* เจ้าหน้าที่อาวุโสอีกท่านหนึ่งอ่านเรื่องราวที่ผมโพสต์และรู้ว่าผมเป็นคนเขียน เขารู้จักผมดีเลยแหละครับ และเราสองคนก็แลกเปลี่ยนเรื่องเล่าต่างๆ กันมาอยู่เสมอ เขาถามผมว่า จะเป็นอะไรไหมถ้าเขาจะเล่าสิ่งที่เขาสังเกตได้จากบันไดพวกนั้น รวมถึงสิ่งที่เขาคิด "ผมดีใจมากที่คุณตัดสินใจแชร์เรื่องพวกนี้ซักที ผมว่ามันสำคัญมากเลยนะที่ต้องเตือนให้นักท่องเที่ยวรู้ว่ามีอะไรอยู่ในป่านี่ ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อพวกหน่วยป่าไม้ปกปิดเรื่องนี้เป็นความลับได้ดีขนาดนี้" ผมถามเขาว่าเขาหมายถึงอะไร "อะไรคือหมายถึงอะไร ? ก็ไม่มีสำนักข่าวไหนพูดถึงเรื่องนี้เลยไง ไม่มีใครพูดเรื่องเด็กๆ ที่หายตัวไป หรือศพที่ถูกพบห่างออกไปเป็นไมล์จากจุดที่พวกเขาหายตัวไป เดวิด พอลไลด์ พูดเอาไว้ไม่ผิด พวกหน่วยป่าไม้พยายามให้คนมาที่นี่ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ปลอดภัย ถ้าพูดกันแฟร์ๆ ไม่ใช่ว่าเรื่องน่ากลัวพวกนั้นจะเกิดทุกวัน แต่ถ้านับรวมทุกเหตุการณ์ จำนวนมันก็มากพอที่จะต้องสืบสวนอะไรมั้ย โดยเฉพาะบันไดพวกนั้น ผมล่ะแปลกใจมากที่คุณไม่เคยพูดถึงบันไดที่กลับหัว" ผมไม่เข้าใจเรื่องที่เขาพูด ผมจำไม่ได้เลยว่าเขาเคยพูดถึงเรื่องอะไรพวกนี้มาก่อน เขาดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือ "ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณทำงานมานานขนาดนี้แต่ไม่เคยเจอบันไดกลับหัว ไม่มีใครเล่าให้คุณฟังเหรอ?" ผมหยักไหล่แล้วขอให้เขาอธิบายให้ฟัง
"โอเค มันก็มีบันไดธรรมดาที่โผล่ขึ้นมาให้คุณเห็นเวลาคุณออกนอกเส้นทาง ผมรู้ว่าคุณรู้จักพวกมัน แต่บางครั้งผมก็เคยบังเอิญเจอบันไดที่ตั้งกลับหัว ผมว่ามันคงเหมือนกับเวลาที่คุณเล่นบ้านตุ๊กตาแล้วส่วนตัวบันไดนั้นเป็นชิ้นส่วนแยก คุณหยิบมันขึ้นมาแล้วก็กลับหัวทิ่มลงไปบนพื้นในป่า ที่ผมเคยเห็นก็เป็นแบบนั้นแหละ ผมเห็นมันแค่ไม่กี่ครั้ง แต่มันแปลกมากถ้าจะให้พูด มันทำให้ผมคิดถึงคลิปวิดีโอบ้านเรือนหลังถูกทอร์นาโดถล่ม ที่ตัวบ้านถูกพายุพัดปลิวไป เหลือส่วนนั้นส่วนนี้ในบ้านตั้งอยู่โด่ๆ อย่างพวกปล่องไฟ หรือรั้วสนาม บันไดพวกนั้นทำให้ขนลุกมากกว่าเวลาเจอบันไดปกติเพราะผมไม่สามารถสลัดภาพนั้นออกไปจากหัวได้" ปกติผมไม่ใช่คนที่กลัวอะไรง่ายๆ ก็เหมือนกับพวกเราทุกคนที่ทำงานอยู่ที่นี่นั่นแหละ ภาพบันไดที่เขาพูดนั่นติดอยู่ในหัวผมและมันน่ารำคาญใจ ผมจะพยายามหามันไม่ให้เจอให้ได้ แล้วเขาก็พูดถึงอีกว่า มีไม่รู้กี่คนที่ต้องหวั่นกลัวเพราะชายไร้หน้านั่น เขาดูตื่นเต้น และบอกผมว่าเขาเคยเห็นอะไรบางอย่างที่เหมือนแบบนั้น
"ผมออกไปฝึกภาคสนามเมื่อหลายปีที่แล้ว ผมนั่งอยู่ในเต็นท์ของตัวเองแล้วได้ยินเสียงเหมือนมีใครบางคนกำลังเดินรอบๆ ที่ตั้งแคมป์ พวกเขาเตือนเราไม่ให้ออกไปไหนไกล ผมก็เลยคิดว่าคงเป็นเด็กใหม่ที่ลุกออกไปฉี่แล้วหาทางกลับแคมป์ไม่เจอ คุณจำเด็กในกลุ่มเราเมื่อหลายปีก่อนได้ไหม ที่เกือบเดินตกเขาน่ะ ? พวกเราก็เลยค่อนข้างกังวลว่ามันจะเกิดขึ้นอีก ผมเลยลุกขึ้นเพื่อไปดูว่าเกิดอะไรกันแน่ ผมเดินไปจนสุดเขตทีี่เราตั้งแคมป์ตะโกนว่าแคมป์อยู่ทางนี้
แต่เขากลับเดินเข้าไปในป่า ผมก็เลยเดินตามไป ผมรู้ว่ามันโง่มากที่ทำแบบนั้น แต่ผมก็ครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่และก็ไม่อยากจะต้องจัดการปัญหาถ้ามีพวกงั่งบาดเจ็บ ผมเดินตามเป็นทางตรงไปเกือบหนึ่งไมล์ แล้วมันก็หยุดอยู่ที่ริมแม่น้ำเล็กๆ สายหนึ่ง ผมมองเห็นรูปร่างของเขาเพราะว่าแสงจันทร์ที่สะท้อนลงมาบนพื้นน้ำ เขาก็ดูเหมือนเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง เขามีเป้ และจากที่เห็นเขาหันหน้ามาทางผม ผมถามเขาว่าเขาโอเคไหม ต้องการความช่วยเหลือหรือเปล่า แล้วเขาก็ขยับหัวเหมือนไม่เข้าใจสิ่งที่ผมพูด ผมพกมีดพกติดตัวอยู่เสมอและบนมีดก็ติดหลอดไฟดวงเล็กๆ ไว้ ผมส่องไฟไปที่หน้าอกของเขาเพื่อที่แสงไฟจะได้ไม่แยงตาเขาจนมองไม่เห็น
เขาหายใจช้าๆ ลึกๆ ผมสงสัยว่าเขาอาจจะเดินละเมอ ผมเลยเดินเข้าไปใกล้ขึ้น และถามเขาอีกครั้งว่าคุณโอเคไหม ผมค่อยๆ เลื่อนไฟฉายขึ้น แล้วเห็นบางอย่างผิดปกติ ผมจึงหยุด เขายังคงหายใจลึกๆ อยู่อย่างช้าๆ และนั่นทำให้ผมรู้สึกไม่ดีเลย มันเหมือนกับว่าเขาแกล้งทำเป็นหายใจอยู่ ลมหายใจของเขาลึกและสม่ำเสมอ และท่าทางของเขาก็ดูมากเกินปกติ ทั้งไหล่ที่ยกขึ้นและหน้าอกที่ขยับเวลาเขาส่งเสียงหายใจ
ผมถามไปว่าเขาเป็นใคร แล้วเขาก็ส่งเสียงเหมือนคนถูกอุดปากออกมา ผมเลื่อนไฟขึ้นไปถึงหน้าเขา เชี่ย! เขาไม่มีหน้า มันเป็นแค่ผิวหนังเรียบๆ ผมช็อก มือที่ถือไฟฉายอยู่งักๆ เงิ่นๆ แต่ผมก็ยังเห็นว่าเขาเข้ามาใกล้ขึ้นโดยที่เขาไม่ขยับตัว ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงเหมือนกัน แต่วินาทีนึงเขาอยู่ที่ริมแม่น้ำ อีกวินาทีนึงเขาก็มาอยู่ห่างผมไปแค่ห้าฟุต ผมไม่มองไปที่อื่นหรือแม้กระทั่งกระพริบตา เขาเคลื่อนที่เร็วมากจนสมองผมตามไม่ทัน ผมสะดุดล้มก้นจ้ำเบ้า แล้วผมก็มองเห็นรอยบางอย่างที่คอของเขา มันเป็นรอยเฉือนเส้นตรงจากหูอีกข้างถึงหูอีกข้าง แล้วหัวของเขาค่อยๆ เงยเล็กน้อย และเขาแสยะยิ้มให้ผมด้วยรอยฉีกบนคอ มันไม่มีเลือด มันเป็นแค่หลุมลึกๆ สีดำ และผมสาบานได้เลยว่าเขายิ้มให้ผมด้วยรอยแผลนั่น ผมลุกขึ้นได้แล้ววิ่งสุดชีวิตกลับไปที่แคมป์ ผมไม่ได้ยินเสียงเขาตามมา แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าเขาอยู่ข้างหลังผมนี่แหละถึงผมหันหลังกลับไปดูก็ไม่เห็นใคร ผมสงบอารมณ์ลงได้เมื่อมาถึงที่ค่าย กองไฟยังลุกอยู่ และความคิดที่ว่ามีคนอื่นๆ อยู่กับผมด้วยทำให้ผมสงบและหายใจได้ ผมรออยู่ข้างกองไฟเพื่อดูว่าเขาจะตามมาไหม แต่ผมก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยตลอดหลายชั่วโมง ผมเลยกลับเข้าเตนท์ไปนอน ผมรู้ว่าที่ผมเล่ามันดูประหลาด แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเหนือจริงมากๆ จนผมเกือบจะคิดว่ามันเป็นจินตนาการของผมเอง"
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in