ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว
สิ่งที่ตั้งใจเอาไว้ พอถึงเวลาเข้าจริง ๆ แล้ว ก็ไม่เคยได้ทำอย่างที่คิดเอาไว้สักที
ต่างคนต่างบอกกันว่า ถ้ามีเวลาว่าง ได้อยู่กันตามลำพังสองคน ก็จะได้พูดคุยกันเต็มที่เสียที
ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อมีเวลาอยู่ด้วยกันตามประสาคนที่รู้จักและผ่านอะไรกันมานาน ก็ไม่เคยได้ทำเช่นนั้น
อาหารจีน (ที่ตกลงกันว่าจะนั่งกินกันที่ร้านแต่เปลี่ยนใจหลังจากนั้นไม่นานว่าจะซื้อกลับบ้าน) หมดแล้ว
เบียร์สิงห์ที่ซื้อมาดื่มด้วยกันก็หมดเช่นกัน รายการโทรทัศน์ของคืนก่อนคริสต์มาสไม่มีอะไรพิเศษนัก
คนในโทรทัศน์กำลังพูดคุยกัน เขาได้ยินเสียง แต่ไม่ได้ใส่ใจฟัง และหลังจากเก็บกวาดทุกอย่างเรียบร้อย
ต่างคนต่างกลับมาที่ห้องนั่งเล่น พวกเขาทำเพียงแค่นั่งอยู่ด้วยกัน ไม่มีการสนทนาใด ๆ เกิดขึ้นตามเคย
ไม่ใช่ไม่มีเรื่องคุย แต่จะว่ามีมากจนไม่รู้ว่าจะเริ่มที่ตรงไหนก็ไม่ใช่อีกเช่นกัน
พวกเขารู้จักกันดี และอาจดีเกินไป จนไม่ขัดเขินหรือใคร่ครวญเกินเหตุก่อนพูดกันแบบซื่อตรงกับใจตัว
บางที พวกเขาแค่อาจไม่จำเป็นต้องพูด ในเมื่อมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ดีกว่าคำพูดจากปากหลายเท่า
ในห้องนั่งเล่นเงียบเสียงหลังจากเขาปิดโทรทัศน์ เครื่องแผ่ความร้อนข้างโซฟาทำงานของตัวเองเงียบ ๆ
เงียบเช่นเดียวกับหิมะที่ร่วงหล่นสะท้อนแสงไฟริมถนนนอกหน้าต่าง เงียบเหมือนคนที่อยู่ด้วยกันตอนนี้
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่พวกเขาเริ่มพูดคุยกันด้วยความเงียบ
ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ที่เสียงหายใจและเสียงหัวใจ สองเสียงที่บ่งบอกถึงชีวิตท่ามกลางสิ่งไร้ชีวิต
กลายเป็นสิ่งที่มีความหมายมากสำหรับเขาขนาดนี้
มือที่เคยสอดเข้ามาในเรือนผมที่เคยเป็นสีเข้มเสมอกันยังคงลูบผมที่มีสีเทาแซมของเขาด้วยกิริยาเดิม
เหมือนความเคยชิน แต่ในความเคยชินในอิริยาบถเหล่านั้นมีความหมาย แม้ไม่มีเสียงเอ่ยคำใด ๆ สักคำ
เขาไม่ปฏิเสธว่าเขาชอบความรู้สึกที่ส่งผ่านปลายนิ้วเรียวยาวอย่างคนทำงานศิลปะของอีกฝ่ายเหลือเกิน
ปลายนิ้วของมือที่มีรอยบาดจากคมเครื่องมือและกร้านจากสารเคมี นิ้วที่ลูบคลำสำรวจไปตามผิวเนื้อไม้
ของเครื่องเรือนเก่า แกร่งแต่มีบาดแผลและจุดเปราะบางจากกาลเวลาซุกซ่อนเพื่อซ่อมแซมให้ดีดังเก่า
ก่อนหน้านี้ เขาเคยสงสัยว่า ปลายนิ้วที่สอดสางเส้นผมเขาในเวลานี้ค้นพบสิ่งใดที่เขาเก็บงำบ้างหรือไม่
เวลานี้ คำถามที่เคยคิดในใจข้อนั้นก็ยังคงอยู่ แต่ด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงไป จากสงสัยเป็นอัศจรรย์
แต่บางที... เขาก็อยากรู้ว่า มือที่เคลื่อนไหวเงียบเชียบคู่นี้ค้นพบและซ่อมแซมบาดแผลที่มีได้อย่างไร
แต่เขารู้ดีว่า ถึงถามไปก็เท่านั้น...
“มีอะไรหรือเปล่า”
เป็นครั้งแรกที่ความเงียบถูกทำลายลง แต่ไม่มีอะไรที่สูญหายและไม่มีอะไรเพิ่มเติมมากขึ้นกว่าเสียงพูด
เขาเพิ่งรู้ตัวตอนที่ได้ยินเสียงนั่นเองว่า ปลายเท้าของเขาที่พาดบนโต๊ะหน้าโซฟาสะกิดถูกเท้าอีกฝ่าย
“เปล่า...” เขาตอบ หันไปมองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวเดียวกัน “นายอยากไปทำอะไรอย่างอื่นหรือเปล่า”
คิ้วของคนฟังขมวดหากัน ดวงตาสีน้ำตาลหรี่ลงมองสำรวจหาร่องรอยพิรุธจากคำพูดและสีหน้าของเขา
ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนกลับไปเป็นปกติ ใบหน้าที่เคยนิ่งเฉยเป็นนิจมีรอยยิ้มบางเบาฉาบอยู่บนริมฝีปาก
“ไม่ว่าอะไรใช่ไหม ถ้าฉันอยากอยู่แบบนี้อีกสักพัก” เขาเอ่ยถาม เลื่อนตัวลงอิงศีรษะบนบ่าคนข้างกาย
เพื่อนคนเดียวที่ใช้ความเงียบแทนคำพูดที่ไม่อาจเอ่ยออกมาให้ตรงความหมายได้อย่างมีความหมาย
ส่ายหน้าช้า ๆ มือที่ชะงักอยู่เมื่อครู่นั้นเคลื่อนขยับ สนองตอบคำกล่าวที่เป็นการร้องขอมากกว่าคำถาม
“ตามใจ”
ไม่ใช่คำตอบเดียวกับที่เขาเคยได้ยินในครั้งแรกที่เขาแนบศีรษะลงเหนือไหล่ของอีกฝ่ายยามเหนื่อยล้า
ไม่ใช่คำตอบเดียวกัน แต่เขารู้ว่า ความหมายของคำที่อีกฝ่ายเอ่ยนั้นเป็นสัญญาที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
เขาหลับตาลงและยิ้มน้อย ๆ กับตัวเอง
อาจเป็นตอนนั้นก็ได้ที่พวกเขาเริ่มพูดคุยกันด้วยความเงียบ และได้รู้ว่าเสียงของความเงียบมีความหมาย
เช่นเดียวกับสัมผัสจากมือและคำตอบรับสั้น ๆ จากคนที่อยู่กับเขามาตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้
เกเบรียลเคยพูดว่า ‘นานเท่าที่ต้องการ’ ... แต่สแตนลีย์รู้ว่า ข้อความนั้นมีความหมายว่า ‘เสมอไป’
ยังคงชอบมาก ๆ และจะติดตามต่อไปนะคะ
ขอบคุณที่เขียนงานดี ๆ เช่นนี้ค่ะ :)
In silence เป็น drabble ที่เราชอบมากเหมือนกันค่ะ บางทีก็สงสัยเหมือนกันว่าจะเขียนอะไรแบบนี้ออกมาได้อีกไหมนะ แต่ในที่สุดก็มี Silence Speaks ออกมาอีกเรื่องจนได้
ดีใจที่ชอบนะคะ ^^
ถึงอย่างนั้น In Silence สำหรับเราก็ยังเป็นที่สุดค่ะ อ่านตอนที่ล้ามาก ๆ แล้วเรารู้สึกเหมือนได้รับการปลอบใจไปพร้อม ๆ กัน มันเลยวิเศษมาก ๆ ค่ะ :)