เราเคยมีฝันเพ้อๆว่าอยากไปเที่ยวรอบโลก
แต่เราแม่งยังไม่เคยไปจังหวัดที่เมื่อถึงวันหยุดเทศกาลต่างๆจะเห็นเพื่อนๆเช็คอินกันเลย
และนั่นก็ชื่อ ชายเหมี่ยง เชียงหม่าย นั่นเอง
ในประเทศยังเที่ยวไม่ทั่ว จะไปรอบโลกซะแล้ว
เออว่าแล้วก็เก็บกระเป๋าจองรถไฟไปดีกว่า ที่เลือกรถไฟเพราะว่าสัปดาห์ก่อนเห็นพี่ตัวเองแบกเป้ขึ้นรถไฟไปเชียงใหม่มาเหมือนกัน ในเมื่อไม่เคยไปมาก่อน ก็ที่ยวตามรอยพี่ตัวเองนี่แหละ
ไป!
จริงๆแล้วการนั่งรถไฟเที่ยวคนเดียวมันก็ไม่ได้น่ากลัวเท่าไหร่(มั้งนะ) ไม่รู้ว่าเพราะนั่งใกล้พระด้วยรึเปล่า ฮ่าาาา
แล้วก็ถ้าใครคิดอยากจะนั่งรถไฟเที่ยวแนะนำว่าให้แพลนอะไรล่วงหน้าเป็นอาทิตย์หน่อย เพราะเราจองปุปปัปมาก อีก2วันจะเดินทางอยู่แล้วพึ่งจะกดจอง
โว้ยยยยย
และนั่นทำให้เราได้ที่นั่งในตู้ชั้น3มา
จริงๆแล้วเราจะนั่งจากสถานีที่ใกล้เราที่สุดอย่างรังสิตก็ได้ แต่มันไม่เท่ว่ะ ไปทั้งทีก็ต้องเริ่มจากหัวลำโพงดิวะ อะ งั้นนั่งไปหัวลำโพงก่อน
มุมยอดฮิตก่อนเริ่มต้นการเดินทาง แต่รถไฟเราออกเวลา4ทุ่ม เลยได้มุมนี้แบบมืดๆมาแทน
ถ้าแพลนล่วงหน้านานกว่านี้ก็คงได้เอนหลังสบายๆที่ตู้ชั้น1ไปแล้ว เป็นเวลาราวๆ15ชั่วโมงที่ต้องทนหลังขดหลังแข็งกับตู้ชั้น3 ยิ่งเวลาเช้ามืดที่รถไฟเริ่มขึ้นจังหวัดทางเหนือไปแล้วยิ่งรู้ซึ้งเลย
หนาว หนาวมาก สิ่งเดียวที่จะช่วยให้อุณหภูมิในขบวนเปลี่ยนได้ก็คือหน้าต่าง ซึ่งเราก็ปิดมันจนสุดนั่นแหละ แต่ความพอดีไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิตคนเรา เออ แม่งร้อนไปว่ะ แง้มๆหน่อยแล้วกัน อืม หนาว
เหมือนตอนห่มผ้านอนเป๊ะเลย ตีกับหน้าต่างจนผ่านไป2-3สถานี ช่างแม่งแล้วโว้ย
สิ่งที่ทำให้การทนนั่งในชั้น3คุ้มค่าขึ้นมาก็คือการได้เห็นพระอาทิตย์ค่อยๆขึ้นแบบนี้แหละ มีจังหวะนึงรู้สึกโรแมนติคเหมือนกับใน Before sunrise ขึ้นมา แต่ความปวดหลังและลมหนาวก็ตีหน้าและบอกว่า เอ็งไม่ใช่Celine และตรงข้ามเอ็งก็ไม่ได้มีพ่อหนุ่มJesseมาชักชวนให้ไปเที่ยวเวียนนาต่อด้วยกัน ตื่น!
แล้วพอช่วงเช้าๆประมาณตี5-6โมงก็จะมีลุงหิ้วตะกร้าแลกระติกน้ำร้อนขึ้นมาบนรถไฟของเรา
โอวัลตินมาม่ากาแฟมั้ยค้าบบบ โอวัลตินมาม่ากาแฟฟฟฟฟฟ
วนไปวนมาแบบนั้นหลายรอบจนทนไม่ไหว โอเคลุง โอวัลตินกับมาม่าแล้วกัน
ความทรมานของการนั่งรถไฟมาเกือบ10ชั่วโมงทำให้เมนูธรรมดาๆที่ถ้านั่งกินอยู่บ้านเฉยๆต้องบ่นออกมาว่าสิ้นคิดชิบหาย อร่อยขึ้นมา เหมือนกำลังนั่งกินอาหารดีๆบน business class ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้วแกแค่กำลังนั่งซดโอวัลตินร้อนๆกับมาม่าที่ร้อนยิ่งกว่าบนรถไฟชั้น3
เหมือนว่าพอได้พาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ลำบากกว่าปกติมันทำให้เรา appreciateอะไรธรรมดาๆรอบตัวได้มากขึ้น (ไม่รู้ว่าคนอื่นจะเป็นแบบเรามั้ยนะ)
พอกินอิ่มก็นอนหลับได้
อ้าว
ก็เลือกขบวนนี้เพราะตอนเช้าจะได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นอะ ตื่นมาดูแล้วก็นอนต่อสิ
พอพระอาทิตย์เริ่มขึ้นอากาศด้านในก็อุ่นขึ้นตาม หลับสบายจนถึงสถานีเชียงใหม่ในเวลาเที่ยง10นาทีพอดีตามที่บอกไว้ในตั๋วเลย (ตอนนั้นคืองงจริง ไม่คิดว่าเวลามันจะเป๊ะขนาดนี้)
พอลงรถไฟมากับเป้อันโตที่แบกมาเหมือนจะไม่กลับแล้วยิ่งรู้สึกล้าเข้าไปใหญ่ อยากจะนอนที่สถานีตอนนั้นเลย
ซึ่งก่อนมาเพื่อนๆหลายคนก็ได้บอกไว้ว่า
"หัดอู้คำเมืองนะมึง จะได้ไม่โดนรถแดงหลอกราคา"
สัส จะไปอู้ยังไง แบกเป้แบกกล้องขนาดนี้ดูยังไงก็ไม่ใช่คนที่นี่แล้วว้อยยยย
จะกดแกร็บไปนิมมานโทรศัพท์ก็ดันแบตหมดขึ้นมา เออ เอาก็เอาวะ กี่บาทก็ช่างแม่งแล้ว ต้องพาตัวเองไปที่พักให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว อยากน๊อนนนนนนนน
เหมือนที่พักที่เลือกจะติดท็อปของคนที่มาเที่ยว ไม่ต้องอธิบายพี่รถแดงมากมายก็เข้าใจตรงกัน เวรี่กู้ด
ระหว่างทางเราก็มองสองข้างทางไปเรื่อยๆ อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกว่าตัวเมืองเชียงใหม่มันมีความน่ารักปนอยู่ ตึกทั้งแบบเก่า แบบใหม่ที่มีความล้านนาผสมอยู่ทำให้มันมีสเน่ห์ในตัวของมันเอง
ซึ่งจุดประสงค์หลักในการมาเชียงใหม่คือ อย่างที่เกริ่นไปว่าเราไม่เคยมาเชียงใหม่เลย ก็เลยอยากมาดูแค่ว่า เชียงใหม่มันเป็นยังไง เชียงใหม่ที่เป็นเชียงใหม่เลย ไม่ใช่ตามสถานที่ยอดฮิตที่ทุกคนล้วนไปถ่ายรูป เช็คอินลงโซเชียลกัน
ซึ่งพอไปถึงที่พักแล้วก็บอกตัวเองว่า นอนก่อน1ตื่นละกันนะ ระหว่างทางเอ็งได้เห็นเชียงใหม่ไปแล้ว
และตื่นอีกทีเกือบเย็น โอ้ว และแพลนของฉันคือนอนนิมมาน1คืน ไปเชียงดาว1คืน และกลับ
แม่งสั้นอย่างกะวงจรชีวิตยุงลายเลยว่ะ
เลยตัดสินใจขุดตัวเองขึ้นมาจากที่นอนและออกไปเดินเล่นดูรอบๆ พบว่าเหมือนตัวเองอยู่กรุงเทพย่านที่มีคาเฟ่และร้านอาหารสวยๆชุกชุมเลย ฮ่าาา
เลยตัดสินใจเดินหาร้านอาหารตามบล็อกรีวิวยอดฮิต บางร้านก็คนเยอะไป บางร้านราคาก็แรงไป และเหมือนเสียงจากจิตใต้สำนึกก็ดังขึ้นมาว่า
'มึงลากตัวเองมาถึงเชียงใหม่ มึงต้องกินข้าวซอยดิวะ'
เนื่องจากเป็นคนไม่ชอบอาหารที่มีกลิ่นเครื่องเทศเท่าไหร่ แต่เท้ากำลังเหยียบอยู่1ในจังหวัดทางภาคเหนือที่อาหารขึ้นชื่อคือข้าวซอย เออก็ได้
และเราก็ล้มเหลวกับการเปิดใจให้กับข้าวซอยอีกครั้ง
ไม่เป็นไร เราพยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว สุดท้ายก็ไปจบที่กะเพราร้านตามสั่ง แม่งสิ้นคิดยิ่งกว่ามาม่ากับโอวัลตินอีก
พอถึงฤกษ์งามยามดี พระอาทิตย์ตกดินปุ๊ป ทางเราก็กดแกร็บไปถนนคนเดินท่าแพปั๊ปเลย ซึ่งที่ที่เราพักเขามีโค้ดลดให้สำหรับแขกที่มานอนด้วย แจ่มว้าวมากอันนี้
พอไปถึงก็ เออ ใหญ่กว่าที่คิดว่ะ อาหาร ของขายละลานตาไปหมด และด้วยความที่ของกินขายเยอะนั่นแหละ ทำให้เกิดปัญหาโลกแตกขึ้นมาว่าจะกินอะไรดี ตัดข้าวซอยไปก่อนเลย ลิ้นฉันต่อต้านแล้ว
นั่นก็คนเยอะ นี่ก็คนแยะ(อีกแล้ว) สุดท้ายก็ได้ข้าวเหนียวหมูฝอยมาถือกิน มื้อที่2แล้วก็ยังสิ้นคิดอยู่ดี
เราชอบถนนคนเดินที่นี่มาก ตอนแรกคิดว่าก็คงเหมือนที่อื่นๆจนกระทั่งเดินไปเจอตรอกนึง ซึ่งทั้งทางขายแต่งานศิลปะ และเสื้อผ้า ของแฮนด์เมดตั่งต่าง (ตรงนี้ทำให้เราว้าวมาก มันดูเป็นเชียงใหม่ที่เป็นเชียงใหม่จริงๆว่ะ) เรียกได้ว่าตรอกนี้เราเดินเพลินที่สุดแล้ว มาถึงตอนทุ่มกว่าๆ จับจ่ายใช้สอย ซื้อของฝากคนที่บ้านฝากเพื่อนเพลินๆ รู้ตัวอีกทีก็เกือบ4ทุ่มแล้ว
และเรารู้ตัวอีกทีก็เขียนมายาวขนาดนี้แล้ว.. ขอตัดจบพาร์ทแรกที่ท่าแพนี่แหละ ไว้มาต่อพาร์ทต่อไปตอนไปเชียงดาวก็แล้วกัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in