เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Close FriendI am who I am
CLOSE FRIEND
  •            ...เสียงแชทใน Facebook ดังขึ้น มองเห็นว่าเป็นสายของเพื่อนคนหนึ่งที่โทรผ่าน Facebook ซึ่งเป็นการโทรที่เราไม่แปลกใจสักเท่าไร เพราะได้นัดแนะกันแล้วว่าจะโทรคุยกันในช่วงเย็น แต่ทุกครั้งที่จะโทรคุยกัน เราจะถามเขาทุกครั้งว่าว่างหรือเปล่า รบกวนเวลาทำ (ฝึก) งานของเขาหรือเปล่า การโทรคุยกันจึงมักจะเป็นช่วงเย็นเสมอ
               เรากับเพื่อนคนนี้รู้จักกันมาค่อนข้างนาน ตั้งแต่สมัยมัธยมต้นเลยก็ว่าได้ จนถึงตอนนี้ที่กำลังก้าวย่างเข้าช่วงชั้นปีที่ 4 เราก็ยังรู้จักและเป็นเพื่อนกันมาตลอด เราเรียนที่เดียวกัน แต่แทบจะไม่เจอกันเลย หรืออาจจะไม่เจอกันเลยเป็นปีๆ เพราะเราเรียนกันคนละคณะ คนละสาขาวิชา ที่เพื่อนเรียนฝึกงานตลอดเวลา อาจจะพูดได้ว่าฝึกงานแทบทุกเทอม ส่วนของเราเรียนหนักทุกเทอม...
               จนถึงกระทั่งช่วงเวลาของเราที่ต้องไปฝึกงานกับเขาบ้าง ยอมรับว่าเรามีความกังวล และคาดหวังในสิ่งที่จะทำสูง และจริงจัง เราจึงตัดสินใจปรึกษาเพื่อนคนนี้ คนที่เราคิดว่าเราสามารถพูดทุกอย่างได้ตรง ๆ และคนที่กล้าที่จะพูดกับเราด้วยความใจจริง ในระหว่างที่โทรคุยกัน ต้องบอกก่อนว่าเรากับเพื่อนคนนี้ไม่ได้พูดหวานกันสักเท่าไร แต่ก็ใช่ว่าจะหยาบคาย
               ตอนคุยกัน มันก็อาจจะมีช่วงจังหวะหนึ่งที่ ไม่เข้าใจกันบ้างในเรื่องของความคิดบางอย่าง แต่เราก็ดึงกลับกันมาได้ทุกครั้ง การโทรไปครั้งนี้เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่เราโทรไปปรึกษาอย่างจริงจัง อย่างที่บอกไปว่าเราเป็นคนที่ค่อนข้างมีความจริงจังค่อนข้างมาก กังวล หรือบ้างครั้งเราอาจจะถึงขั้น perfectionist ส่วนเพื่อนของเราคนนี้ จะค่อนข้างต่างกับเราอย่างสิ้นเชิง...
               
               แต่ละเร่ื่องที่เราถามจะเป็นเรื่องที่เรากังวลค่อนข้างมาก เรื่องที่เราคาดหวังมาก เรื่องที่เราคิดว่ามันจะต้องออกมาดี จนกระทั่งเพื่อนคนนี้พูดกับเราว่า
              
              "เราเชื่อว่าแกทำได้ แกทำได้อยู่แล้ว เราเชื่อว่าทำได้"
              "อย่าคิดมาก อย่าเครียด เป็นห่วงนะเว้ย!"

              ประโยคนี้ฟังดูเหมือนไม่มีอะไร แต่สำหรับคนคิดมากและจิตตกแบบเรา ประโยคแค่นี้ เราถึงกับน้ำตาคลอในตอนนั้น เพื่อนคนนี้บอกกับเราในทุกครั้งที่คุยกันเสมอว่า "แกเก่ง แกอ่ะตั้งใจทำทุกอย่างอยู่แล้ว" ก่อนหน้านี้เราเฉยๆและไม่ได้รู้สึกอะไรมาก แต่การคุยกันในครั้งนี้ ถึงแม้จะไม่ได้เห็นหน้ากัน แต่แค่น้ำเสียงของเพื่อนในครั้งนี้ มันหนักแน่นกว่าทุกครั้ง
                
                มันอาจจะไม่ได้ช่วยคลายความกังวลเท่าไรนัก แต่มันช่วยในเรื่องของ"กำลังใจ" เอาเสียมากๆ เราไม่ได้เป็นคนมีเพื่อนเยอะอะไรมากมาย เพราะส่วนหนึ่งอาจจะมาจากบุคลิคของเราเองด้วย แต่กับเพื่อนคนนี้ ตอนเรียนมัธยมด้วยกันเราไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกัน ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอด อยู่ด้วยกันตลอดนานสุดคือสมัยทำโครงงานกันตอนม.ปลาย เท่านั้น  พอมาเรียนมหา'ลัย ก็ใช่ว่าจะได้เจอกัน แต่ทุกครั้งที่คุยกัน เราจะต่อกันติดทุกครั้ง เราจะดูสนิทกันมากเสมือนว่าเราอยู่ด้วยกันตลอดเวลา
                ทำให้เราได้รู้อย่างหนึ่งว่า "เพื่อนสนิท" ไม่จำเป็นที่จะต้องใกล้กัน ไม่จำเป็นที่จะต้องมีความเห็นคล้อยตามกันไปหมด ไม่จำเป็นที่จะต้องเจอกันทุกวัน แต่เพื่อนสนิทคือคนที่เราเจอแล้วเรา connect กันได้ทุกครั้ง เข้าใจเรามากกว่าเอาใจเรา

               อยากบอกว่า "ขอบใจนะแก..."
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in