว่าจะขึ้นไปสำรวจพื้นที่อีกครั้งเผื่อเจออะไร ผมคว้าวิทยุสื่อสารและกลับขึ้นไปตรงที่หญิงชราเป็นลมแต่ผมก็ไม่พบใคร ผมลองเดินต่อประมาณ 1 ไมล์แต่ก็ไม่มีอะไรสะดุดตา เมื่อผมกำลังจะมุ่งหน้ากลับผมลองเดินออกจากเส้นทางหลักเพื่อจะดูว่าสิ่งที่หญิงชราคนนั้นเห็นน่าจะเดินออกมาจากตรงไหน แต่เวลาตอนนั้นก็เกือบจะพระเอาทิตย์ตกแล้วและผมก็ไม่อยากเดินสำรวจพื้นที่ในตอนกลางคืนด้วยสิ ผมเลยจำจุดต่างๆ ไว้ในหัวแล้วตั้งใจว่าจะมาสำรวจใหม่อีกทีในวันพรุ่งนี้ ผมเดินกลับศูนย์ฯ แต่ระหว่างทางผมได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ผมหยุดเดิน ตะโกนถามว่ามีใครอยู่ตรงนั้นมั้ย เสียงนั่นไม่ได้เข้ามาใกล้ขึ้นหรือดังขึ้น แต่ผมได้ยินจริงๆ มันเป็นเสียงผู้ชายที่ร้องเมี้ยว เมี้ยว ในโทนเสียงประหลาดมาก เสียงนั้นแปร่งจนเหมือนเสียงผู้ชายที่ใส่อุปกรณ์ช่วยพูดที่ผมเคยเจอมาเลย
ผมลองเดินออกนอกเส้นทางไปยังต้นเสียงแต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเสียงนั่นจะดังขึ้น เหมือนกับว่าเสียงมันมาจากรอบตัวผม ไม่ใช่มาจากด้านใดด้านหนึ่งนั่นแหละ จนในที่สุด เสียงมันก็ค่อยๆ เบาบางลงและผมก็กลับไปยังศูนย์ต้อนรับนักท่องเที่ยวตามเดิม ผมไม่เคยได้ยินรายงานเกี่ยวกับเสียงประหลาดนั้นอีกเลย ถึงแม้ว่าผมจะกลับไปทำงานบนเส้นทางนั้นหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยได้ยินเสียงนั้นอีก มันอาจจะเป็นเสียงจากเด็กที่มาเล่นพิเรนทร์เพื่อแกล้งนักท่องเที่ยว แต่ก็ต้องยอมรับแหละว่า เสียงนั้นมันประหลาดจริงๆ
โห กลายเป็นเรื่องยาวไปเลย ต้องขอโทษคุณด้วย ผมอยากจะเล่าเรื่องของเพื่อนของผมที่เจ๋งมากๆ ให้คุณฟัง ไว้ผมจะมาโพสต์เพิ่มวันพรุ่งนี้ตอนเย็นๆ ผมเองก็ยังมีเรื่องอีกหลายเรื่องที่คิดว่าคุณต้องชอบแน่ๆ ขอโทษด้วยที่ทำให้คุณต้องตื่นเต้นรอ หวังว่าเรื่องที่ผมโพสต์วันนี้จะช่วยฆ่าเวลาอีก 24 ชั่วโมง ก่อนที่ผมจะเล่าเรื่องใหม่ได้นะครับ
Edit: ดูเหมือนทุกคนตั้งหน้าตั้งตารอฟัง ผมจะเล่าเรื่องให้เยอะที่สุดเท่าที่ทำได้ รวมถึงเรื่องของเพื่อนของผมด้วย เดี๋ยวผมจะลองไปคุยกับเพื่อนที่เจอเรื่องน่าสนใจเผื่อมาเล่าให้คุณฟัง ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพวกคุณจะคิดยังไงกับโพสต์ยาวๆ ถ้าคุณโอเค ผมจะเล่าให้ฟังเยอะๆ เลย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in